เรียกว่าเป็นกระแสในโลกโซเชียลขึ้นมาทันที เมื่อจู่ๆ ก็ได้มีการแชร์ข้อความที่ถูกระบุว่าเป็นคำถามจากข้อสอบเข้าสาธิตจุฬาอนุบาล 1 ด้วยประโยคที่ว่า.."อยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวานจัง วันนี้จะได้เป็นวันศุกร์ ถามว่าวันนี้คือวันอะไร?"
ผมว่าสาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้ถูกแชร์กันมากมาย คงจะมาจากการที่หลายคนที่ได้เห็นโจทย์นี้แล้วคงได้ลองแก้โจทย์ดูก่อนจะพบว่า อ้าว ตรูทำไม่ได้ว่ะ, คำตอบตรูถูกเปล่าว้า
เอาเป็นว่าถึงตอนนี้ใครที่ยังแก้โจทย์นี้ไม่ได้ หรือยังงงๆ กับคำตอบที่เขาตอบๆ กันจนสงสัยว่านี่ตรูโง่กว่าเด็กอนุบาลอีกหรือวะคงสบายใจได้
เพราะนอกจากฝ่ายประถมศึกษาสาธิตจุฬาฯ จะออกมายืนยันว่านี่ไม่ใช่ข้อสอบของเด็กอนุบาลอย่างแน่นอน(เนื่องจากสาธิตจุฬาฯ ไม่มีการสอบเข้าอนุบาลหนึ่ง)แล้ว ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือคำถามที่ว่านี้มันเป็นเชาว์ที่บรรดาพวกคนหัวดีเรียนเก่งประเภทวิศวะ-ไอทีเขาเอาไว้ทดสอบลองภูมิกันอีกต่างหาก (อ้างอิงจาก หัวปั่นสนั่นเน็ต! สยบข่าวลือข้อสอบหินระดับอนุบาล “วันนี้คือวันอะไร?”)
อาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่อันที่จริงคำถามนี้ก็คล้ายๆ กับคำถามประเภท "เงินหายไปไหน" ที่เคยฮิตในอดีตทำนองว่า ยืมเงินพ่อแม่คนละ 500 รวมเป็น 1,000 บาท ซื้อกระเป๋าราคา 970 บาท เหลือเงิน 30 บาท คืนแม่กับพ่อไปคนละ 10 บาท งุบงิบเอาไว้เองกับตัว 10 บาท เท่ากับว่าตอนนี้ติดพ่อกับแม่คนละ 490 (ยืม 500 คืน 10) รวมสองคนเป็น 980 บาท บวกกับเงินที่ตนเองงิบงุบไว้อีก 10 บาท เป็น 990 บาท...อ้าว แล้วเงินหายไปไหน 10 บาท?
หรือจะเป็น ชาย 3 คนช่วยกันออกค่าก๋วยเตี๋ยวคนละ 10 บาท รวมเป็น 30 บาท แต่เจ้าของร้านใจดี ลดค่าก๋วยเตี๋ยวให้ 5 บาท ทั้ง 3 คนเลยแบ่งเงินคืนคนละ 1 บาท เหลืออีก 2 บาทให้ทิปเด็กเสิร์ฟไป เท่ากับว่าทั้งสามออกเงินไปคนละ 9 บาท (ให้ไป 10 บาทได้คืนมา 1 บาท) 3 คนออกคนละ 9 บาท รวมกันเป็น 27 บาท บวกกับที่ให้ทิปเด็กไปอีก 2 บาท เป็น 29 บาท...อ้าว แล้วเงินหายไปไหนบาทนึง?
เรียนตามตรง ผมชอบมากครับกับคำถามที่ออกแนวปัญหาเชาว์นิดๆ เช่นนี้ เพราะนอกจากจะได้เห็นความอัจฉริยะของคนตั้งคำถาม ได้ทึ่งไปกับคนเก่งๆ ที่สามารถคิดคำณวนคำตอบ "ที่ถูกต้อง" แล้ว ปฏิกิริยาความรู้สึกรวมถึงวิธีการมองโจทก์ของแต่ละคนก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
เริ่มตั้งแต่คนที่แชร์คำถามนี้มาให้เรา สังเกตได้เลยว่าพวกนี้เป็นพวกมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเรื่องอะไรก็อยากจะบอกต่อ แชร์ต่อ ชอบเอาเรื่องคนนั้นมาบอกคนนี้ เอาเรื่องคนนี้ไปบอกคนนั้น ซึ่งหลายครั้งที่เรื่องซึ่งคนพวกนี้นำมาบอก เอามาถาม บางทีก็ไม่ได้ต้องการจะได้คำตอบอะไรหรอกครับ แค่อยากบอกเฉยๆ กลัวเพื่อนๆ ตกกระแส ไม่อินเทรนด์
ส่วนไอ้คนที่ตอนเรียนเป็นคนหัวไว ชอบเรียนเลข เก่งคณิต ได้คะแนนดีๆ พวกนี้เป็นที่สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่มองแว้บเดียวมันก็รู้เลยว่าคำถามแบบนี้ต้องแทนค่าเป็นสมการ x อย่างนั้น y อย่างนี้ ปุ๊บปั๊บ บวกลบคูณหารจนได้คำตอบ ซึ่งคำตอบที่ออกมาจากคนพวกนี้มักจะไม่ค่อยพลาดหรอกครับแต่เพื่อนๆ จะไม่ค่อยเชื่อ เพราะสิ่งที่คนพวกนี้อธิบาย xx yy อะไรนั้นมันค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากที่เพื่อนๆ จะเข้าใจนั่นเอง
ขณะที่พวกที่ชอบเรียนภาษาหรือเรียนกฏหมายก็ดี พวกนี้จะค่อนข้างให้ความสำคัญกับการตีความอยู่พอสมควรทีเดียว เช่น จากโจทย์ระบุว่า "อยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวาน" เพราะฉะนั้นเราต้องมาดูก่อนว่าคำว่า "อยากให้" รวมถึงคำว่า "จะได้" มีนัยสำคัญว่าอย่างไร เพราะมันจะส่งผลถึงความหมายของ "พรุ่งนี้" และ "เมื่อวาน" ว่าตกลงวันไหนจริง วันไหนสมมติ ฯ สำหรับนิสัยของคนที่คิดเช่นนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกชอบพูด ชอบอธิบาย แต่ไม่ชอบฟันธง
"คิดอะไรมาก เขาถามวันไหนก็ตอบวันนั้น..." เชื่อเถอะพวกที่ตอบแบบนี้ผิวเผินดูเหมือนจะมีความคิด แต่จริงๆ เป็นพวกที่ไม่ชอบคิดอะไร แถมยังไม่ใส่ใจในรายละเอียด ที่สำคัญเป็นพวกที่ไม่ค่อยจะฟังเหตุผลหรือคำอธิบายของคนอื่นเอาเสียเลย
สำหรับพวกที่บอกว่า "โห ถึงกับตั้งเป็นสมการเชียวหรือ เขาถามเด็กอนุบาลนะ เพราะฉะนั้นมันคงไม่ต้องคิดอะไรให้สลับซับซ้อนหรอกมั้ง..." พวกนี้อาจจะไม่ใช่พวกที่ละเอียดรอบครอบสักเท่าไหร่แต่ก็ยังดีที่เป็นคนช่างสังเกตและมีเหตุมีผล แต่กระนั้นเหตุผลที่ถูกใช้ก็มักจะออกไปในทำนองข้างๆ คูๆ เสียมากกว่า
ส่วนพวกที่ไม่ค่อยจะค้นหาคำตอบแต่ชอบถามทำนองว่า "จริงเหรอ ทำไมอย่างนั้นล่ะ อ๋อ เข้าใจละ" ลักษณะนี้จะเข้าข่ายพวกที่ขี้เซ้าซี้ ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ชอบสร้างความน่ารำคาญแต่ก็ไม่ถึงขนาดมีพิษมีภัย
ถ้ามาประเภทแบบว่าไม่ต้องการวิธีคิด ไม่ต้องมีคำอธิบาย "เฉลยมาเลย อยากรู้แล้ว วันนี้วันอะไร..." อันนี้ออกแนวนักเลง ใจร้อน ไม่ชอบทางเลือก ไม่ชอบพวกเรื่องมาก
