xs
xsm
sm
md
lg

“ย้ง-ปิง” ยันไม่หั่นเลิฟซีน “ฮอร์โมน” ตกใจ “มาร์ช” เล่นเกินบทแต่ดีเกินคาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ย้ง-ปิง” ประสานเสียง “ฮอร์โมน” ซีซั่น 2 ฟีดแบ็กแรงกว่าซีซั่นแรก ยันไม่ล่อแหลม ไม่ยั่วยุทางเพศ ไม่จำเป็นต้องหั่นเลิฟซีนออก เผยตกใจ “มาร์ช จุฑาวุฒิ” เล่นเกินบท แต่ชมเปาะเล่นดีจนคาดไม่ถึง ลุ้นกระแสตามมาอีกเพียบเพราะเนื้อหาเข้มข้นกว่าเดิม ลั่นพร้อมหยุดฉายหากสังคมและองค์กรรับไม่ได้ มั่นใจ กสทช. ไม่แบน !

กระแสความแรงของ “ฮอร์โมน ซีซั่น 2” ยังแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะช็อตเด็ตกระตุกต่อมฟินขยี้ใจเก้งกวาง กับฉากเลิฟซีนระหว่าง “มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล” ที่รับบทภู กับ “ตั้ว เสฎฐวุฒิ อนุสิทธิ์” ในบทธีร์ ที่เล่นจริงจูบจริงจนกลายเป็นกระแสทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ชั่วข้ามคืน แต่ก็ทำเอามีข่าวลือว่า กสทช. จ่อสั่งแบนไม่ให้ฮอร์โมนออกอากาศอีก เพราะไม่เหมาะสม เนื้อหาล่อแหลม ยั่วยุทางเพศจนเกินไป งานนี้ผู้สื่อข่าวจึงได้ตามไปสัมภาษณ์ “ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์” ในฐานะโปรดิวเซอร์ และ “ปิง เกรียงไกร วชิรธรรมพร” ผู้กำกับของฮอร์โมนซีซั่นนี้ ในงาน ฮอร์โมน โฮมรูม ซีซั่น2 ณ ห้องประชุมพระปิ่นเกล้า โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม โดยย้งเผยว่าคนดูซีซั่นนี้เพิ่มขึ้นกว่าซีซั่นแรก แต่ไม่ว่าฟีดแบ็กที่กลับมาจะต่อต้านหรือรุนแรงแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อทัศนคติของคนทำงาน ลั่นไม่หั่นเลิฟซีนเพราะไม่จำเป็น

ย้ง : “ถ้าถามในเรื่องของความแมส จริงๆ ซีซั่นนี้มันอาจจะพิสูจน์ได้ยาก เพราะว่าเราไม่ได้ลงยูทิวบ์ เราก็จะไม่ได้เห็นยอดวิวที่มันชัดเจน แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าซีซั่นนี้คนดูเยอะกว่า คือหมายถึงว่าคนดูวงกว้างกว่ามาก ผู้ใหญ่หรือคนที่ไม่เคยดูซีซั่นหนึ่งก็มีโอกาสได้มาดูซีซั่นสองเยอะกว่า คือคนอาจจะรู้จักแล้วตั้งแต่ซีซั่นหนึ่ง พอมาซีซั่นนี้พอมีคนพูดถึงเขาก็ไปตามหาดู ซึ่งมันหาได้ไม่ยากเพราะว่ามันมีฉายตามช่องดิจิตอลทีวี ช่องจีเอ็มเอ็มแชนแนล โดยส่วนตัวที่ได้ฟังฟีดแบ็กที่กลับมารู้สึกว่าเป็นวงกว้างขึ้น”

