หลังตกเป็นกระแสข่าวมาได้พักหนึ่งก็เป็นอันว่าท้ายที่สุดแฟนหนังตระกูล Fast and furious ในบ้านเราก็ได้ชมภาค 7 ของหนังเรื่องนี้โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของเนื้อหาและกำหนดการ
อันที่จริงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของ "สัญญา" ระหว่าง "จา พนม" กับบริษัทสหมงคลฟิล์มฯ นั้นได้ปรากฏมีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การที่สหมงคลฟิล์มฯ เลือกที่จะไปยื่นเรื่องฟ้องนักแสดงหนุ่มซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงของหนังเรื่อง Fast and furious 7 ข้อหาละเมิดสัญญา แถมพ่วงรวมไปถึงบริษัท ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ ฟาร์อีสต์ ประเทศไทย จำกัด (UIP) จนเป็นที่มาของคำสั่งศาลให้ระงับการฉายภาพยนตร์เรื่อง Fast and furious 7 ที่กำลังจะเข้าฉายไว้ก่อนนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ "ผิดเวลา" เอามากๆ
งานนี้แม้สหมงคลฯ เองจะยืนยันว่าการฟ้องร้องครั้งนี้เป็นการรักษาสิทธิ์ของบริษัทและเป็นเรื่องของบริษัทกับตัวนักแสดงคู่กรณี (ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นจริง) ไม่ได้คิดที่จะดึงเอาหนังมาเป็น "ตัวประกัน" พร้อมกับออกปากขอโทษหากแฟนหนังต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแต่จะมีสักกี่คนกันที่จะยอมทำความเข้าใจและรับในคำขอโทษดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนของคอหนังแอ็กชันที่เป็นแฟนหนังของ Fast and furious ซึ่งตั้งหน้าตั้งตารอดูหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นที่ต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ชนิดที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย
นั่นเองจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กระแสแห่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสียจะมีไปยังสหมงคลฟิล์มฯ โดยเฉพาะตัว "เสี่ยเจียง" สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ อยู่ฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาไปยังรายละเอียดของการฟ้องร้องที่ทางทนายฝ่ายโจทก์ได้เปิดเผยออกมาบางส่วนในวันแถลงข่าวแล้วต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่น่าสนไม่น้อย
แน่นอนว่าในเรื่องของรายละเอียดสัญญาและหลักเกณฑ์ในการต่อสัญญาที่ทำกันระหว่างบริษัทสหมงคลฟิล์มฯ กับ "จา พนม" นั้นอาจจะดูเป็น "สัญญาทาส" ในความรู้สึกของใครหลายๆ คน แต่กระนั้นในเบื้องต้นคนที่ยอมรับในสัญญาที่ว่านี้ตั้งแต่แรกก็คือตัวของนักแสดงเองมิใช่หรือ
ค่ายหนังอาจจะดูเห็นแก่ได้ หน้าเลือด แต่แง่หนึ่งก็ต้องเข้าใจว่าเขาคือเจ้าของเงิน เป็นคนลงทุนที่ต้องมีความเสี่ยง ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ลงทุนไปจะออกดอกผลิบานหรือเจ๊งไปเลย เพราะฉะนั้นย่อมต้องมีอะไรที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองไว้ก่อน ขณะที่ในด้านของนักแสดงเองหากมองว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ตนให้อีกฝ่ายไปนั้นมันน่าจะเพียงพอแล้วกับคำว่า "บุญคุณ" หรือมองว่าสัญญาที่ตนเองได้รับมันไม่ยุติธรรม มันไม่ถูกต้อง ในแง่ของกฏหมายเองก็ได้เปิดช่องทางออกไว้ให้อยู่เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ที่ผ่านมาแทนที่ตัวจาเองจะสะสางปมที่ปัญหาที่มันคาราคาซังให้จบๆ ไป ดูเหมือนเจ้าตัวกลับเลือกที่จะดองเรื่องเอาไว้ด้วยการไม่พยายามจะไปรับรู้ ไม่สน ไม่ยุ่ง
โดยเฉพาะประเด็นโปรเจ็กต์หนังเรื่อง "ไอ้หนุ่มกังนัม" (A Man Will Rise) ซึ่งตอนนั้นก็เป็นจาเองมิใช่หรือที่เป็นฝ่ายไปขอทำหนังเรื่องนี้และยืนยันว่าจะขออยู่กับสหมงคลฯ ต่อไปเพื่อทำหนังเรื่องดังกล่าวให้เสร็จ ทว่าสุดท้ายเจ้าตัวก็กลับเงียบหายไปเฉยๆ ซะอย่างนั้นหลังเอาเงินไปแล้ว 26 ล้านบาท
เชื่อว่าประเด็นนี้หลายๆ คนหรือแม้กระทั่งนักข่าวบางส่วนเองก็อาจจะลืมไปแล้วหากไม่มีกระแสข่าวนี้ขึ้นมา