ประเภทชอบไปเอาคำตอบเอาคำอธิบายของคนอื่นมาเฉลย พวกนี้แบ่งได้ 2 แบบ คือถ้าให้เครดิตคนอื่น อันนี้คบได้สนิทใจ เพราะเป็นคนมีน้ำใจ มีความพยายาม อยากมีส่วนร่วม อยากจะมีประโยชน์และรู้ว่าตนเองมีความสามารถในระดับไหน แต่ถ้าเป็นพวกที่ไม่ชอบให้เครดิตเขาพวกนี้ค่อนข้างคบยาก คบได้ก็ไม่สนิทใจ เพราะออกแนวขี้โม้ ขี้เกียจแต่ดันอยากได้ผลงาน
"พรุ่งนี้มันเป็นจะเป็นเมื่อวานได้ไง..." ถ้าจั่วหัวมาด้วยประเโยคแนวนี้ พวกนี้จะเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ค่อยอยากมีเรื่องกับใคร ขี้รำคาญ และมีแววว่าสุดท้ายจะไปบวชค้นหาสัจธรรมอะไรบางอย่าง
แต่ถ้ามาในแนว "จริงๆ คำถามนี้มันเป็นเรื่องของจิตวิทยา เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่พรุ่งนี้จะมาเป็นเมื่อวานและเมื่อวานจะมาเป็นพรุ่งนี้....ฯลฯ" พวกนี้เหมือนจะมีหลักแนวคิดแต่อันที่จริงจะไปในแนวจินตนาการค่อนข้างสูง ช่างคิด ทั้งๆ ที่มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิด
สำหรับพวกที่เห็นคำถามแล้วไม่มีปฏิกิริยาไม่ได้สนใจที่จะมีส่วนร่วมตรงนี้คาดว่าเจ้าตัวคงจะมีธุระที่สำคัญที่จะต้องคิดต้องทำมากกว่า
และสุดท้ายสำหรับพวกที่ ตอบก็ไม่ตอบ แถมยังไปเอาเรื่องของเพื่อนๆ ในกลุ่มมาโพนทะนาแบบเดามั่วเพ้อเจ้อไร้สาระอีกต่างหาก พวกนี้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยครับว่าน่าจะเป็นคนที่หน้าตาดี จิตใจงาม มีความสามารถไม่ชอบแสดงออก รักเพื่อน ซื่อสัตย์ จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจบุญ ฯ เรียกว่าสารพัดความดีงามกันเลยทีเดียว
ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปสังเกตเพื่อนๆ ในกลุ่มดูได้เลยครับ
...
หมายเหตุ : เป็นการประเมินของผู้เขียนภายในกลุ่มคนที่รู้จักกันเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้
ผมว่าสาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้ถูกแชร์กันมากมาย คงจะมาจากการที่หลายคนที่ได้เห็นโจทย์นี้แล้วคงได้ลองแก้โจทย์ดูก่อนจะพบว่า อ้าว ตรูทำไม่ได้ว่ะ, คำตอบตรูถูกเปล่าว้า
เอาเป็นว่าถึงตอนนี้ใครที่ยังแก้โจทย์นี้ไม่ได้ หรือยังงงๆ กับคำตอบที่เขาตอบๆ กันจนสงสัยว่านี่ตรูโง่กว่าเด็กอนุบาลอีกหรือวะคงสบายใจได้
เพราะนอกจากฝ่ายประถมศึกษาสาธิตจุฬาฯ จะออกมายืนยันว่านี่ไม่ใช่ข้อสอบของเด็กอนุบาลอย่างแน่นอน(เนื่องจากสาธิตจุฬาฯ ไม่มีการสอบเข้าอนุบาลหนึ่ง)แล้ว ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือคำถามที่ว่านี้มันเป็นเชาว์ที่บรรดาพวกคนหัวดีเรียนเก่งประเภทวิศวะ-ไอทีเขาเอาไว้ทดสอบลองภูมิกันอีกต่างหาก (อ้างอิงจาก หัวปั่นสนั่นเน็ต! สยบข่าวลือข้อสอบหินระดับอนุบาล “วันนี้คือวันอะไร?”)
อาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่อันที่จริงคำถามนี้ก็คล้ายๆ กับคำถามประเภท "เงินหายไปไหน" ที่เคยฮิตในอดีตทำนองว่า ยืมเงินพ่อแม่คนละ 500 รวมเป็น 1,000 บาท ซื้อกระเป๋าราคา 970 บาท เหลือเงิน 30 บาท คืนแม่กับพ่อไปคนละ 10 บาท งุบงิบเอาไว้เองกับตัว 10 บาท เท่ากับว่าตอนนี้ติดพ่อกับแม่คนละ 490 (ยืม 500 คืน 10) รวมสองคนเป็น 980 บาท บวกกับเงินที่ตนเองงิบงุบไว้อีก 10 บาท เป็น 990 บาท...อ้าว แล้วเงินหายไปไหน 10 บาท?
หรือจะเป็น ชาย 3 คนช่วยกันออกค่าก๋วยเตี๋ยวคนละ 10 บาท รวมเป็น 30 บาท แต่เจ้าของร้านใจดี ลดค่าก๋วยเตี๋ยวให้ 5 บาท ทั้ง 3 คนเลยแบ่งเงินคืนคนละ 1 บาท เหลืออีก 2 บาทให้ทิปเด็กเสิร์ฟไป เท่ากับว่าทั้งสามออกเงินไปคนละ 9 บาท (ให้ไป 10 บาทได้คืนมา 1 บาท) 3 คนออกคนละ 9 บาท รวมกันเป็น 27 บาท บวกกับที่ให้ทิปเด็กไปอีก 2 บาท เป็น 29 บาท...อ้าว แล้วเงินหายไปไหนบาทนึง?
เรียนตามตรง ผมชอบมากครับกับคำถามที่ออกแนวปัญหาเชาว์นิดๆ เช่นนี้ เพราะนอกจากจะได้เห็นความอัจฉริยะของคนตั้งคำถาม ได้ทึ่งไปกับคนเก่งๆ ที่สามารถคิดคำณวนคำตอบ "ที่ถูกต้อง" แล้ว ปฏิกิริยาความรู้สึกรวมถึงวิธีการมองโจทก์ของแต่ละคนก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
เริ่มตั้งแต่คนที่แชร์คำถามนี้มาให้เรา สังเกตได้เลยว่าพวกนี้เป็นพวกมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเรื่องอะไรก็อยากจะบอกต่อ แชร์ต่อ ชอบเอาเรื่องคนนั้นมาบอกคนนี้ เอาเรื่องคนนี้ไปบอกคนนั้น ซึ่งหลายครั้งที่เรื่องซึ่งคนพวกนี้นำมาบอก เอามาถาม บางทีก็ไม่ได้ต้องการจะได้คำตอบอะไรหรอกครับ แค่อยากบอกเฉยๆ กลัวเพื่อนๆ ตกกระแส ไม่อินเทรนด์
ส่วนไอ้คนที่ตอนเรียนเป็นคนหัวไว ชอบเรียนเลข เก่งคณิต ได้คะแนนดีๆ พวกนี้เป็นที่สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่มองแว้บเดียวมันก็รู้เลยว่าคำถามแบบนี้ต้องแทนค่าเป็นสมการ x อย่างนั้น y อย่างนี้ ปุ๊บปั๊บ บวกลบคูณหารจนได้คำตอบ ซึ่งคำตอบที่ออกมาจากคนพวกนี้มักจะไม่ค่อยพลาดหรอกครับแต่เพื่อนๆ จะไม่ค่อยเชื่อ เพราะสิ่งที่คนพวกนี้อธิบาย xx yy อะไรนั้นมันค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากที่เพื่อนๆ จะเข้าใจนั่นเอง
ขณะที่พวกที่ชอบเรียนภาษาหรือเรียนกฏหมายก็ดี พวกนี้จะค่อนข้างให้ความสำคัญกับการตีความอยู่พอสมควรทีเดียว เช่น จากโจทย์ระบุว่า "อยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวาน" เพราะฉะนั้นเราต้องมาดูก่อนว่าคำว่า "อยากให้" รวมถึงคำว่า "จะได้" มีนัยสำคัญว่าอย่างไร เพราะมันจะส่งผลถึงความหมายของ "พรุ่งนี้" และ "เมื่อวาน" ว่าตกลงวันไหนจริง วันไหนสมมติ ฯ สำหรับนิสัยของคนที่คิดเช่นนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกชอบพูด ชอบอธิบาย แต่ไม่ชอบฟันธง
"คิดอะไรมาก เขาถามวันไหนก็ตอบวันนั้น..." เชื่อเถอะพวกที่ตอบแบบนี้ผิวเผินดูเหมือนจะมีความคิด แต่จริงๆ เป็นพวกที่ไม่ชอบคิดอะไร แถมยังไม่ใส่ใจในรายละเอียด ที่สำคัญเป็นพวกที่ไม่ค่อยจะฟังเหตุผลหรือคำอธิบายของคนอื่นเอาเสียเลย
สำหรับพวกที่บอกว่า "โห ถึงกับตั้งเป็นสมการเชียวหรือ เขาถามเด็กอนุบาลนะ เพราะฉะนั้นมันคงไม่ต้องคิดอะไรให้สลับซับซ้อนหรอกมั้ง..." พวกนี้อาจจะไม่ใช่พวกที่ละเอียดรอบครอบสักเท่าไหร่แต่ก็ยังดีที่เป็นคนช่างสังเกตและมีเหตุมีผล แต่กระนั้นเหตุผลที่ถูกใช้ก็มักจะออกไปในทำนองข้างๆ คูๆ เสียมากกว่า
ส่วนพวกที่ไม่ค่อยจะค้นหาคำตอบแต่ชอบถามทำนองว่า "จริงเหรอ ทำไมอย่างนั้นล่ะ อ๋อ เข้าใจละ" ลักษณะนี้จะเข้าข่ายพวกที่ขี้เซ้าซี้ ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ชอบสร้างความน่ารำคาญแต่ก็ไม่ถึงขนาดมีพิษมีภัย
ถ้ามาประเภทแบบว่าไม่ต้องการวิธีคิด ไม่ต้องมีคำอธิบาย "เฉลยมาเลย อยากรู้แล้ว วันนี้วันอะไร..." อันนี้ออกแนวนักเลง ใจร้อน ไม่ชอบทางเลือก ไม่ชอบพวกเรื่องมาก
ประเภทชอบไปเอาคำตอบเอาคำอธิบายของคนอื่นมาเฉลย พวกนี้แบ่งได้ 2 แบบ คือถ้าให้เครดิตคนอื่น อันนี้คบได้สนิทใจ เพราะเป็นคนมีน้ำใจ มีความพยายาม อยากมีส่วนร่วม อยากจะมีประโยชน์และรู้ว่าตนเองมีความสามารถในระดับไหน แต่ถ้าเป็นพวกที่ไม่ชอบให้เครดิตเขาพวกนี้ค่อนข้างคบยาก คบได้ก็ไม่สนิทใจ เพราะออกแนวขี้โม้ ขี้เกียจแต่ดันอยากได้ผลงาน
"พรุ่งนี้มันเป็นจะเป็นเมื่อวานได้ไง..." ถ้าจั่วหัวมาด้วยประเโยคแนวนี้ พวกนี้จะเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ค่อยอยากมีเรื่องกับใคร ขี้รำคาญ และมีแววว่าสุดท้ายจะไปบวชค้นหาสัจธรรมอะไรบางอย่าง
แต่ถ้ามาในแนว "จริงๆ คำถามนี้มันเป็นเรื่องของจิตวิทยา เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่พรุ่งนี้จะมาเป็นเมื่อวานและเมื่อวานจะมาเป็นพรุ่งนี้....ฯลฯ" พวกนี้เหมือนจะมีหลักแนวคิดแต่อันที่จริงจะไปในแนวจินตนาการค่อนข้างสูง ช่างคิด ทั้งๆ ที่มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิด
สำหรับพวกที่เห็นคำถามแล้วไม่มีปฏิกิริยาไม่ได้สนใจที่จะมีส่วนร่วมตรงนี้คาดว่าเจ้าตัวคงจะมีธุระที่สำคัญที่จะต้องคิดต้องทำมากกว่า
และสุดท้ายสำหรับพวกที่ ตอบก็ไม่ตอบ แถมยังไปเอาเรื่องของเพื่อนๆ ในกลุ่มมาโพนทะนาแบบเดามั่วเพ้อเจ้อไร้สาระอีกต่างหาก พวกนี้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยครับว่าน่าจะเป็นคนที่หน้าตาดี จิตใจงาม มีความสามารถไม่ชอบแสดงออก รักเพื่อน ซื่อสัตย์ จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจบุญ ฯ เรียกว่าสารพัดความดีงามกันเลยทีเดียว
ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปสังเกตเพื่อนๆ ในกลุ่มดูได้เลยครับ
...
หมายเหตุ : เป็นการประเมินของผู้เขียนภายในกลุ่มคนที่รู้จักกันเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้