ปิง : “ส่วนฟีดแบ็กเรื่องความแรงมันมีสองด้านนะครับ มันมีแบบสุดโต่งมากเลยกับคนที่รู้สึกว่ามันโอเคและเขารับได้กับทุกอย่างที่เราเล่าไป และเขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ อย่างซีนจูบที่คนกำลังคิดว่ามันรุนแรง บางคนก็เข้าใจว่าเรากำลังเสนอเรื่องความเศร้าของความสัมพันธ์มากกว่าที่จะไปเน้นเรื่องการยั่วยุทางเพศ แต่เราก็เข้าใจในอีกมุมหนึ่งที่คนกำลังมองว่าซีนเหล่านี้มันเป็นซีนที่ยั่วยุทางเพศหรือเปล่า ตอนนี้ทางทีมเองก็กำลังระวังตัวมากขึ้นในการบาลานซ์สิ่งเหล่านี้ เพราะเราก็ไม่ต้องการให้สิ่งที่คิดว่ายั่วยุทางเพศมาบดบังคอนเทนต์ที่เราต้องการนำเสนอจริงๆ”

“ผมว่าถึงฟีดแบ็กจะกลับมารุนแรงหรือไม่รุนแรง เราก็จะระวังอยู่แล้วครับ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นฟีดแบ็กที่รุนแรงถึงขั้นด่ากราด ฟีดแบ็กปกติพวกเราก็เข้าไปเช็กกันตลอดเวลาอยู่แล้ว ว่าตัวละครตัวนี้กำลังเป็นที่สนใจ หรือว่าตัวละครตัวนี้คนกำลังพูดถึง คนกำลังมองตัวละครตัวนี้ยังไง สิ่งเหล่านี้เก็บมาคิดในการตัดต่อตลอดเวลา เพราะว่าฮอร์โมนมันถ่ายจบไปหมดแล้ว แต่ตอนที่เราเลือกตัดต่อเราต้องการที่จะทำให้มันชัดเจนมากขึ้น ทีนี้เราก็จะรู้สึกว่าคนดูกำลังโฟกัสสิ่งนี้อยู่ เราจะทำยังไงให้ตีประเด็นเราออก”

ย้ง : “จริงๆ ผมว่าฟีดแบ็กมันไม่มีผลต่อทัศนคติของคนทำเลยครับ เพียงแต่เราเรียนรู้ว่าความหนักเบา ความมากน้อย ความพอดี เราเรียนรู้จากคนดู และจริงๆ แล้วฟีดแบ็กที่มีผลกับเรามากที่สุดคือฟีดแบ็กของคนดูที่ติดตามฮอร์โมนมาอย่างเหนียวแน่น และเขาเข้าใจเจตนาของเรามาตั้งแต่ตอนต้น และพอวันนี้เขาเริ่มมีท่าทีหรือคำเตือนอะไรบางอย่างมาถึงเราว่าบางทีมันอาจจะมีภาพที่มันดูรุนแรงไป เราถึงรู้สึกว่านี่เป็นฟีตแบ็คจากคนดูที่เราฟังแล้วมีน้ำหนัก”

ซึ่งฟีดแบ็กมาจากทุกกลุ่มเลยครับ ไม่ว่าจะผู้ปกครองหรือกลุ่มเด็กวัยรุ่นเองที่เขาบอกเรามาว่าซีซั่นที่แล้วมันอีกแบบหนึ่ง พอซีซั่นนี้ก็อีกแบบหนึ่ง คือเขาก็ยังสนุกนะ หลายๆ คนยังพูดว่าซีซั่นนี้สนุกกว่าเดิมเยอะมาก และจริงๆ มันมีประเด็นที่มันชัดอยู่ คนที่เป็นแฟนประจำเราเขาก็จะเสียดายแค่ว่าประเด็นที่เราพูดถึงมันดีอยู่แล้ว แต่ระวังเรื่องภาพอะไรบางอย่าง คือภาพเลิฟซีนมันเป็นภาพอะไรที่คนเห็นชัด ก็ระวังมันจะไปกลบคอนเทนต์ที่เราอุตส่าห์มีเจตนาที่ดีอยู่ ซึ่งผมว่าเป็นคำเตือนที่ทำให้เรากลับมาคิด และกลับมาวิเคราะห์ว่างานต่อๆ ไปเราจะทำยังไงให้มันพอดีมากขึ้นครับ”

บอกหลังจากนี้ยังมีฉากที่เข้มข้นขึ้นอีก
ย้ง : “ฉากต่อจากนี้จริงๆ มันก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ครับ (หัวเราะ) ก็ยังมีให้ลุ้นกันอีก และพร้อมๆ กับกระแสที่จะตามมาอีกครับ (ยิ้ม) แต่อาจจะเป็นกระแสเรื่องอื่นก็ได้นะ แต่อย่างที่บอกว่าเจตนาตั้งแต่เริ่มต้นทำฮอร์โมนเราไม่ได้อยากทำแค่เรื่องรักวัยรุ่นเฉยๆ เราอยากทำประเด็นเกี่ยวกับวัยรุ่นที่มันเป็นปัญหาเต็มไปหมด ดังนั้นผมรู้สึกว่าพอเราเริ่มที่จะทำสิ่งนี้แล้ว เราก็ต้องพร้อมแล้วล่ะว่าพอเรานำเสนอมันออกไปมันจะต้องเจออะไรประมาณไหนบ้าง”

“คือผมว่าความกลัวช่วยอะไรไม่ได้นะ กลัวแล้วต้องมาระแวดระวังปิดโน่นตัดนี่ กลายเป็นว่าสิ่งที่เราอยากจะพูดมันก็ไปไม่ถึงคนดูอยู่ดี ผมรู้สึกว่าถ้าเราเรียนรู้ความพอดีของคนดูตอนเริ่มต้นแล้ว เราพยายามทำมันอย่างพอดีแล้ว ถ้าสุดท้ายแล้วคนยังไม่เข้าใจ ยังรู้สึกว่าเจตนาเรามันยังไม่ออกอยู่ดี ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่เราต้องกลับมาพิจารณาตัวเองว่าเราควรจะทำมันต่อ เรามีฝีมือที่จะทำมันออกมาให้ดีหรือเปล่าต่อไปในอนาคต”

“ตอนนี้ทางช่องก็ยังไม่เชิงมีคำเตือนอะไรมานะครับ เพราะทางช่องก็จะเป็นของทางจีทีเอช คือจีเอ็มเอ็มแชนแนล ก็จะมีผู้ใหญ่ทางจีทีเอชเข้าไปดูแลอยู่ เราก็มีการพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลาเลยครับ ว่ามันมีปัญหาในเชิงไหนบ้าง อย่างฉากจูบที่พูดถึงกันอยู่นี้เราคุยกันก่อนที่จะมาเป็นข่าวด้วยซ้ำ”

ปิง : “ในด้านคอนเทนต์ผมว่าด้วยความเข้มข้นของซีรี่ส์มันจะต้องสนุกขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว ฉะนั้นในช่วงหลังๆ มันก็จะมีเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ถามว่าจะแรงขึ้นไหม ผมว่ามันก็ยังมีประเด็นหลายๆ อย่างที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นประเด็นที่ยังไม่เคยมีใครพูดถึงและเราอยากหยิบยกขึ้นมาพูดในแง่มุมที่ฮอร์โมนเป็น อย่างที่ซีรีส์ซีซั่นหนึ่งเป็นน่ะครับ ก็คิดว่าคงมีหลายๆ อย่างที่ยังต้องการวิจารณญาณทั้งทางคนดูและทางคนทำเองด้วย”

“ส่วนตัวผมเองผมก็เรียนรู้จากฟีดแบ็กตั้งแต่ตอน episode 1 จนถึงตอนนี้ว่ามันมีหลายๆ อย่างที่เราต้องระวังมากกว่าแค่ทำให้เนื้อเรื่องมันสนุกอย่างเดียว มันจะต้องมีความรับผิดชอบหลายๆ อย่างเพิ่มขึ้น ก็เลยทำให้ช่วงหลังๆ ไปจากนี้ก็คงจะต้องคิดมากขึ้นครับ”

“แต่ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องการลดฉากเลิฟซีนลงครับ การลดหรือการเพิ่มผมว่าขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนออยู่แล้ว โดยเจตนาตั้งแต่ตอนทำคือฉากไหนที่จำเป็นต้องมีเลิฟซีนเราจะคิดอยู่แล้วว่ามันมีเพื่อเหตุผลอะไร มันทำให้ผมคิดมากขึ้นว่าน้ำหนักของเลิฟซีนแต่ละฉาก มันมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน คือในฐานะของผู้กำกับตอนที่ทำเราก็รู้สึกว่าน้ำหนักที่เราทำมันกำลังพอดีแล้ว แต่พอมันสื่อสารออกไปถึงคนดูวงกว้างเราก็ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วน้ำหนักมันมีความไม่เท่ากันอยู่ระหว่างคนดูกับคนทำ ฉะนั้นมันก็คงทำให้เราคิดมากขึ้น”

แต่ถามว่าเราจะต้องตัดเลิฟซีนเพื่อที่จะรองรับในเรื่องนี้หรือเปล่าผมว่าไม่ได้จำเป็น ผมรู้สึกว่าเราคิดมากขึ้นมากกว่าว่าเราจะใช้เลิฟซีนในฟังก์ชั่นไหน และใช้เลิฟซีนเพื่อรองรับอะไร และตอบคำถามของคนดูให้ได้มากกว่าครับ ก็เครียดมากขึ้นนะ จริงๆ เครียดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว (หัวเราะ) เพราะเราคิดละเอียดกับมันตั้งแต่ต้นตั้งแต่ตอนเขียนบท ถ้าเกิดได้อยู่ในกระบวนการทำงานด้วยจะรู้เลยว่าทุกคนคิดละเอียดมาก”

ยืนยัน กสทช. ยังไม่มีคำสั่งแบน แต่ที่เคยเข้าไปคุยเป็นแค่การชี้แจงเรื่องราวตั้งแต่ซีซั่นแรก
ย้ง : “จริงๆ ตอนนี้ทาง กสทช. ยังไม่ได้มีการตัดสินว่าจะแบนนะครับ เพียงแต่ว่าในการประชุมที่ผ่านมามันเป็นเรื่องที่ว่าในเคสต์ของตอนซีซั่นแรก มีคนร้องเรียนเข้าไปว่าฮอร์โมนมีเนื้อหาไม่เหมาะสมบางอย่าง และเขาก็เกิดการพิจารณากันตั้งแต่ซีซั่นแรกที่พวกเราได้เข้าไปพูดคุยกับทางกสทช. ทางผู้ใหญ่ก็บอกว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้อยากคุยกับคนทำคอนเทนต์ เพราะเขาไม่มีสิทธิมาห้ามเราพูดอะไรหรือไม่พูดอะไร แต่กรณีที่พวกผมเข้าไปในวันนั้นเขาแค่อยากให้ช่องชี้แจงว่าทำไมเขาถึงยอมให้ฮอร์โมนออกฉาย ณ เวลาตรงนั้น”

“ทีนี้พอผมอธิบายเสร็จกสทช.ก็ต้องเอาสิ่งที่ผมอธิบายไปประชุมสรุปว่ากรณีการร้องเรียนนี้มันควรจะมีการสรุปยังไง แต่เขาก็ยังไม่ได้สรุปจนกระทั่งยืดเยื้อมาถึง ณ วันนี้ ที่เขามีการประชุมกันเป็นมันการประชุมว่าเขาจะสรุปยังไงเกี่ยวกับฮอร์โมนซีซั่นหนึ่งที่มีคนร้องเรียนไป แต่ว่าด้วยความที่คนทั่วไปอาจจะเห็นแค่ว่า กสทช. พิจารณาฮอร์โมน ก็เลยคิดว่าเหมือนจะแบนฮอร์โมนซีซั่นสอง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ และตอนนี้ในการประชุมวันนั้นก็ยังไม่มีการสรุป แต่ผมก็คิดว่าไม่น่าจะถึงกับแบนนะ ส่วนตัวที่คิดแบบนั้นเพราะผมเชื่อว่าเจตนาของเราชัดมากในตัวเนื้อหาของเรา ดังนั้นตรงนี้แหละที่น่าจะเป็นเกราะคุ้มกันให้คนดูเข้าใจเราว่า เราไม่ได้สักแต่ว่าทำละครที่มีแต่ภาพแรงๆ ครับ คือเราไม่ได้กังวลเรื่องกสทช.เลยครับ กังวลแค่ว่าทำยังไงให้คนดูรู้สึกเข้าใจเจตนาของเรามากกว่า”

“เบื้องต้นก็ยังไม่มีการติดต่อมานะครับ มีแค่ล่าสุดที่พี่สุภิญญา กลางณรงค์ (คณะกรรมการ กสทช.) ชวนอย่างไม่เป็นทางการมาทางผมผ่านทวิตเตอร์ว่า เดี๋ยวจะมีการสัมมนาหรือเสวนาชวนคนทำคอนเทนต์มาพูดคุย เหมือนชวนคนทำละครทั่วๆ ไปมาคุยกันว่าจะมีวิธีการยังไงบ้างที่เราจะยกระดับเนื้อหาของละครไทยให้ดีขึ้น หรือว่าถ้าเราจะมีการพูดถึงประเด็นสังคมจริงๆ แบบนี้ มันมีชั้นเชิงอะไรที่สามารถสื่อสารกับผู้ชมได้มากขึ้น ก็มีการชักชวนอย่างไม่เป็นทางการอยู่ครับ”

“ถามว่าหวั่นไหม จริงๆ การทำงานฮอร์โมนออกมาเราก็อยากฉายงานของเราตั้งแต่ต้นจนจบให้คนดูได้รับรู้ แต่พอเราทำงานมา 10 ปีความตื่นเต้นหรือความกลัวสำหรับผมมีไม่ค่อยมาก แต่ที่คิดว่ามีเรื่องให้ตื่นเต้นคือวันที่เราเริ่มต้นทำฮอร์โมนตั้งแต่ซีซั่นแรกจนมาถึงซีซั่นสอง พวกเราพูดคุยกันตลอดเวลาว่าเราต้องทำงานบนพื้นฐานที่เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม ยิ่งเราพูดประเด็นที่มันตรง จริงและมันมีความเสี่ยงอย่างนี้ ตอนเราทำบทเราก็คิดมารอบคอบแล้ว และคิดว่าวันนี้ถ้าทางคนดูทั่วๆ ไป แม้กระทั่งสื่อมวลชนหรือผู้หลักผู้ใหญ่ทางกสทช.มีคำถามมา เราคิดว่าเรามีคำตอบให้ ก็เลยไม่ได้กลัวในตรงนั้นครับ”

“จริงๆ พอเรามีเหตุผลมันก็ไม่ใช่เรื่องความกลัวนะ แต่ถ้าเขาเรียกเรามา เราก็ไปอธิบายให้เขาฟัง แต่ถ้าเขาจะแบนเราจริงๆ เราก็ยอมรับครับ เพราะมันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดเขาเรียกเราเข้าไป เราไปอธิบายแล้ว เราพูดถึงเจตนาของเราแล้ว พิสูจน์ทุกอย่างครบเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าสังคมหรือแม้กระทั่งตัวองค์กรยังอยากให้เราหยุดฉาย หรือแม้กระทั่งช่องอยากให้เราหยุดฉาย เราก็ต้องยอมรับครับ แต่สัปดาห์นี้ยังออนแอร์อยู่ครับ ตอนนี้ทางกสทช.ยังไม่มีคำสั่งว่าจะให้ช่องหยุดฉายฮอร์โมนครับ ต้องมีหนังสือชี้แจงกับทางกสทช.ไหม จริงๆ คนทำคอนเทนต์เราแค่อยู่เฉยๆ รอเขาเรียกเราเข้าไปก็พอ (ยิ้ม) แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีการเรียกนะครับ”

ยอมรับเนื้อหาแรงและสุ่มเสี่ยง แต่ก็น้อมรับฟังความคิดเห็นจากคนดู
“แต่ถามว่าเนื้อหาของเรามันแรงเกินไปไหม ผมคิดว่าเนื้อหาในฮอร์โมนมันเป็นประเด็นที่ค่อนข้างตรงและก็แรงอยู่ และถามว่าแรงขนาดที่เขาต้องเรียกไหม ผมว่ามันเป็นมาตรฐานของแต่ละคนที่อาจจะไม่เท่ากันอยู่แล้ว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ คือในวันที่เราอยากจะเล่าเนื้อหาแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นความจริงและเราอยากจะเล่าให้คนดูได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นไปถึงไหน”

“เราก็รู้ครับว่าเนื้อหาแบบนี้มันอาจจะสุ่มเสี่ยง ทีนี้การทำของเราไม่ว่าจะเป็นในเชิงบทภาพยนตร์หรือการกำกับของปิง เราเลยรู้สึกว่าเราต้องใช้วิธีการที่ชัดเจนในการที่จะเล่าตรงนั้น ซึ่งวันที่เราตัดสินใจเขียนบท ออกไปถ่ายทำและตัดต่อ เราเชื่อว่าเราทำมันอย่างชัดเจนที่สุดแล้วในมุมของเรา แต่ทีนี้พอมันถูกนำเสนอออกไปในฐานะคนทำพวกผมก็ฟังฟีดแบ็กจากคนดูว่าอะไรมันมากไป น้อยไป รู้สึก ไม่รู้สึกหรืออันนี้มันเกินเลยไปหรือเปล่า เราก็เรียนรู้จากตรงนั้นครับ”

เผยกรณีที่ขึ้นคำเตือนฉากของ “ดาว-ก้อย” และ “ภู-ธีร์” ไม่เหมือนกัน มาจากสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน
ย้ง : “ในเรื่องของการขึ้นคำเตือนที่ไม่เหมือนกันตอนฉากของธีร์กับภู และดาวกับก้อย ต้องบอกก่อนว่าพวกผมเป็นคนทำคอนเทนต์ ทำละคร ส่วนการขึ้นคำเตือนจะเป็นในฐานะของช่อง และผมก็อยู่ในฐานะของช่องด้วยเหมือนกัน ก็ตอบแทนช่องได้ว่าเรามีการพูดคุยกันตลอดเวลาว่า เราอยากจะมีคำเตือนในตอนที่มันมีความสุ่มเสี่ยงต่างๆ ซึ่งตอนที่มีการพูดถึงกันอยู่ก็คือฉากที่ภูกับธีร์จูบกันในชุดนักเรียน และมีดาวกับก้อยเหมือนจะจูบกันในชุดนอน จริงๆ ช่องก็คิดละเอียดว่าตัวภูกับธีร์จูบกันในชุดนักเรียนมันไม่เหมาะสม เราก็ควรขึ้นคำเตือนว่าไม่เหมาะสม แต่ว่าดาวกับก้อยเขาจูบกันในชุดปกติ เราไม่อยากไปใช้คำว่าไม่เหมาะสม เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคน ก็เลยใช้คำว่าเป็นสถานการณ์เฉพาะบุคคล”

“คือด้วยความที่เราคิดละเอียดมากแต่คนดูทั่วๆ ไปอาจจะไม่รู้สึกว่าไม่ต้องลงละเอียดขนาดนั้น เขาอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของชาย-ขาย, หญิง-หญิง แต่ทำไมไม่เท่าเทียมกัน ผมก็เลยคุยกับทางช่องว่าคราวหน้าเราอาจจะต้องเอาฟีดแบ็กของคนดูอันนี้กลับมาวิเคราะห์ว่าต่อไปเราควรจะขึ้นคำเตือนให้คนดูเข้าใจเจตนาของเราได้ชัดขึ้น แต่ตอนนี้พอผมพูดก็คิดว่าคนดูน่าจะเข้าใจแล้วว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเจตนาที่เราใส่ใจมาก แต่จริงๆ แล้วการใส่ใจมากของเราบางทีมันสื่อสารไม่ออก มันไม่ชัด ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมอธิบายว่าชาย-ชายในชุดนักเรียน กับหญิง-หญิงในชุดนอน ชาย-ชายในชุดนักเรียนเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมก็ถูกแล้ว ผมว่าผมก็เข้าใจช่องนะครับ”

“จริงๆ ตั้งแต่วันที่ฟีดแบ็กออกมาวันแรกพวกผมคุยกับช่องจบเรียบร้อยแล้ว และช่องก็นัดประชุมเลยว่าความคิดที่เราละเอียดไปมันมีมุมที่คนดูมีฟีดแบ็กกลับมา และเขาอาจจะไม่ได้เห็นขนาดนั้น ตอนนี้ก็เลยคิดว่าหลังจากนี้ก็คงจะมีข้อความที่ขึ้นเตือนที่น่าจะเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ชัดเจน และตอบโจทย์ภาพนั้นๆ ได้ด้วย ซึ่งผมคงต้องรอทางช่องสรุปให้คนทำคอนเทนต์ก่อนครับ แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นการจูบกันปกติจะไม่ขึ้นเตือน แต่ถ้าเป็นการจูบกันในสภาวะที่ไม่เหมาะสมจะมีการขึ้นเตือนครับ”

บอกดีใจถ้า “ฮอร์โมน” ทำให้คนกล้าเปิดเผยตัวตนมากขึ้น จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น
ย้ง : “ทำให้คนกล้าเปิดเผยตัวเองมากขึ้นไหม สำหรับผมก็ดีนะครับ ก็จะทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คือทุกวันนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่มีขีดจำกัดเรื่องเพศอีกต่อไปแล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้ถึงถูก แบบนี้ผิดธรรมชาติ ผมว่ามันไม่มีอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นถ้าเราแค่ยอมรับว่าเราเป็นอะไรและเราสบายใจกับการใช้ชีวิตแบบนั้น ผมว่าก็โอเคนะครับ”

เผยตกใจ "มาร์ช" เล่นเกินบทแต่ดีเกินคาด 
ปิง : “ฉากจูบมาร์ชกับตั้วเล่นเกินบทหรือเปล่า จริงๆ แล้วในบทมีคำว่าจูบกันอยู่แล้วครับ คือสิ่งที่เล่นเองในที่นี้หมายถึงว่าไดอะล็อกบางอย่างนักแสดงมีการเล่นขึ้นมาเองหน้ากองด้วย เราจะอธิบายโมเมนต์ของตัวละครคร่าวๆ ว่าเราต้องการให้มันเกิดการจูบเพื่อที่จะให้ตัวละครรู้สึกถูกผลักดันที่กำลังรู้สึกเศร้าและผิดหวังมาก เราจะบรีฟนักแสดงแค่คอนเซ็ปต์ของซีนว่าประมาณนี้ แต่พอถึงจุดหนึ่งนักแสดงกำลังเล่นกันอยู่ เขาก็มีการรับส่งความรู้สึกกันเอง เขาก็จะแสดงมากกว่าบทที่เราเขียนออกมา พอมันส่งผลดีเราก็เลยหยิบมาใช้”

“ไม่ใช่ว่าฉากจูบไม่มีในบทนะครับ แต่มีในบทอยู่แล้ว แต่เป็นการร้องไห้ของมาร์ชที่ไม่มีในบท แต่พอเราบรีฟว่าตัวละครต้องรู้สึกเศร้าและรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลืออะไรเลยถึงได้มาหาธีร์ มาร์ชก็เล่นไปถึงระดับที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งอันนี้ก็ต้องชมน้องด้วย ตอนที่ถ่ายอยู่เราก็ตกใจนะ เพราะไม่ได้คิดว่าจะไปถึงขนาดนั้น แต่ว่าเราก็ปล่อยให้น้องลองเล่นไปตามสัญชาตญาณ คือเราจะบอกนักแสดงตลอดเวลาว่าลองคิดดูว่าตัวละครที่รักและผูกพันกันแบบนี้ เขาจะแสดงออกทางความรู้สึกกันแบบไหน เราก็เลยปล่อยน้องเล่นไป ระหว่างที่เราดูเราก็รอจนถึงโมเมนต์ที่เรารู้สึกว่า เราได้รับสิ่งที่ตัวละครสื่อสารแล้ว เราก็ค่อยสั่งคัต และหลังจากนั้นก็ค่อยมาดูขั้นตอนการตัดต่ออีกทีว่าแค่ไหนถึงจะพอ แต่อย่างที่บอกว่าเรารู้สึกว่าน้ำหนักประมาณนี้กำลังดีแล้ว เราก็เลยเลือกนำเสนอประมาณนี้”
ย้ง ทรงยศ โปรดิวเซอร์ฮอร์โมน2
ปิง เกรียงไกร ผู้กำกับ







ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม



เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก

กำลังโหลดความคิดเห็น