เคยมั้ยครับที่แบบว่าไปเจออะไรมาแล้วเกิดความรู้สึกว่าอยากบอกต่อจัง(โว้ย)
ผมเองสัมผัสกับความรู้สึกที่ว่านี้ขึ้นมาทันทีหลังมีโอกาสได้ดูหนังเกาหลีที่มีชื่อว่า "I Saw the Devil"
จำไม่ได้เหมือนกับว่าได้ดีวีดีหนังเรื่องนี้มาได้อย่างไร?(ขออภัยผู้ที่ให้มาด้วย) รู้แต่ว่านานพอสมควร เพราะหนังออกฉายตั้งแต่ปี 2553 (ในชื่อไทยว่า "เกมโหด่าโหด" แต่ในแผ่นดีวีดีนี้ใช้ชื่อว่า "นักฆ่า/ล่า/เดนวิปริต" ซึ่งคงตั้งใจตั้งให้คล้องกับเรื่อง Iris ที่ใช้ชื่อว่า "นักฆ่า/ล่า/หัวใจเธอ" เนื่องจากมีตัวเอกคนเดียวกัน)
ที่ไม่ได้หยิบมาดูเสียทีก็เพราะผมไม่ชอบหนังในแนวประเภทฆาตกรซาดิสต์โรคจิตวิปริตแนวเลือดสาดกระจาย ฆ่ากันโหดๆ แบบ หั่นศพ เจาะลูกตา ทุบหัวแบะ ชำแหละหัวใจ ควักตับไตไส้พุง ฯ อะไรเทือกนี้เอาเสียเลย
ดูได้ครับ แต่ต้องนานๆ ที
เพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าหนังแนวนี้โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าส่วนใหญ่มักจะไปให้ความสำคัญกันที่เรื่องของความโหดว่าใครจะดีไซน์การฆ่าได้แหวะได้สยองจิตเป็นที่(ไม่)น่าจดจำมากกว่ากัน ขณะที่เนื้อหาเรื่องราวต่างๆ นั้นแทบจะหาความสนุกไม่เจอ
แต่ไมใช่กับหนังเรื่องนี้ครับ
"I Saw the Devil" เป็นผลงานการกำกับของ "คิมจีวุน" (Kim Jee-woon) ที่หลายคนคงคุ้นเคยผลงานของเขาดีจาก A Tale of Two Sisters หรือ "ตู้ซ่อนผี"
เอาแค่หนังได้ 2 นักแสดงอย่างพระเอกหนุ่มคนดังมาแรง "ลี บยอง ฮุน" (Byung-hun Lee) จาก GI JOE มาประกบคู่กับดารารุ่นเก๋า "ชอย มินซิก" (Min-sik Choi) จาก OLDBOY ก็น่าจะการันตีได้แล้วครับว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ
หนังบอกเล่าเรื่องราวของตำรวจลับ "โซยุน" (รับบทโดย "ลี บยอง ฮุน") ซึ่งต้องสูญเสียคู่หมั้นไปอย่างไม่คาดฝันด้วยน้ำมืออันโหดเหี้ยมของฆาตกรโรคจิต "จางคุง ชุล" (รับบทโดย "ชอย มินซิก) ที่หลงใหลการฆ่าเหยื่อที่เป็นสาวๆ เป็นที่สุด
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นแบบทำใจอย่างไรก็ยอมรับไม่ได้นี้เองทำให้ "โซยุน" ตัดสินใจขอพักงานออกมาตามล่าล้างแค้นฆาตกรด้วยตนเอง
เนื้อเรื่องก็มีเท่านี้ แต่ขอบอกว่ามันโคตร-โคตรมัน
ฉากโหดๆ ประเภทใช้ค้อนทุบหัวปั่กๆๆ เอามีดกรีดตัดเส้นเอ็น สับแขน สับขา แทงกระซวก ฯ มีให้เห็นตลอดเรื่อง แต่เชื่อเถอะครับว่าเราจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกสยดสยองสักเท่าไหร่
เนื่องจากทุกอย่างถูกทดแทนด้วยความ "เหนือชั้น" ของการเล่าเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลัง มี "อะไร" ที่ชวนให้ติดตามด้วยใจที่ลุ้นระทึกเอามากๆ
หลายต่อหลายฉากดูแล้วต้องบอกว่าเล่นเอาถึงขั้น "จิตตก" เช่น ฉากที่คู่หมั้นพระเอกพยายามอ้าปากเปล่งเสียงด้วยลมหายใจที่รวยรินร้องขอชีวิตโดยบอกว่าตนกำลังตั้งท้องอ่อน ก่อนที่กล้องจะซูมมาที่ใบหน้าฉายให้เห็นแววตาของฆาตกรที่ดูเศร้าสร้อย ทันทีทันใดมันก็ง้างปังตอฟันฉับลงไปบนเรือนร่างของเธอเป็นคำตอบ
