ดาราสาว “แพมแพม” แถลงเสียงสั่น ยกมือไหว้ขอโทษทุกฝ่าย ยันอยากจบเพราะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ปัดทำตัวกร่างยกพวกรุมตื๊บเพื่อนบ้าน ย้ำน้องชายต่อยคู่กรณีตัวต่อตัวไร้อาวุธ รับห่วงความปลอดภัยของครอบครัว
หลังจากที่มีกระแสในโลกออนไลน์ ได้มีการแฉข้อความระบุว่า ดาราสาวช่อง 3 ใหญ่คับฟ้า ทำตัวกร่าง ยกพวกรุมทำร้ายเพื่อนบ้านจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สมองบวม จำอะไรไม่ได้ เหตุเพราะเข้าไปตักเตือนที่อีกฝ่ายขับรถเร็วในหมู่บ้าน หวั่นขับรถชนเด็กจนเกิดอันตราย จนน้องชายคู่กรณีไม่พอใจ พาชายฉกรรจ์มารุมทำร้ายจนบาดเจ็บดังกล่าว และในเวลาต่อมา ได้มีการพาดพิงถึงดาราสาว “แพมแพม ดาราธิป เพียรวัจนธรรม” ทำให้เจ้าตัวโดนต่อว่าหนักในอินสตาแกรมจนต้องโพสต์ข้อความชี้แจงไปแล้วเมื่อวานนี้นั้น
ล่าสุด วันนี้ (4 กันยายน 2557) แพมแพมก็ได้นัดสื่อมวลชนเพื่อเปิดใจถึงกรณีดังกล่าว ณ ร้าน bitter sweet ลาดพร้าว 64 โดยยืนยันว่าน้องชายดวลหมัดกับคู่กรณีแบบตัวต่อตัว และทำไปเพราะปกป้องพ่อที่มีอายุมากแล้ว ส่วนตนขอโทษแทนทุกคน และอยากให้เรื่องดังกล่าวจบ เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนในหมู่บ้านเดียวกันอีก รับห่วงความปลอดภัยของครอบครัว
“ที่แพมออกมาพูดในวันนี้ ก็อยากจะมาพูดถึงเรื่องข่าวที่กำลังเกิดขึ้นนะคะ อยากจะชี้แจงในส่วนของแพม เหตุการณ์เริ่มต้นตั้งแต่ทางคู่กรณีเขาได้มากดกริ่งที่บ้านของหนู มาบอกว่าคุณพ่อขับรถเร็ว ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อไม่อยู่บ้าน แต่มีคุณแม่อยู่บ้านคนเดียว คุณแม่ก็ตกใจ เขาก็งงว่าคุณพ่อไปทำอะไรให้ เขาก็บอกว่ารอสักครู่นะ จะให้เจ้าตัวมาคุยเผื่อมีการเข้าใจผิด หรือสามารถจะอธิบายเหตุผลกันได้ จะได้เข้าใจกันได้ คุณแม่ก็เลยบอกว่าคุณพ่อกำลังจะกลับมารอสักครู่นะคะ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวไปเจอที่บ้านแล้วกัน เขาก็บอกบ้านเขาเลขที่นี้อยู่ตรงนี้”
“คุณแม่ก็เลยรีบโทร.บอกคุณพ่อทันที คุณพ่อก็เลยกลับเข้ามา แล้วก็ได้ขับไปพบเขา ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าหลังไหน แต่เขาก็ยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน คุณพ่อยังไม่ได้ลงจากรถ เขาก็บอกว่าให้ลงมาเลยดีกว่า ใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ ต้องบอกก่อนว่าพ่อแพมอายุ 60 แล้วค่ะ ส่วนคู่กรณีอายุ 30 กว่าๆ หรือปลายๆ อันนี้แพมไม่ชัวร์นะคะ แต่พอลงไปคุณพ่อก็ไม่อยากมีปัญหา เพราะว่าเขายังไม่รู้เลยว่าเกิดจากเรื่องอะไรหรือจากสาเหตุอะไร ถ้าเกิดมันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คุณพ่อก็คิดว่าสามารถคุยหรือไกล่เกลี่ยกันได้ หรือพอจะใช้เหตุผลกันได้ ไม่ต้องมีเรื่อง ไม่ต้องมีปัญหา เพราะอย่างน้อยเราก็อยู่ในหมู่บ้านดียวกัน คุณพ่อก็เลยถามว่ามีเรื่องอะไร แต่ด้วยอารมณ์หลายๆ อย่างของเขา เขาก็พูดจาไม่ดี ไม่สุภาพ มีการข่มขู่ มีการอ้างชื่อนามสกุลต่างๆ”
“พอถึงตรงนั้นคุณพ่อก็บอกให้ภรรยาเขา บอกว่าพาสามีเข้าบ้านดีกว่าจะได้แยกย้ายกัน จะได้ไม่มีปัญหา ถึงตรงนั้นน้องของแพมขับรถเข้ามาพอดี ต้องบอกก่อนว่าวันนั้นแพมไปทำธุระกับน้องที่พัทยา แต่ว่าตอนขากลับแยกย้ายกันกลับคนละคัน เพราะแพมต้องทำธุระของแพมก่อน แต่คุณแม่ก็โทร.มาบอกว่ามีคนมาหาที่บ้าน แม่อยู่บ้านคนเดียวยังไงก็รีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนหน่อย คือคุณแม่เขาก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเขา เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร เพราะเขามาด้วยอาการมีอารมณ์ แพมก็เลยบอกว่าเดี๋ยวแพมบอกน้องให้ เพราะตอนนี้แพมติดธุระอาจจะกลับมาไม่ทัน น้องแพมก็เลยรีบกลับไปหา”
“เขาก็เลยไปเจอคุณพ่อทัน ด้วยความที่เขาเป็นห่วง เพราะคุณพ่อแพมอายุเยอะแล้ว ก็เห็นว่ากำลังมีปากเสียงหรือคุยกันอยู่ เขาก็รีบลงไป เขาก็เป็นห่วงเพราะคุณพ่อแก่แล้วจะมีอะไรหรือเปล่า ซึ่งตัวน้องชายแพมอายุ 20 นะคะ คุณพ่ออายุ 60 ส่วนคู่กรณีอายุ 30 กว่าๆ หลังจากนั้น พอคู่กรณีเขาเห็นว่าน้องชายแพมลงมา แต่ต้องบอกก่อนว่าเจตนาที่น้องลงไปไม่ได้จะไปรุมเขา หรือว่าไปบุกทำร้ายตามที่เขาพูดนะคะ แต่น้องลงไปเพราะความเป็นห่วงคุณพ่อจริงๆ เพราะคุณพ่อเขาไปคนเดียวแล้วเราก็ไม่รู้ว่ามันมีปัญหาอะไร เขาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อ”
“ซึ่งพอน้องแพมลงไปจากรถ เขาก็ได้ท้าน้องแพมบอกว่าให้ลูกคุณมาตัวต่อตัวกับผมไหม ซึ่งคุณพ่อแพมเขาไม่ได้มาเพื่อจะมีปัญหาตั้งแต่แรก เขามาเพื่อจะให้เข้าใจว่าถ้ามีอะไรไม่เข้าใจหรือไม่พอใจกันเรายังสามารถคุยกันได้นะ คุณพ่อก็เลยบอกว่าอย่าเลยลูก เชื่อป๊านะ ขึ้นรถไปกลับบ้าน เขาก็บอกคู่กรณีว่าพาคุณสามีเข้าบ้านเถอะ อย่ามีปัญหาเลยเรื่องแค่นิดเดียว น้องแพมเขามากับแฟนเขาก็ขึ้นรถไป เพราะว่าป๊าบอกไม่ให้มีเรื่องเลย เรื่องแค่นี้ น้องก็ขึ้นรถไป แต่ด้วยความที่เขายังเป็นห่วงคุณพ่อ เขาก็เลยยังไม่อยากจะไปไหน”
“เขาก็ยังเห็นว่าคู่กรณียังชี้หน้าด่าคุณพ่อแพม ชี้หน้าโวยวาย ตอนนั้นเขาใช้อารมณ์และใช้คำพูดที่ไม่สุภาพโดยการท้าต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งแพมคิดว่าคุณพ่อแพมเขาใจเย็น และด้วยความเป็นผู้ใหญ่เขาก็เย็นสุดๆ แล้ว ทีนี้พอน้องเห็นว่าเขาเริ่มชี้หน้าด่า เริ่มทำท่าทางกิริยาไม่เหมาะสม น้องแพมก็ลงมาอีกทีหนึ่งเพราะเป็นห่วงป๊าบอกจะเข้าบ้านหรืออะไรก็ไปเถอะ แต่คราวนี้คู่กรณีเขาเห็นว่าน้องแพมลงมาอีกรอบหนึ่ง แพมไม่แน่ใจว่าเขาคิดว่าอาจจะลงมาทำร้ายเขาหรืออะไร เขาก็พุ่งเข้าหาน้องแพมทันที หลังจากที่เขาพุ่งเข้ามาเสร็จก็เกิดการชุลมุน ทะเลาะวิวาท”
ยันทะเลาะแค่สองคน แต่ไม่รู้ทำไมกลายเป็นยกพวกมารุมยำอีกฝ่าย
“แต่แพมต้องบอกก่อนนะคะว่าทะเลาะวิวาทเป็นแค่สองคนจริงๆ ก็คือมีคู่กรณีกับน้องชายของแพม ไม่ใช่ว่ามีชายฉกรรจ์สามคนหรือว่าแพมเอาพวกไปบุกรุมทำร้ายเขาอย่างที่เป็นข่าว อันนี้แพมไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง เพราะน้องแพมมากับคุณพ่อแค่สองคนกับแฟนน้องเขาจริงๆ แล้วคราวนี้กลายเป็นว่าชายฉกรรจ์สามคนบุกทำร้ายจนเขาสมองบวม จากการที่เหมือนเป็นการชกต่อยกันธรรมดาสองคน กลายเป็นว่าไม่ใช่อย่างที่เป็นทุกวันนี้เลยค่ะ หลังจากนั้นพอชุลมุนวุ่นวายเสร็จ คุณพ่อก็เข้าไปห้ามก็โดนผลักออกมา เท้าเย็บ 5 เข็ม แพมมีรูปและใบรับรองแพทย์ว่าคุณพ่อเย็บมาจริงตรงฝ่าเท้าเลยค่ะ”
“พอเสร็จเพื่อนบ้านแถวนั้นเขาก็มาช่วยกันแยก คุณพ่อก็แยกน้องออกมา ก็กลายเป็นว่าต่างคนต่างแยกกันเข้าบ้าน หลังจากนั้นน้องกับคุณพ่อก็ได้ไปแจ้งความที่ สน. ว่าเขาข่มขู่ แล้วก็มีการบันทึกประจำวัน และไปทำแผลที่โรงพยาบาลค่ะ คือวันนั้นที่เกิดเหตุการณ์แพมคิดว่ามันมีแค่นั้นจริงๆ แพมไม่คิดว่ามีชายฉกรรจ์สามคนหรือว่ามีพวกไปรุมทำร้ายเขาจนสมองบวม ตอนนี้แพมกำลังคิดอยู่ว่าเขาจะสมองบวมยังไง เพราะมันเป็นแค่คนสองคนต่อยกัน มันไม่ใช่การยกพวกรุมไปตีเขา”
“เท่าที่ทราบเหตุที่เขาไม่พอใจ เขาบอกว่าคุณพ่อขับรถเร็วเกินไปแล้วไปผ่านซอยบ้านเขา แพมก็ไม่แน่ใจว่าเร็วยังไง คุณพ่อเขาก็ยังงงเหมือนที่วันนี้แพมก็อยากรู้เหตุผล ก็เลยอยากจะเข้าไปคุยกับเขาด้วยเหตุและผลจริงๆ ไม่อยากให้มีปัญหาทะเลาะวิวาทอย่างนี้ค่ะ”
บอกดวลหมัดกันมือเปล่าไร้อาวุธ ส่วนตนเสียใจที่โดนด่าว่าทำตัวกร่าง
“ไม่เลยค่ะ คือทะเลาะมือเปล่า ไม่ได้มีอาวุธ ไม่มีการรุม ฝ่ายแพมก็เจ็บค่ะ เจ็บทั้งคุณพ่อและน้อง เขาเองก็เจ็บเหมือนกันคือเจ็บทั้งคู่ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เหมือนเขาโดนรุมคนเดียว คือน้องหนูก็เจ็บเหมือนกันค่ะ”
“ก่อนอื่นแพมต้องขออนุญาตนะคะ (ยกมือไหว้) แพมไม่ได้สังกัดช่องไหน แพมเป็นนักแสดงอิสระ คือ ณ เหตุการณ์วันนั้นหนูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นะคะ หนูยังกลับมาไม่ทัน คือแพมก็อยู่กันสี่คนจริงๆ พ่อแม่ลูก แล้วก็ไม่ได้เป็นครอบครัวใหญ่ ไม่มีพวกพ้องที่ไหนที่จะสามารถเอาพวกไปรุมเขาได้ แพมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดาราดัง คือหนูก็ไม่ได้ดังจริงๆ หนูรู้ตัวค่ะ สภาพจิตใจคือ (เสียงสั่น) แพมว่าอันนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่สุดในชีวิต พอตื่นเช้ามาอีกวันหนึ่งมันเหมือนกับทุกอย่างไม่ได้เป็นเหมือนวันนั้นเป็นเลย ทุกคนยังไม่ได้ฟังจากฝั่งเรา แต่ว่าไปตีความว่าแพมกับที่บ้านร้าย ไปทำเขาทั้งๆ ที่เขามาเตือนธรรมดา ซึ่งแพมคิดว่าพ่อแพมมีเหตุผลเพียงพอที่ถ้ามาเตือนธรรมดาคงไม่อยากมีปัญหาอยู่แล้ว เพราะเขาอายุเยอะแล้วค่ะ ส่วนน้องแพมเขาไปด้วยความหวังดี คือเขาเป็นห่วงคนในครอบครัวจริงๆ เขาไม่ได้มีเจตนาจะไปรุมเขา แพมก็เลยคิดเหมือนน้อยใจ แพมไม่รู้จุดประสงค์ของเขาว่าเขาทำอย่างนี้เพื่ออะไร วันนี้แพมอยากจะมาบอกในส่วนของแพมว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ ไม่ได้รุนแรงขนาดทำให้เขาสมองบวมหรือมีชายฉกรรจ์สามคนจริงๆ ค่ะ”
“ตอนนี้มันมีออกมาทั้งสองฝั่ง มันอาจจะมีทั้งจริงและเท็จ ตอนนี้เรายังหาหลักฐานไม่ได้เลยว่าคนที่พูดเขาพูดจริงหรือเขาแต่งเรื่องขึ้นมา แต่คุณพ่อแพมปกติแล้วในหมู่บ้านแพมเชื่อว่าไม่น่าจะขับเร็วได้ขนาดนั้น เพราะซอยหมู่บ้านมันเล็ก ไม่ได้เป็นถนนเลนใหญ่ เป็นแค่สองเลน และจะมีรถที่เขาจอดตามหน้าบ้าน ซึ่งมันก็ต้องซิกแซก มันไม่สามารถซิ่งขนาดนั้น แล้วตัวคุณพ่อเองเวลาเขาออกไปข้างนอก เขาก็จะออกไปทำธุระให้ลูกๆ ต่างๆ เพราะเขาแก่แล้ว ก็ถือว่าเกษียณแล้ว”
มั่นใจพ่อไม่ขับรถเร็วเพราะอายุเยอะแล้ว ส่วนตนขับรถไม่เป็น
“ตัวคุณพ่อเองตั้งแต่วันที่กลับมาเขาตั้งใจจะไปคุย เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้ขับเร็วอย่างที่เขามาพูดหน้าบ้านเลยนะ เขาก็เลยรู้สึกว่าไปเคลียร์ดีกว่า เผื่อมีการเข้าใจผิดหรือเรายังปรับความเข้าใจกันได้ เพราะแพมคิดว่าคงไม่มีใครอยากมีปัญหากับคนที่ต้องอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เราต้องเจอกัน ต้องเห็นหน้ากัน ต้องผ่านกันทุกวัน”
“ทุกวันนี้แพมยังขับรถไม่ได้เลยค่ะ ถ้าคนที่สนิทกับแพมจริงๆ จะรู้ว่าน้องชายแพมจะคอยรับส่งแพมทุกที่เลย เพราะก่อนหน้านี้เป็นคุณพ่อ แต่คุณพ่อก็อยากจะอยู่บ้านแล้ว เพราะรับส่งแพมมาทั้งชีวิตแล้ว แก่แล้ว ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นน้องที่มารับมาส่งแพมแทน ซึ่งตัวคู่กรณีเขาไม่ได้ระบุว่าเป็นน้อง แต่เขาระบุว่าเป็นคุณพ่อ เขาบอกว่าแก่แล้วใช่ไหมอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ”
รับคุยกับคู่กรณีที่โรงพัก เพราะตนห่วงความปลอดภัยหลังโดนข่มขู่
“ได้คุยกันที่โรงพักค่ะ คือแพมไปแจ้งความวันที่เกิดเหตุว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คือบ้านหนูโดนข่มขู่จริงๆ แพมเป็นห่วงความปลอดภัยของที่บ้านน่ะค่ะ ป๊าก็เลยบอกว่าไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน พออีกวันหนึ่งทาง สน. ก็โทร.มาให้ไกล่เกลี่ยกัน ก็เลยได้เจอคู่กรณีวันนั้น เขาก็ยังมาได้ปกติ แต่มาแบบที่ขามีพันเฝือกและมีผ้าปิดตาค่ะ แต่ก็ยังมาที่โรงพักมาพูดคุยได้”
“วันที่ไปไกล่เกลี่ยที่โรงพักแพมก็คิดว่าจบแล้ว มันเป็นเรื่องเล็กมาก อาจจะมีเกิดความเข้าใจผิด คือถ้าครอบครัวแพมทำอะไรให้เขา คือมันคุยกันได้ค่ะ แต่พอหลังจากวันนั้นมันกลายเป็นว่ามีข่าวอันนี้เกิดขึ้นในเช้าอีกวันหนึ่งหลังจากที่ไปโรงพัก ส่วนเขาเป็นหนักถึงขั้นสมองบวมไหมอันนี้แพมไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาเป็นจริงหรือเปล่า เพราะพอออกจากโรงพักเขาก็บอกว่าเขาขอไปธุระ ไปรักษาของเขา เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันอีกรอบหนึ่ง”
บอกขอเป็นตัวแทนครอบครัวขอโทษทุกคน ยันอยากให้เรื่องจบเพื่อให้ทุกคนสบายใจ
“แพมพูดตามความเป็นจริงเลยนะคะ ตอนนี้แพมเป็นห่วงความปลอดภัยของทางบ้านค่ะ เพราะว่าแพมก็อยู่กันแค่สี่คนพ่อแม่ลูกจริงๆ ไม่ได้มีใครอื่น แพมขอเป็นตัวแทนของทางครอบครัวนะคะ ถ้าเกิดว่าทำให้เกิดความไม่พอใจหรือว่าเกิดความเข้าใจผิด แพมขอโทษ ณ ตรงนี้ด้วยนะคะ (ยกมือไหว้) ขอโทษแทนคุณพ่อ คุณแม่นะคะ แล้วก็แพมคิดว่าแพมอยากให้เรื่องมันจบ เพราะว่าวันนี้แพมสบายใจที่ได้ออกมาพูดในส่วนของแพม และคิดว่าถ้าจบได้ก็ดี เพราะว่าทุกๆ คนจะได้อยู่กันอย่างสบายใจ เพราะยังไงเราก็ยังอยู่ตรงนั้น เขาเองก็ยังอยู่ตรงนั้น แพมเองก็ยังต้องอยู่ตรงนั้น ถ้าเกิดว่าเรื่องมันคลี่คลายหลังจากนี้หรือมีคนพูดอะไรสร้างให้มันเป็นเรื่องอื่นอีก แพมว่ามันก็น่าจะจบได้ตรงนี้”
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |