ทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกไปราวสามปี กลับมาครั้งนี้ ภาพยนตร์อันว่าด้วยเรื่องของลิงจะยึดโลก ยังคงไม่ได้ไปถึงขั้นที่เวอร์ชั่นต้นฉบับอย่าง Planet of the Apes ทำไว้ นั่นหมายความว่า เนื้อหาที่คุณจะได้ชมในหนังเรื่องนี้ จะอยู่ในช่วงเวลากึ่งกลางระหว่าง Rise of the Planet of the Apes (ปี 2011) และ the Planet of the Apes (ปี 1968)
ใน Planet of the Apes นั้น ฝูงลิงได้เข้าปฏิบัติการกระชับพื้นที่ของมนุษย์แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นใหญ่ ซึ่งความตั้งใจแรกของทีมงานที่หยิบเอาหนังเก่ามารีเมคก็อยากจะให้หนังภาคต่อเรื่องนี้เล่าเรื่องลิงยึดโลกไปเลย แต่เนื่องจากผู้กำกับที่มารับไม้ต่อจากรูเพิร์ต ไวแอตต์ อย่างแม็ตต์ รีฟส์ เห็นว่าเรื่องราวก่อนลิงจะยึดโลกอย่างเป็นทางการ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ ดังนั้น ตัวเรื่องของหนังจึงถูกเซ็ตขึ้นใหม่ โดยกำหนดไทม์ไลน์ให้เป็นช่วงเวลาก่อนที่สงครามระหว่างลิงกับมนุษย์จะปะทุขึ้นจนนำไปสู่การยึดโลกของฝูงลิงอย่างเบ็ดเสร็จ ใน Planet of the Apes
พูดง่ายๆ ก็คือ ใน Dawn of the Planet of the Apes จะแสดงให้เห็นว่า ก่อนที่จะฝูงลิงจะทำการบุกดินแดนมนุษย์นั้น อะไรคือแรงจูงใจสำคัญให้พวกมันต้องกระทำการเช่นนั้น และจากผลลัพธ์ที่ออกมา หนังก็สามารถทำให้เราได้เข้าใจในหัวจิตหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของลิงได้อย่างชัดเจน
...หลังจากซีซาร์เปล่งวาจาอันแสดงออกถึงการไม่ยอมจำนนอยู่ภายใต้บงการของมนุษย์ ใน Rise of the Planet of the Apes สิบปีต่อมา ซีซาร์พร้อมกับเหล่าวานรได้ปลีกตัวเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าห่างไกลอย่างสงบสุข จนกระทั่งมนุษย์รุกคืบเข้ามาอีกครั้งด้วยเหตุผลจำเป็นบางอย่าง ซึ่งนำไปสู่ความเคลือบแคลงสงสัยไม่ไว้ใจระหว่างกัน และแม้ว่าการเจรจาเพื่อยับยั้งศึกจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าความเคลือบแคลงสงสัยที่ไม่เคยจางสิ้นก็เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำให้ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันในนามของสงคราม
แน่นอนครับ “ความไม่ไว้ใจ” คือคีย์เวิร์ดซึ่งทำหน้าที่ค่อยๆ ผลักดันให้ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวไปสู่จุดที่ยากจะเยียวยาในท้ายที่สุด อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ผมคิดว่าหนังปูพื้นได้ดี ไม่ว่าในมุมของลิงหรือคน เราจะพบว่า ถึงที่สุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็สะท้อนกันและกันอยู่ในที ข้างฝ่ายซีซาร์และเหล่าวานรนั้นก็มีเหตุผลของตนเองในการดำรงอยู่และรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ขณะที่มนุษย์เอง หลังจากโดนไวรัสลิงคุกคามเมื่อสิบปีก่อน ก็ล้มลุกคลุกคลานและต้องการที่อยู่รอดให้ได้ในภาวะที่ดูเหมือนว่าความล่มสลายจะมาถึงปากประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว
ถ้อยคำที่ซีซาร์บอกว่าเขาต้องการรักษาครอบครัวหรืออนาคตและไม่ต้องการสงครามนั้น มันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่มนุษย์ต้องการเหมือนๆ กัน
ส่วนที่คิดว่าหนังทำได้ดีมากๆ อีกอย่างก็คือ การเล่นกับความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นเรื่องพ่อกับลูกชาย ซึ่งไม่ว่าในฝ่ายวานรหรือมนุษย์ ประเด็นนี้คือจุดที่ทำให้พวกเขาสามารถต่อความรู้สึกกันติด และเข้าถึงหัวจิตหัวใจของกันและกัน ฝ่ายวานรนั้น มีฝ่ายพ่อลูกอยู่ถึงสองคู่ คือซีซาร์ผู้เปรียบเสมือนหัวหน้า และ “โคบา” ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเผ่าที่ซีซาร์เคยช่วยชีวิตไว้ ในฝ่ายมนุษย์ก็มี “มัลคอม” พ่อหม้ายซึ่งมีลูกชายกำลังวัยรุ่น
หนังพาตัวเองดิ่งลงไปที่พล็อตรอง (ซับ-พล็อต) อันว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกหรือการอบรมดูแลลูกได้อย่างยอดเยี่ยม และแน่นอนว่าตัวพล็อตรองนี้ สุดท้ายก็ส่งพลังไปหนุนให้พล็อตหลักที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามระหว่างสองฟากฝั่งด้วย
ผมจึงรู้สึกว่าบทหนังทุกส่วนนั้น และตัวละครทุกตัวนั้น ถูกสร้างขึ้นและผูกร้อยเข้าด้วยกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล บรรยากาศโดยรวมของหนังมุ่งเน้นไปในเชิงดราม่าและกดดันบีบคั้นความรู้สึกอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าภาคแรกอย่าง Rise of the Planet of the Apes เลยแม้แต่น้อย ฉากการต่อสู้ นอกจากความสนุก ยังแฝงไปด้วยความน่าหดหู่สะเทือนใจซึ่งตอบโจทย์เนื้อหาของหนังไปด้วยในตัว เพราะก็อย่างที่บอกไว้ ทุกฝ่ายต่างมีเหตุมีผลเป็นของตนเอง แต่มันน่าเศร้าก็ตรงที่ว่า ต่างฝ่ายต่างต้องมารบราฆ่าฟัน อย่างไม่ควรจะเป็น
ผู้กำกับแม็ตต์ รีฟส์ จากเรื่อง Cloverfield ทำได้ดีในแบบที่ไม่มีอะไรต้องผิดหวัง เขาสามารถตอบโจทย์ตัวเองที่จะทำ “เรื่องราวระหว่างบรรทัด” ก่อนไปสู่สงครามครั้งใหญ่ใน Planet of the Apes ได้อย่างเห็นภาพชัดเจน แรงจูงใจแห่งสงครามทั้งหมดทั้งมวลถูกถ่ายทอดและนำเสนอเพื่อปูไปสู่ภาคต่อไปได้อย่างทรงพลัง
เอาเข้าจริง สุดท้ายแล้ว เรื่องขัดแย้งระหว่างลิงกับคน มองแบบขยับสายตาให้เข้ามาใกล้กับโลกความจริง มันก็คือภาพจำลองของสังคมหรือโลกของเราดีๆ นี่ล่ะครับ เท่าๆ กับที่ความเป็นซีซาร์หรือความเป็นโคบา ก็มีอยู่ในตัวเรา ความเป็นวานรนั้นอยู่ในตัวเรา และผู้ใดใครเล่าจะกล้าปฏิเสธว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เงื่อนไขปัจจัยที่ทำให้เราเข่นฆ่าทำลายล้างกันและกัน เรื่อยมา และก็คงจะ...เรื่อยไป...
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |