xs
xsm
sm
md
lg

"จา พนม" กับ Furious 7...ก็แค่ตัวประกอบจริงหรือ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ข้อเสนอให้ตัดฉากที่ "จา พนม" แสดงในหนัง Furious 7 เพื่อยุติปัญหาทั้งหมดกลายเป็นทางเลือกที่ถูกพูดถึง แต่แท้จริงแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะบทของ "จา" ในหนังน่าจะมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

"จา พนม" vs. "พอล วอล์คเกอร์" ฉากบู๊ที่คนทั้งโลกรอดู

ทำเอาคอหนังแอ็กชันเรื่องดังได้เฮไปตามๆ หลังล่าสุดศาลแพ่งได้มีคำสั่งอุทธรณ์ยกเลิกคำสั่งระงับการฉายภาพยนตร์เรื่อง Fast and furious 7 ที่มีมาก่อนหน้านี้ ส่งผลให้หนังยังคงโปรแกรมเดิมในการเข้าฉายวันที่ 1 เม.ย.นี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่หลายคนยังคงให้ความสนใจเป็นอย่างมากก็คงจะเป็นบทบาทของนักบู๊ชาวไทย "จา พนม" ที่มีกับหนังเรื่องนี้ โดยบางคนก็บอกว่าเจ้าตัวเป็นเพียงแค่ตัวประกอบจนมองว่าหากหนังมีปัญหาก็น่าจะตัดฉากเขาออกไปกันเลยทีเดียว

จากข้อมูลล่าสุดของสื่อต่างชาติเกี่ยวกับหนัง Furious 7 ได้ชี้ว่าการตัด (หรือเซนเซอร์หน้า) จา จากหนัง Furious 7 คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะบทของนักบู๊ชาวไทยในหนังเรื่องนี้น่าจะโดดเด่นไม่น้อย โดยในเรื่อง จา จะรับบทเป็นตัวละครที่ชื่อว่า "Kiet" ซึ่งเป็นสมุนตัวฉกาจของตัวร้ายประจำภาคที่รับบทโดย เจสัน สเตแธม และน่าจะมีบทบาทสำคัญอยู่ในฉากแอ็กชั่นหลายๆ ฉาก

โดยนักวิจารณ์ของเว็บไซต์ดัง IGN.com ได้แสดงความเห็นว่า Furious 7 ประสบความสำเร็จในการแบ่งสัดส่วนระหว่างฉากแอ็กชั่นที่สร้างด้วยเทคนิคพิเศษอันเหนือจริง เข้ากับฉากต่อสู้แบบ "ตัวต่อตัว" ซึ่ง จา พนม ก็คือองค์ประกอบสำคัญของฉากบู๊แบบนี้ของหนัง

นักวิจารณ์คนดังกล่าวยังกล่าวชมว่าฉากต่อสู้ของ จา กับ พอล วอล์คเกอร์ แทบจะเป็น "ฉากบู๊แนวตัวต่อตัว" ที่ดีที่สุดในหนังภาคนี้เลยก็ว่าได้



ฟอร์มใหญ่ที่สุด!!!! คำวิจารณ์สวยที่สุด!!! ในแฟรนไชน์ Fast & Furious

สำหรับ Furious 7 ที่มีกำหนดลงโรงฉายทั่วโลกในสุดสัปดาห์นี้ได้ชื่อว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับปี 2015 โดยแฟรนไซน์ Fast & Furious เริ่มเปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 ในฐานะหนังแอ็กชั่นเกี่ยวกับการแข่งรถใต้ดินที่มีฟอร์มในระดับกลางๆ ค่อนไปทางเล็ก ด้วยนักแสดงที่ถือว่าไม่ได้โด่งดังอะไรนักในตอนนั้น และใช้ทุนสร้างเพียง 38 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น แต่กลับทำเงินทั่วโลกไปถึง 200 ล้านเหรียญฯ

แต่กลายเป็นว่าทั้งๆ ที่ในภาค 2 (2 Fast 2 Furious) และ 3 (The Fast and the Furious: Tokyo Drift) ฟอร์มของหนังชุดนี้จะค่อยๆ ดร็อปลงเรื่อยๆ และเสียนักแสดงนำไปทีละคน จนเกือบถูก Universal Pictures ส่งไปเป็นหนังแผ่นแล้ว แต่ผู้กำกับ จัสติน ลิน กลับสามารถชุบชีวิตหนังเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ในภาค 4 (Fast & Furious) ด้วยการนำ พอล วอล์คเกอร์ และ วิน ดีเซล กลับมารับบทนำร่วมกันอีกครั้ง จนหนังกลับมาประสบความสำเร็จอย่างเป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง

ซึ่งในภาค 5 (Fast Five) ที่หนังได้ ดเวย์น "เดอะ ร็อค" จอห์นสัน เข้ามาเสริมทัพ หนังจึงกลายเป็นแฟรนไชน์ที่ Universal ให้ความสำเร็จเป็นลำดับต้นๆ ของค่ายทันที จนภาค 6 (Fast & Furious 6) หนังถึงกับได้รับทุนสร้างสูงถึง 160 ล้านเหรียญฯ และทำเงินทั่วโลกไปถึง 788 ล้านเหรียญฯ เลยทีเดียว

สำหรับหนังภาค 7 หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Furious 7 หนังได้เปลี่ยนผู้กำกับมาเป็น เจมส์ วาน พร้อมทุนสร้างสูงถึง 250 ล้านเหรียญฯ ซึ่งแม้การเสียชีวิตก่อนที่หนังจะถ่ายทำเสร็จของ พอล วอล์คเกอร์ จะทำให้หนังไม่สามารถเข้าฉายตามกำหนดเดิมในปี 2014 ได้ แต่ก็กลับทำให้หนังได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีก

โดยกระแสก่อนหน้าฉาย Furious 7 ยังแทบจะได้รับกระแสวิจารณ์ในแง่บวกแบบเป็นเอกฉันท์ คะแนนในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes สูงถึง 86% เรียกว่าสูงที่สุดในหนังชุดนี้ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยังเห็นตรงกันว่าหนังมีฉากแอ็กชั่นที่สนุกมาก ขณะเดียวกันก็เป็นการอำลา วอล์คเกอร์ ที่ยอดเยี่ยมที่สุด หลายคนยังยอมรับว่าหนังน่าจะเรียกน้ำตาผู้ชมได้ไม่น้อยเลยด้วย

"จา พนม" vs "เสี่ยเจียง" ในสายตาสื่อตะวันตก

สำหรับปัญหาทางกฎหมายของ จา พนม กับอดีตต้นสังกัดก็ได้รับความสนใจจากสื่อหลายๆ สำนักในต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อในสายหนังแอ็กชั่น และหนังเอเชีย ที่ปกติก็ติดตามความเคลื่อนไหวของ จา พนม กันอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

โดยสื่อดัง อาทิ Cinema Blend และ The Variety นำเสนอข้อมูลว่าหนังอาจจะถูกระงับฉายในเมืองไทย เพราะปัญหาข้อพิพาทระหว่าง จา พนม และ สหมงคล ฟิล์ม ที่เป็นอดีตต้นสังกัดของ จา พนม ซึ่งเรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับการผิดสัญญามหาศาลถึง 49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,600 ล้านบาท โดยเป็นตัวเลขที่คำนวนจากการลงทุนในตัว จา พนม ของทาง สหมงคล ฟิล์ม และความสูญเสียรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ท็อดด์ บราวน์ ผู้ก่อตั้ง และบรรณาธิการ แห่งเว็บไซต์ Twitch Film ที่ติดตามความเคลื่อนไหวในกรณีนี้มาตลอด ได้แสดงความเห็นแตกต่างออกไป โดยเขามองว่า ปัญหาความขัดแย้งคราวนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว "สำหรับผมรู้สึกเหมือนว่า เสี่ยเจียง ไม่ได้แคร์เรื่องเงินอะไรแล้ว พยายามรักษาหน้าของตัวเองเท่านั้นเอง (ตอนฟ้องครั้งแรกก็เกิดขึ้นตอนที่ ต้มยำกุ้ง 2 กำลังฉายอยู่ด้วยซ้ำ จนการแถลงข่าวของหนังแทบจะเกี่ยวกับเรื่องคดีเพียงอย่างเดียว มากกว่าจะเป็นการแสดงความยินดีว่านักสแงในสังกัดของเราได้ร่วมเล่นหนังภาคต่อที่ฟอร์มใหญ่ที่สุดชุดหนึ่งของโลก) และถ้า เสี่ยเจียง ยังยืนกรานว่าเขาเป็นฝ่ายถูก เรื่องมันก็คงน่าเศร้าแน่ เพราะเขามีอิทธิพลมากกว่า จา เยอะ"

นอกจากนั้นก็ยังมีแฟนหนังชาวต่างชาติบางคนที่มองว่าสัญญาที่กินเวลาเป็น 10 ปี ของ จา พนม และอดีตต้นสังกัดดูคล้ายกับสัญญาของบรรดานักชกมวยไทยบนสังเวียน ที่ขึ้นชื่อลือชาในหมู่ชาวต่างชาติ ว่าเป็นสัญญาทาส ที่นักมวยจะถูกใช้งานอย่างหนักจนกว่าจะหมดประโยชน์

แฟน Fast and furious 7 เฮ! ศาลยกเลิกคำสั่งระงับฉายแล้ว

ฟ้องกราวรูด 1,600 ล้าน! “สหมงคลฟิล์ม” ลั่นคนไทยยังมีหวังดู Fast7 แค่ให้ “จา-ผู้สร้างหนัง” เข้ามาเจรจา(ชมคลิป)


จา พนม กับ วิน ดีเซล
นักแสดงหนุ่มไทย กับผู้กำกับชาวมาเลเซีย ร่วมงานกันในหนังฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูด

ASTVผู้จัดการออนไลน์ เพิ่มหมวดข่าว “โต๊ะญี่ปุ่น” นำเสนอความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสาร ตอบสนองผู้อ่านที่สนใจในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง สรรสาระ เกร็ดความรู้ต่างๆ ที่ผู้อ่านควรรู้ และ ต้องรู้อีกมากมาย ติดตามเราได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม



เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก

กำลังโหลดความคิดเห็น