สำหรับจุดเริ่มต้นของโครงการหนังเรื่องนี้เริ่มมีมาตั้งแต่คำให้สัมภาษณ์ของ "เสี่ยเจียง" ในช่วงปี 2555 โดยระบุว่าได้เตรียมโครงการหนังใหญ่ทุนสร้าง 400 ล้านบาท ให้ "จา พนม" แสดงประกบนักแสดงระดับฮอลลีวูด "ฌอง คล้อด แวนแดม" ก่อนที่ต่อมาจะมีบทสัมภาษณ์ของนักแสดงสาว "มิ้นท์ มิณฑิตา วัฒนกุล" เผยออกแพร่ออกมาในทำนองว่าตนเองได้เล่นหนังเรื่องนี้ด้วย พร้อมระบุชื่อหนังว่า "ชาติชิงชัย เดอะโลคอล ฮีโร่" (The Local Hero) เป็นหนังไตรภาค รวมถึงมีข่าวว่าทางฮอลลีวูดได้ซื้อหนังเรื่องนี้ไปแล้ว
ต่อมาในช่วงเดือนเมษายนของปี 2556 จึงมีการแถลงข่าวถึงหนังเรื่องนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ โดยมีการเปลี่ยนชื่อเป็น A Man Will Rise พร้อมเปลี่ยนตัวนักแสดงจาก "ฌอง คล้อด แวนแดม" ซึ่งว่ากันว่าถอนตัวไปจากหนังเรื่องนี้เพราะติดหนังเรื่องอื่นก่อนได้ "ดอล์ฟ ลันด์เกรน" มารับหน้าที่แทน โดยหนังเรื่องนี้จาจะรับหน้าที่กำกับพร้อมแสดงนำ และมี "หนึ่ง วิทิตนันท์ โรจนพานิช" ที่เคยมีผลงานกำกับหนังเรื่อง "บั้งไฟเทวดา" (2548) รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์
ในตอนนั้นเองจาได้ให้สัมภาษณ์ถึงหนังเรื่องนี้ไว้ว่าเป็นหนังแอ็กชันคอมเมดี้ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากท่าเต้น "ม้าย่อง" ส่วนหนังจะเป็นการผสมผสานรวมศาสตร์การต่อสู้ทั้งไทย จีน แขก และตะวันตก(คาวบอย) เข้าด้วยกัน ซึ่งภายหลังการแถลงข่าวก็มีข่าวเกี่ยวกับ A Man Will Rise ออกมาประปราย เช่น ใช้ทุนทะลุไปกว่า 150 ล้าน และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิน 200 ล้าน, ค่าตัว "ดอล์ฟ ลันด์เกรน" ที่สูงถึง 60 ล้านบาทซึ่งเงินส่วนนี้เสี่ยเจียงควักกระเป๋าจ่ายด้วยตนเอง ฯ
นอกจากนี้ก็ยังมีคลิปบทสัมภาษณ์ของจาที่เปิดเผยถึงการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเจ้าตัวระบุว่าได้มีการถ่ายทำไปแล้วกว่า 40% ฯ จากนั้นกระแสข่าวของหนังเรื่องนี้จะค่อยๆ เงียบหายไปก่อนมีกระแสข่าวเรื่องปัญหาครอบครัวของนักแสดงหนุ่ม ปัญหาสัญญากับค่ายสหมงคลฟิล์มฯ ตลอดจนเรื่องที่เจ้าตัวไปร่วมแสดงหนังอื่นๆ ทั้ง Fast & Furious7, Skin Trade และ SPL 2 เข้ามาแทนก่อนที่เรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็นอีกครั้งหลังข่าวการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ถึงตอนนี้แม้ Fast and furious 7 จะได้เข้าฉายไปแล้วขณะที่ตัวจาเองก็ได้รับคำชื่นชมไม่น้อย พร้อมๆ กับที่ยังมีหนังอย่าง Skin Trade และ SPL 2 รอฉายเรียกความนิยมอยู่ แต่กระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่าปัญหาของการฟ้องร้องนั้นยังไม่ได้หายไปไหน
จริงๆ เรื่องนี้มีทางออกที่สวยงามมากๆ กว่าที่จะให้ไปจบที่คำตัดสินของศาล นั่นคือตัวจาเองในฐานะที่อาวุโสน้อยกว่าต้องกล้าที่จะเดินเข้าไปหาเสี่ยเจียงเปิดอกพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชายไปเลยว่าอะไรมันเป็นอะไร ไม่ใช่เลือกที่จะหนีปัญหาเหมือนกับที่ผ่านมาๆ
ขืนปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังไปเรื่อยๆ ย่อมไม่ก่อให้เกิดผลดีกับใครเลยไม่ว่าจะเป็นบริษัทสหมงคลฟิล์มฯ หรือแม้กระทั่งตัวของจาเองไม่ว่าจะในแง่ทางข้อกฏหมายหรือแม้กระทั่งคำพูดที่เขามักจะบอกเสมอว่ายังให้ความเคารพและรักในอีกฝ่ายในฐาะนะผู้มีคุณอยู่เสมอ
สุดท้ายหากคุยกันแล้วเรื่องยังไม่จบอีก เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ย่อมมองออกว่าฝ่ายไหนที่กำลังสวมบทคนดี ฝ่ายไหนที่กำลังสวมบทคนร้ายอยู่?
ASTVผู้จัดการออนไลน์ เพิ่มหมวดข่าว “โต๊ะญี่ปุ่น” นำเสนอความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสาร ตอบสนองผู้อ่านที่สนใจในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง สรรสาระ เกร็ดความรู้ต่างๆ ที่ผู้อ่านควรรู้ และ ต้องรู้อีกมากมาย ติดตามเราได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |