xs
xsm
sm
md
lg

“เสี่ยเจียง” กับ “จา พนม” Fast and Furious 7 ใครเร็ว ใครแรง ใครทะลุนรก ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในที่สุด วันนี้คนไทยก็มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ภาคต่อฟอร์มยักษ์อย่าง “Fast and Furious 7” ที่เพิ่งลงโรงฉายไปพร้อมกันเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ยกเลิกการสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ที่สั่งไว้เมื่อ 26 มีนาคม 2558 ตามที่โจทก์ คือบริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยื่นฟ้อง “จา พนม “ (ทัชชกร ยีรัมย์) รวมไปถึงบริษัท ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ ในฐานะผู้สร้าง และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ ฟาร์อีสต์ ประเทศไทย จำกัด (UIP) ในข้อหาละเมิดสัญญา พร้อมเรียกค่าเสียหายรวมกว่า 1,600 ล้านบาท ด้วยพิจารณาแล้วเห็นว่าในภาพยนตร์ดังกล่าว ยังมีนักแสดงอื่นๆ ร่วมแสดงด้วย คำสั่งที่จะให้ระงับการฉายภาพยนตร์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ จึงไปกระทบสิทธิของบุคคลภายนอก จึงเห็นสมควรให้ยกเลิกคำสั่งศาลที่สั่งไว้แต่เดิม

เสียงชื่นชมจากคอหนังเทศ ที่ได้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว ล้วนลงความเห็นในทำนองชื่นชมว่าฉากบู๊แอ๊กชั่นในเรื่องนี้ มันหยดติ๋งจริงๆ ชนิดที่หาหนังเรื่องอื่นมาทาบรัศมีได้ยากเหลือเกิน เรียกว่าบู๊กันตั้งแต่ในเมือง บนภูเขา เรื่อยไปถึงกลางป่า อีกทั้งบทบาทของจา พนมในเรื่อง ก็ถือเป็นหนึ่งในสีสันสำคัญ เขาไมได้เป็นแค่ “ตัวประกอบ” อย่างที่โดนถูกค่อนว่าเมื่อตอนมีข่าวแรกๆ ว่าจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ถือเป็นตัวร้ายเบอร์สองรองจาก “เจสัน สเตแธม”

โดยในเรื่องนี้ จารับบทเป็นตัวละครที่ชื่อว่า "Kiet" ซึ่งเป็นสมุนตัวฉกาจของตัวร้ายประจำภาค (เจสัน สเตแธม) ฉากบู๊แอ็กชั่นของเขา กับ “พอล วอล์คเกอร์” นั้นนับว่าเป็นหนึ่งในฉากบู๊ที่ดีที่สุดในหนังภาคนี้เลยทีเดียว

ว่ากันว่าถ้าตัดฉากที่จาเล่นออก ตามที่เสี่ยเจียงคาดโทษไว้แต่แรกนั้น หนังเรื่องนี้จะหดเหลือเพียงแค่ 2 ใน 3 ของเรื่องเท่านั้น นั่นหมายถึงว่าฉากที่จาร่วมแสดงในเรื่อง มีถึง 1 ใน 3 ไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับในฉาก ที่จะตัดออกตอนไหน เมื่อไหร่ หนังก็ไม่เสียหาย

และนั่นก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามของเสี่ยเจียงต่อจา และต่อหนังเรื่องนี้ เป็นความพยายามที่ออกจะผิดที่ ผิดทาง ผิดจังหวะ และที่สำคัญทำให้คนไทย “ผิดหวัง”ต่อวิสัยทัศน์ในฐานะผู้บริหาร และหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

เป็นความล้มเหลวที่เกิดขึ้นภายใต้กระบวนความคิดของทั้งเสียเจียง และทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมาย !!

การรั้งรอจังหวะที่ “Fast and Furious 7” ซึ่งมีจาเป็นหนึ่งในนักแสดงจะเข้าฉาย แล้วจึงออกโรงมาทวงสิทธิในฐานะต้นสังกัด พร้อมกับเรียกร้องให้มีการพูดคุยเจรจากันนั้น เสมือนเป็นการจงใจ “บีบ” ให้จาและบริษัทผู้สร้างจนมุม โดยการจับคนไทยที่รอชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวประกัน ซึ่งถือเป็นการเดินหมากผิดอย่างมหันต์ เพราะกลายเป็นว่าแทนที่จาจะกลายเป็น “เหยื่อ” ตัวเสี่ยเจียงที่ต้องแบกความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารของสหมงคลฟิล์มทั้งหมด กลับกลายเป็น “เป้า” ที่ถูกสังคมพุ่งเข้ามาโจมตี ถึงขนาดที่มีการตั้งกระทู้แอนตี้สหมงคลฟิล์มกระหึ่มในโลกออนไลน์ ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่เพียงจะส่งผลกระทบถึงเสถียรภาพของ
สหมงคลฟิล์มโดยตรงเท่านั้น แต่ในทางอ้อมแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงบรรดาผู้สร้าง และนักแสดงคนอื่นๆ ในสังกัดด้วย ซึ่งก็ถือว่าไม่แฟร์กับคนอื่น ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีของจา และภาพยนตร์ “Fast and furious 7” แต่กลับต้องโดนหางเลขไปด้วย

นี่อาจจะเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทั้งเสี่ยเจียงและทีมที่ปรึกษากฎหมายจะต้องนำกลับมาทบทวนให้ดี

เสี่ยเจียงอาจจะมองเกมผิด คิดว่าการมีสัญญาอยู่ในมือ จะเป็นข้อได้เปรียบ ที่จะ “บีบ” หรือ “คลาย” จะให้ “ตาย” หรือ “อยู่” ล้วนเป็นผู้คุมเกมได้เองทั้งสิ้น ตรงกันข้าม สัญญาในมือนั้น กลับกลายเป็นจุดอ่อน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ความไม่โปร่งใส และออกจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบต่อคู่สัญญาอย่างจา ผิดวิสัยของคนที่ออกตัวมาเสมอว่ารักจาเหมือนลูกในไส้

ในสัญญาฉบับแรกที่ลงนามกันไว้ตั้งแต่ปี 2546 และมีระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี นั้น มีข้อหนึ่งระบุว่า

นักแสดงในสังกัด จะทำการแสดงหรือขับร้อง หรือทำการอื่นใดเกี่ยวกับการแสดงตามสัญญาให้กับทางบริษัท หรือตามบริษัทเห็นสมควรกำหนดเท่านั้น และจะไม่รับแสดงหรือกระทำการดังกล่าวให้บุคคลอื่น ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่จะได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าจากทางบริษัท

กับอีกข้อหนึ่งที่ระบุว่า

สัญญาฉบับนี้มีผลผูกพันระหว่างบริษัทกับนักแสดง ครูฝึก ผู้ควบคุม เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.2546 - 24 ก.ค.2556

ในกรณีที่บริษัทมีความประสงค์จะต่อสัญญาออกไป บริษัทจะต้องแจ้งความประสงค์ไปยังนักแสดง ครูฝึก และผู้ควบคุมให้ทราบล่วงหน้าก่อนครบกำหนดอายุในสัญญาไม่น้อยกว่า 2 เดือน เมื่อบริษัทได้แจ้งความประสงค์ดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่ามีการต่ออายุสัญญานี้ออกไปตามความประสงค์ของบริษัททันที

สัญญาฉบับนี้จาได้เซ็นไว้จริง ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน สมัยที่เขายังเป็นเด็กต่างจังหวัดโนเนม และยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเส้นทางในวงการบันเทิงจะเจิดจรัสสวยงามอย่างที่มุ่งหวังหรือไม่ การได้รับโอกาสให้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดใหญ่อย่าง
สหมงคลฟิล์ม ก็ถือเป็นหลักประกันสำหรับชีวิตในวงการบันเทิงได้เป็นอย่างดี เขาจึงตัดสินใจจรดปากกาเซ็นสัญญา อาจจะด้วยความไม่อยากให้โอกาสดีๆ หลุดลอย และก็อาจจะด้วยความไม่รัดกุมในเรื่องตัวบทกฎหมายตามประสาเด็กต่างจังหวัด ที่ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งข้อผูกมัดดังกล่าวจะย้อนกลับมาเป็นหอกทิ่มแทงตัวเอง ในวันที่ได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการ Go Inter ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดในชีวิตนักแสดง

ไม่แปลกที่หลายคนจะมองว่าสัญญาฉบับนั้นไม่ต่างกับ “สัญญาทาส” เพราะตลอดระยะสัญญา จาได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนเพียงเดือนละ 50,000 บาท บวกกับส่วนแบ่งจากรายได้ของภาพยนตร์ตามที่เสี่ยเจียงจะให้ (ในทางปฎิบัติ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเสี่ยเจียงอยู่แล้ว ว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้รายได้เท่าไหร่ และเมื่อนำมาหักลบกับต้นทุนในการสร้างและการโฆษณาแล้ว เหลือกำไรเท่าไหร่) ฉะนั้นแล้ว “ส่วนแบ่งจากรายได้ของภาพยนตร์ตามที่เสี่ยเจียงจะให้” จึงไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขที่แน่ชัดลงไปได้

อีกทั้งการที่ระบุในสัญญาว่า ถ้าอายุสัญญาฉบับแรกหมด บริษัทจะต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการพูดถึงข้อตกลงใหม่ เงื่อนไขใหม่ นั่นหมายถึงว่า ถ้ายึดตามสัญญาฉบับใหม่ (ที่ทางเสี่ยเจียงยืนยันว่าต่อโดยอัตโนมัติ และจารับรู้แล้ว) จาจะยังคงได้รับผลตอบแทนที่เดือนละ 50,000 บาท บวกกับค่าส่วนแบ่งจากภาพยนตร์ (ที่ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะได้เท่าไหร่ต่อเรื่อง) ไปอีก 10 ปี หรือพูดกันแบบง่ายๆ ก็คือจาจะได้รับผลตอบแทนเท่าเดิมมาตลอดตั้งแต่ปี 2546 ถึงปี 2566 (20 ปีเต็มๆ) แม้ว่าทุกวันนี้สถานะจะเปลี่ยนไป จากเด็กต่างจังหวัดที่หวังเพียงโอกาสเล็กๆ ในวงการบันเทิง กลายเป็นดาราแอ็กชั่นระดับฮอลลีวู้ด

ไม่ต้องถึงขนาดจา พนมหรอก ต่อให้เป็นพนักงานกินเงินเดือน ถ้าจะต้องดักดานที่เงินเดือนเท่าเดิมตลอดระยะเวลา20 ปี ก็ไม่มีใครทนได้เหมือนกัน !!

เรื่องนี้ต้องแยกกันให้เด็ดขาด ระหว่าง “ความกตัญญู” กับ “ความไม่ชอบธรรม”

ตรงกันข้าม ถ้าเสี่ยเจียงมีการพูดคุย มีข้อตกลง และมีเงื่อนไขใหม่ๆ ให้กับจา โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้เขาได้ไปเติบโตในโลกฮอลลีวู้ด มีหรือที่จาจะไม่ยินยอนพร้อมใจ เหมือนอย่างกรณีของ “เฉินหลง” ที่ตอนนี้ก็ถือว่าไปโด่งดังในระดับโลก มีโอกาสได้แสดงผลงานภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด แต่เมื่อโอกาสอำนวย เขาก็กลับมาแสดงภาพยนตร์ของฮ่องกงเหมือนเดิม

เส้นทางของจากับเฉินหลงก็อาจจะไม่แตกต่างกัน ถ้าเพียงแต่เสี่ยเจียงจะใจกว้างมากกว่านี้

และถ้าจะมาพูดกันถึงเรื่องบุญคุณ จริงอยู่ที่จาแจ้งเกิดในวงการได้ ก็เพราะได้รับโอกาสให้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “องค์บาก” ของสหมงคลฟิล์ม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ครั้งนั้นสหมงคลฟิล์มที่เกือบจะสิ้นชื่อไปจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ก็กลับมาลืมตาอ้าปากได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีจาแสดงนำเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ก็ถือว่า Win-Win !!

และอย่างที่มีคนกล่าวไว้ว่าบุญคุณจะหมดไปทันทีที่มีการทวงถาม คำพูดเชิงประชดแดกดันของเสี่ยเจียง ที่พูดถึงจาว่า

“ตอนยังไม่ดังมาก้มกราบเท้าเรา ตอนนี้มันดังแล้วเราต้องเป็นฝ่ายไปกราบมันแทน”

ถ้าตีความว่านี่คือการทวงบุญคุณ ก็เท่ากับว่าบุญคุณ (ที่คิดว่ามี) ระหว่างทั้งคู่สิ้นสุดกันไปเรียบร้อยแล้ว

การวางสนุ้กที่ใช้จังหวะที่ภาพยนตร์ “Fast and Furious 7” กำลังจะเข้าฉาย ออกมาให้ข่าวเรื่องละเมิดสัญญา เพื่อหวังจะดับฝันไม่ให้จามีโอกาสได้แจ้งเกิดในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด สำหรับพ่อที่มีเมตตาธรรมกับลูกจริงๆ แล้ว คงไม่มีใครทำแบบนี้ ก่อนจะทวงถามว่าเราจะ “ได้” อะไรกับเขา ควรถามใจตัวเองก่อนว่าเรา “ให้” อะไรกับเขาบ้างหรือยัง ?

ถ้าเสี่ยเจียงเปิดโอกาสให้จาได้ไปโด่งดังในฮอลลีวู้ด และวันหนึ่งเมื่อจามีโอกาสได้กลับมาแสดงภาพยนตร์ให้กับ
สหมงคลฟิล์ม หนังของเสี่ยเจียงก็จะดูมีฟอร์มขึ้นมาอีกเยอะ

เหตุใดจึงไม่คิดตรงนี้ ?

ขณะที่ข้ออ้างของทีมกฎหมาย ก็ฟังไม่ขึ้น ที่ว่าหนังฝรั่งเข้ามาฉายในบ้านเรามาแล้วก็โกยเงินออกไป เพราะจาก็เป็นนักแสดงไทยที่ได้ค่าตัว แถมยังถือว่าได้เบิกทางให้กับดาราไทยคนอื่นๆ ให้โกอินเตอร์ตามรอยไปอีก ในขณะที่หนังสหมงคลฟิล์มฉายได้เงิน เงินก็อยู่กับเสี่ยเจียงอยู่ดี นอกจากลูกหม้อของเสี่ยแล้ว ก็ไม่มีใครได้อะไรด้วย ตรงข้ามคนไทยดูหนังบางเรื่องของสหมงคลฟิลม์ อย่าง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” ก็เพราะความเป็นชาตินิยม ถึงแม้โปรดักชันจะลดสเกลแต่คนไทยก็ยังช่วยกันสนับสนุน

ว่ากันว่าเหตุผลที่เสี่ยเจียงออกมาฟาดงวงฟาดงาในครั้งนี้ ก็สืบเนื่องมาจากที่สหมงคลฟิล์มอยากให้ฮอลลีวู้ดมาร่วมทุนสร้างภาพยนตร์ แต่ทางฮอลลีวู้ดมองว่าในระยะหลัง ผลงานของสหมงคลฟิล์ม ไม่ค่อยเข้าตาเท่าใดนัก จึงปฏิเสธข้อเสนอนั้นไป แต่กลับสนใจที่จะได้จามาร่วมงานด้วย เมื่อโอกาสมาถึง จาจึงไม่รั้งรอที่จะรีบคว้าไว้ เพราะนับวันอายุตัวเองก็จะมากขึ้นๆ จะเล่นบู๊แอ็กชั่นได้อีกสักกี่ปีก็ไม่รู้

เหตุผลที่ทางเสี่ยเจียงยกมาอ้างกับนักข่าวเรื่องที่จายังคงค้างการดำเนินการถ่ายทำภาพยนตร์ “ไอ้หนุ่มกังนัม” ที่เขาเป็นผู้กำกับ และได้มีการเบิกเงินทางสหมงคลฟิล์มไปล่วงหน้ากว่า 26 ล้านบาท กับการตัดโอกาสเติบโตในฮอลลีวู้ดของจาก็ต้องแยกกันให้เด็ดขาด ถ้าจะฟ้องร้องในเรื่องของเงินๆ ทองๆ ที่เบิกจ่ายไป โดยที่ผลงานยังไม่ไปถึงไหนนั้น ก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง จะเอามารวมกันไม่ได้

ย้อนกลับมาพูดเรื่องการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติอีกครั้ง ดูเหมือนเสี่ยเจียงจะจงใจที่จะส่งจดหมายแจ้งเตือนเรื่องการต่อสัญญาไปที่บ้านที่จังหวัดสุรินทร์ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าจาไม่ได้กลับมาหลังนี้มาเนิ่นนานแล้ว โอกาสที่จาจะได้เห็นจดหมายฉบับนั้น จึงเป็นไปได้ยาก ครั้งนั้นจึงมีเพียงพี่สาวเป็นผู้เซ็นรับเอกสาร แต่ทางเสี่ยเจียงก็ตีขลุมไปว่า ทางจารับรู้เรื่องการต่อสัญญาโดยอัตโนมัตินี้แล้ว (สอดคล้องกับที่ทีมกฎหมาย ได้บอกกับนักข่าวว่า โดยทางกฎหมายแล้วถือว่าเป็นการต่อสัญญาโดยสมบูรณ์) โดยไม่มีการพูดคุยถึงจดหมายที่จาส่งมาที่บริษัท (ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556) เรื่องการขอไม่ต่อสัญญา ซึ่งได้มีการสำทำเนาถึงทั้ง “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ผู้กำกับ และ “พันนา ฤทธิไกร” ความว่า

“เนื่องจากข้าพเจ้ามิได้รับการแจ้งความประสงค์จะขอให้รับการต่อสัญญาจ้างจากทางบริษัท ภายใต้เงื่อนไขข้อ 3 ของสัญญาจ้าง ข้าพเจ้าจึงขอแจ้งมายังท่านทั้งหลายในฐานะเป็นคู่สัญญาเพื่อให้ทราบเป็นหลักฐานโดยทั่วกันว่า สัญญาจ้างได้สิ้นผลผูกพันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2556

โดยที่ขณะนี้ข้าพเจ้ายังมิได้ทำการตรวจสอบข้อมูลว่าบริษัทได้ดำเนินการใดๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างโดยถูกต้องครบถ้วนตลอดอายุสัญญาจ้างหรือไม่ ข้าพเจ้าจึงขอสงวนสิทธิ์ในการที่จะดำเนินการทางกฎหมายไว้หากปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของทางบริษัท”

จนเมื่อมีข่าวเรื่องจาจะไป Go Inter ทางเสี่ยเจียงก็ยื่นโนติ๊ส โดยส่งไปที่บ้านที่จังหวัดปทุมธานี ทั้งที่จดหมายฉบับแรกส่งไปที่บ้านจังหวัดสุรินทร์ ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงเจตนาที่ดูเหมือนจะตั้งใจบิดพลิ้วไม่ให้จาได้เห็นจดหมายการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ เพื่อปิดโอกาสหากเขาจะโต้งแย้ง

เมื่อมีการงัดข้อเรื่องสัญญามาพูดถึง จาจึงจำเป็นนิ่งเงียบ เพราะอาจจะส่งผลกระทบมาถึงครอบครัว ที่มีความเป็นไปได้สูงว่า อาจจะมีนอกมีในกับเรื่องการต่อสัญญาของจากับสหมงคลฟิล์มในครั้งนี้ ถ้าเขาจะลุกขึ้นมาฟ้องร้อง อาจจะต้องมีการสืบพยานกันยกใหญ่ ซึ่งก็หนีไม่พ้นที่คนในครอบครัวจะต้องถูกร่างแหไปด้วย

เรื่องของคนในครอบครัว ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้จาเจ็บช้ำน้ำใจ โดยเฉพาะเรื่องที่ถูกตราหน้าว่าเนรคุณพ่อบังเกิดเกล้า ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นหนึ่งในแผนการดิสเครดิตพระเอกนักบู๊อย่างเขา เพื่อไม่ให้เหลือที่ยืนในสังคม แม้จาจะเป็นนักแสดงดัง แต่อิทธิพลและบารมีก็ไม่ได้ล้นพ้นเหมือนกับคู่กรณี การที่จากลับมางานศพพ่อ และต้องมีบอดี้การ์ดมาคอยล้อมหน้าล้อมหลัง ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ที่ผ่านมา เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ การพูดคุยมาโดยตลอด เพราะถือว่าได้ยื่นจดหมายตอบเรื่องสัญญาไปแล้ว

ขณะที่น้ำหนักของความเห็นใจพุ่งไปที่จา และกล่าวโทษทางเสี่ยเจียงและสหมงคลฟิล์มในทำนอง “ผู้ใหญ่รังแกเด็ก” ในเวลาต่อมาในเฟซบุ๊กของ “สิตา วอสเบียน” ภรรยาของผู้กำกับ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ที่ถือว่าเป็นผู้ตัดสายสะดือแจ้งเกิดให้กับจาจากภาพยนตร์เรื่อง “องค์บาก” ได้มีการโพสต์ข้อความว่า

“หนุ่มเอย อย่าหลงดีใจไปนัก ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น จะยุติธรรมหรือไม่ ต้องรอผล แต่กรรมยุติธรรมเสมอ”

ในข้อความนี้ แม้ไม่ได้ระบุว่าหมายถึงใคร ? และเรื่องอะไร ? แต่ก็ไม่ยากที่จะโยงไปถึงกรณีของจากับเสี่ยเจียง นั่นแสดงว่าในเครือข่ายของสหมงคลฟิล์มนั้น มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จาผิดเต็มๆ โดยไม่ได้มองไปว่าภายใต้สัญญาฉบับดังกล่าวนั้น เป็นการเอาเปรียบ และทำให้นักแสดงไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขนาดไหน

จาอาจจะผิดจริง ที่ไม่ได้ศึกษาข้อความในสัญญาให้ดีตั้งแต่แรกก่อนจะจรดปากกาเซ็น ซึ่งในแง่มุมของกฎหมายนั้น ถือว่าจาตกเป็นจำเลย ชนิดที่เรียกว่าจำนนต่อหลักฐาน แต่การกระทำของเสี่ยเจียงต่อกรณีนี้ ก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย เพราะแทนที่จะสนับสนุนให้เด็กไปเติบโตนอกบ้านได้อย่างเต็มที่ กลับหน่วงเหนี่ยวให้เติบโตแค่ในก้นครัว

หรือเป็นได้มั้ยที่เสี่ยเจียงกลัวจะเกิดเหตุการณ์ “ไปแล้วไปลับ” เพราะนับจากจา พนมแล้ว แม้เสี่ยเจียง รวมถึงปรัชญา ปิ่นแก้ว ,พันนา ฤทธิไกร 3 ประสาน จะเพียรพยายามในการปั้นดารานักบู๊ขึ้นมาประดับวงการ ไม่ว่าจะเป็น “เดี่ยว-
ชูพงศ์ ช่างปรุง” หรือ “จีจ้า-ญาริน วิสมิตะนันทน์” ก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครไปถึงดวงดาวเหมือนอย่างจา จึงจำเป็นอยู่ที่จะต้องหวงแหน หน่วงเหนี่ยวเขาเอาไว้ เพื่อเป็นบ่อเงินบ่อทอง

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเสี่ยเจียงไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก ยังมีทุน มีโปรเจกต์หนังใหญ่ๆ อีกเพียบ ขณะที่จานับวันอายุก็จะเริ่มโรยรา ถ้าไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ อาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้มาให้คว้าอีก หลังจากที่เคยพลาดโอกาสดีๆ มาแล้ว เพราะทางสหมงคลฟิล์มบอกปัดเรื่องที่จะให้เขาไปแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด โปรดักชันยักษ์ และได้ร่วมงานกับดาราระดับโลกมาแล้วหลายเรื่องก่อนหน้านี้ โดยที่เจ้าตัวเพิ่งมาทราบเรื่องในภายหลัง ถึงกับเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่าเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้มาก

แม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง “Fast and Furious 7” จะได้เข้าฉายสมกับที่คอหนังเทศจดจ่อรอดู แต่มหากาพย์ความบาดหมางระหว่าง 2 จ. เสี่ยจางกับจา ยังต้องดำเนินต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าการจะต้องส่งผลกระทบถึงภาพยนตร์อินเตอร์อีก 2 เรื่องของจา ไม่ว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่นอาชญากรรม เรื่อง “Skin Trade” ที่เล่นประกับกับ “ดอล์ฟ ลันด์เกรน” จากฝีมือการกำกับของผู้กำกับสายเลือดไทย “เอกชัย เอื้อครองธรรม” ที่จะเข้าฉายต่อจาก “Fast and Furious 7” ในปลายเดือนนี้ รวมไปถึงหนังฮ่องกองฟอร์มยักษ์ “SPL 2 Time For Consequences ” ที่เขาเล่นเป็นพระเอกเต็มตัว (ภาคแรกเคยมี “เจินจือตัน” แสดงนำเอาไว้) และต้องมาประชันบทบู๊แอ็คชั่นกับ “อู๋จิง” และ “จางจิน” รวมไปถึง “เยิ่นต๊ะหัว” และ “กู๋เทียนเล่อ” และมีกำหนดเข้าฉายในราวเดือนกรกฎาคม และอาจจะรวมไปถึงหนังอื่นๆ ที่จะตามมาอีก อย่างเช่น “Kickboxer” ของ “ฝงเต๋อหลุน” ที่ก็มีข่าวว่าจาจะได้เล่นด้วย

วันนี้ถึงแม้จาจะเดินมาไกลจากเดิมมากโขแล้ว แต่คำถามที่เขาต้องตอบตัวเอง ก็คือคุ้มไหมกับความโด่งดังและผลประโยชน์ที่ทำให้คนคุ้นเคยกลายเป็นคนแปลกหน้าและสารพัดข้อหาที่โดนยัดเยียด โดยเฉพาะเรื่องเนรคุณทั้งกับพ่อผู้ให้กำเนิด และทั้งเสี่ยเจียง ที่เป็นเสมือนพ่อคนที่สอง แต่ในเมื่อเรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้ ก็คงจะต้องกัดฟันเดินหน้าต่อไป อย่างน้อยก็ยังมีกำลังใจจากชาวไทยทั้งประเทศที่เอาใจช่วยพระเอกนักบู๊ขวัญใจหนึ่งเดียวคนนี้อยู่

ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 283 4-10 เมษายน 2558




























กำลังโหลดความคิดเห็น