นอกจากจะให้ตัวร้ายมีฝีมือที่เกือบจะทัดเทียมกับพระเอกของเราจนทำให้ฉากต่อสู้แต่ละครั้งดูสนุกสะใจรวมถึงได้ลุ้นด้วยว่าทั้งคู่จะทำอะไรโต้-ตอบกันไปมาอย่างไรแล้ว
ผมยังชอบการที่หนังยังกำหนดให้สามัญสำนึกของตัวร้ายปราศจากซึ่งคำว่า "สำนึก" "รู้สึกผิด" "ละอาย" "สงสาร" "เมตตา" เพราะตรงนี้แหละครับที่ทำให้การแก้แค้นของพระเอกของเราด้วยวิธีที่คนที่ได้เจอต้องร้องบอกว่า "ให้กูตายเสียยังดีกว่า" แทบจะไม่มีผลอะไรกับไอ้โรคจิตคนนี้เอาเสียเลย
และทั้งหมดก็ทำให้เราได้ลุ้นว่าสุดท้ายแล้วพระเอกของเราจะใช้วิธีอะไร จะทำอย่างไร ที่ทำให้ฆาตกรซึ่งไม่แคร์ความตาย ไม่ยี่หระว่าตัวเองจะกระดูกแหลกไปกี่ชิ้น เอ็นขาดไปกี่เส้น เนื้อทะลุไปกี่รู ฯ ได้สัมผัสซึ่งความกลัวจนต้อง "ร้องขอชีวิต" เหมือนกับที่บรรดาเหยื่อๆ ของมันได้รับ
หนังอาจจะให้อารมณ์หลอนไม่เท่ากับ OLDBOY เพราะออกแนวแอ็กชั่นนิดๆ แต่เอาเป็นว่าใครได้ดูไปจนถึงฉากจบของหนังเรื่องนี้ รับรองได้ว่าไม่ใช่แค่จะจำไปจนวันตายเท่านั้นครับ...
แต่ถึงขั้นตายไปแล้วก็ยังไม่ลืมกันเลยทีเดียว
สุดท้าย แม้โดยรวมหนังจะบอกกล่าวในทำนองที่ว่าหนทางแห่งการแก้แค้นแบบตาต่อตา-ฟันต่อฟันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น หนำซ้ำยังทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ หากแต่ด้วยสภาพสังคมของบ้านเราที่นับวันจะอุดมขึ้นด้วยข่าวประเภท ฆาตกรโหดฆ่าข่มขืนเด็กวัย 14 ก่อนโยนศพทิ้งจากรถไฟ, รปภ.หื่นข่มขืนเด็ก 4 ขวบก่อนฆ่านำศพยัดท่อ ฯ อะไรทำนองนี้แล้ว
อดไม่ได้ที่จะสนับสนุนให้เอาวิธีของพระเอกในหนังเรื่องนี้ไปใช้ครับ
ผมเองสัมผัสกับความรู้สึกที่ว่านี้ขึ้นมาทันทีหลังมีโอกาสได้ดูหนังเกาหลีที่มีชื่อว่า "I Saw the Devil"
จำไม่ได้เหมือนกับว่าได้ดีวีดีหนังเรื่องนี้มาได้อย่างไร?(ขออภัยผู้ที่ให้มาด้วย) รู้แต่ว่านานพอสมควร เพราะหนังออกฉายตั้งแต่ปี 2553 (ในชื่อไทยว่า "เกมโหด่าโหด" แต่ในแผ่นดีวีดีนี้ใช้ชื่อว่า "นักฆ่า/ล่า/เดนวิปริต" ซึ่งคงตั้งใจตั้งให้คล้องกับเรื่อง Iris ที่ใช้ชื่อว่า "นักฆ่า/ล่า/หัวใจเธอ" เนื่องจากมีตัวเอกคนเดียวกัน)
ที่ไม่ได้หยิบมาดูเสียทีก็เพราะผมไม่ชอบหนังในแนวประเภทฆาตกรซาดิสต์โรคจิตวิปริตแนวเลือดสาดกระจาย ฆ่ากันโหดๆ แบบ หั่นศพ เจาะลูกตา ทุบหัวแบะ ชำแหละหัวใจ ควักตับไตไส้พุง ฯ อะไรเทือกนี้เอาเสียเลย
ดูได้ครับ แต่ต้องนานๆ ที
เพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าหนังแนวนี้โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าส่วนใหญ่มักจะไปให้ความสำคัญกันที่เรื่องของความโหดว่าใครจะดีไซน์การฆ่าได้แหวะได้สยองจิตเป็นที่(ไม่)น่าจดจำมากกว่ากัน ขณะที่เนื้อหาเรื่องราวต่างๆ นั้นแทบจะหาความสนุกไม่เจอ
แต่ไมใช่กับหนังเรื่องนี้ครับ
"I Saw the Devil" เป็นผลงานการกำกับของ "คิมจีวุน" (Kim Jee-woon) ที่หลายคนคงคุ้นเคยผลงานของเขาดีจาก A Tale of Two Sisters หรือ "ตู้ซ่อนผี"
เอาแค่หนังได้ 2 นักแสดงอย่างพระเอกหนุ่มคนดังมาแรง "ลี บยอง ฮุน" (Byung-hun Lee) จาก GI JOE มาประกบคู่กับดารารุ่นเก๋า "ชอย มินซิก" (Min-sik Choi) จาก OLDBOY ก็น่าจะการันตีได้แล้วครับว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ
หนังบอกเล่าเรื่องราวของตำรวจลับ "โซยุน" (รับบทโดย "ลี บยอง ฮุน") ซึ่งต้องสูญเสียคู่หมั้นไปอย่างไม่คาดฝันด้วยน้ำมืออันโหดเหี้ยมของฆาตกรโรคจิต "จางคุง ชุล" (รับบทโดย "ชอย มินซิก) ที่หลงใหลการฆ่าเหยื่อที่เป็นสาวๆ เป็นที่สุด
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นแบบทำใจอย่างไรก็ยอมรับไม่ได้นี้เองทำให้ "โซยุน" ตัดสินใจขอพักงานออกมาตามล่าล้างแค้นฆาตกรด้วยตนเอง
เนื้อเรื่องก็มีเท่านี้ แต่ขอบอกว่ามันโคตร-โคตรมัน
ฉากโหดๆ ประเภทใช้ค้อนทุบหัวปั่กๆๆ เอามีดกรีดตัดเส้นเอ็น สับแขน สับขา แทงกระซวก ฯ มีให้เห็นตลอดเรื่อง แต่เชื่อเถอะครับว่าเราจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกสยดสยองสักเท่าไหร่
เนื่องจากทุกอย่างถูกทดแทนด้วยความ "เหนือชั้น" ของการเล่าเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลัง มี "อะไร" ที่ชวนให้ติดตามด้วยใจที่ลุ้นระทึกเอามากๆ
หลายต่อหลายฉากดูแล้วต้องบอกว่าเล่นเอาถึงขั้น "จิตตก" เช่น ฉากที่คู่หมั้นพระเอกพยายามอ้าปากเปล่งเสียงด้วยลมหายใจที่รวยรินร้องขอชีวิตโดยบอกว่าตนกำลังตั้งท้องอ่อน ก่อนที่กล้องจะซูมมาที่ใบหน้าฉายให้เห็นแววตาของฆาตกรที่ดูเศร้าสร้อย ทันทีทันใดมันก็ง้างปังตอฟันฉับลงไปบนเรือนร่างของเธอเป็นคำตอบ
นอกจากจะให้ตัวร้ายมีฝีมือที่เกือบจะทัดเทียมกับพระเอกของเราจนทำให้ฉากต่อสู้แต่ละครั้งดูสนุกสะใจรวมถึงได้ลุ้นด้วยว่าทั้งคู่จะทำอะไรโต้-ตอบกันไปมาอย่างไรแล้ว
ผมยังชอบการที่หนังยังกำหนดให้สามัญสำนึกของตัวร้ายปราศจากซึ่งคำว่า "สำนึก" "รู้สึกผิด" "ละอาย" "สงสาร" "เมตตา" เพราะตรงนี้แหละครับที่ทำให้การแก้แค้นของพระเอกของเราด้วยวิธีที่คนที่ได้เจอต้องร้องบอกว่า "ให้กูตายเสียยังดีกว่า" แทบจะไม่มีผลอะไรกับไอ้โรคจิตคนนี้เอาเสียเลย
และทั้งหมดก็ทำให้เราได้ลุ้นว่าสุดท้ายแล้วพระเอกของเราจะใช้วิธีอะไร จะทำอย่างไร ที่ทำให้ฆาตกรซึ่งไม่แคร์ความตาย ไม่ยี่หระว่าตัวเองจะกระดูกแหลกไปกี่ชิ้น เอ็นขาดไปกี่เส้น เนื้อทะลุไปกี่รู ฯ ได้สัมผัสซึ่งความกลัวจนต้อง "ร้องขอชีวิต" เหมือนกับที่บรรดาเหยื่อๆ ของมันได้รับ
หนังอาจจะให้อารมณ์หลอนไม่เท่ากับ OLDBOY เพราะออกแนวแอ็กชั่นนิดๆ แต่เอาเป็นว่าใครได้ดูไปจนถึงฉากจบของหนังเรื่องนี้ รับรองได้ว่าไม่ใช่แค่จะจำไปจนวันตายเท่านั้นครับ...
แต่ถึงขั้นตายไปแล้วก็ยังไม่ลืมกันเลยทีเดียว
สุดท้าย แม้โดยรวมหนังจะบอกกล่าวในทำนองที่ว่าหนทางแห่งการแก้แค้นแบบตาต่อตา-ฟันต่อฟันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น หนำซ้ำยังทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ หากแต่ด้วยสภาพสังคมของบ้านเราที่นับวันจะอุดมขึ้นด้วยข่าวประเภท ฆาตกรโหดฆ่าข่มขืนเด็กวัย 14 ก่อนโยนศพทิ้งจากรถไฟ, รปภ.หื่นข่มขืนเด็ก 4 ขวบก่อนฆ่านำศพยัดท่อ ฯ อะไรทำนองนี้แล้ว
อดไม่ได้ที่จะสนับสนุนให้เอาวิธีของพระเอกในหนังเรื่องนี้ไปใช้ครับ