xs
xsm
sm
md
lg

นายทุน “ศรีธนญชัย 555+” ร่ำไห้โต้จัดฉากฆ่าตัวตาย คนใกล้ตัวฉะ “สุรชัย” ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อย่ามโน(ชมคลิป)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“กบ นพพร” นายทุนหนัง “ศรีธนญชัย 555+” ร่ำไห้เรียกร้องความยุติธรรม โต้ข้อกล่าวหาจัดฉากฆ่าตัวตายสร้างกระแส โชว์หลักฐานเจ๊ง 40 ล้าน ลั่นต้องเอาบ้านที่ดินไปจำนองเกลี้ยงต้องจ่ายหนี้เดือนเป็นแสน เผยสงสารลูกโดนสังคมประณาม รับเตรียมทำเป็นหนังแผ่นเปลื้องหนี้ ด้านพีอาร์หนังและแม่นักแสดงซัด “สุรชัย เที่ยงธรรม” ผู้จัดการฝ่ายผลิตหนังไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อย่ามโน ย้อนถามหากกระโดดตึกจริงคงสาแก่ใจใช่ไหม 



จากกรณีที่ “ว่าที่ พ.ต.นพพร อินทรสวัสดิ์” หรือ กบ ประธานบริษัท ออมทู เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นนายทุนสร้างภาพยนตร์เรื่อง “ศรีธนญชัย 555+” พยายามกระโดดจากระเบียงชั้น 6 ฆ่าตัวตาย แต่ญาติและครอบครัวได้เกลี้ยกล่อมจนเปลี่ยนใจและได้นั่งร้องไห้จนกลายเป็นภาพที่สะเทือนใจผู้พบเห็นอยู่ไม่น้อย โดยสาเหตุเกิดจากความผิดหวังและเสียใจที่หนังเรื่องดังกล่าวได้เข้าโรงฉาย 11 โรง ฉาย 2 รอบต่อวัน เฉพาะโรงภาพยนตร์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น ต่างจากภาพยนตร์ทั่วไปที่เข้าฉายอย่างน้อย 30 - 40 โรง จนทำให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่บานปลาย เจ๊งถึง 40 ล้านบาท

แต่ภายหลัง “นายสุรชัย เที่ยงธรรม” ผู้จัดการฝ่ายผลิตภาพยนตร์ศรีธนญชัย 555+ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฉอีกฝ่าย ระบุเป็นแค่การจัดฉากฆ่าตัวตายเรียกกระแส เพราะคนจะฆ่าตัวตายจริงจะเรียกพีอาร์และนักข่าวมาทำข่าวทำไม พร้อมฉะหนังไม่มีทางเจ๊งถึง 40 ล้านแน่นอน

ล่าสุด ในวันนี้ (26 มิถุนายน 2557) กบ นพพร ก็ได้เดินทางมาเปิดใจอีกครั้งผ่านรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” สตูดิโอ ช่อง 2 ลาดพร้าว 15 พร้อมกับ “เดชารัตน์ จิตตะพิทยากุล” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ “พิมพ์ชนา พิมพ์สุระโสภณ” เพื่อนสนิทและเป็นแม่ของนักแสดงคนหนึ่งในหนังเรื่องดังกล่าว รวมถึง “สุภาวดี เพ็งเภา” ผู้เห็นเหตุการณ์ในวันดังกล่าว โดยได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชี้แจงโต้อีกฝ่ายเพราะทำให้ตระกูลของกบ นพพรเกิดความเสียหาย อีกทั้งยังสงสารลูกที่ต้องร้องไห้เพราะโดนสังคมประณาม นอกจากนี้ยังได้นำหลักฐานมายืนยันว่าขาดทุนถึง 40 ล้านจริง เตรียมจัดจำหน่ายหนังในรูปแบบดีวีดีเปลื้องหนี้

“ตอนนี้คาดหวังให้ทุกคนเข้าใจ กรณีที่ คุณสุรชัย เที่ยงธรรม ทำมันไม่ถูกต้องเพราะมันเป็นเรื่องอนาคตของผม เป็นชื่อเสียงของตระกูล ตอนนี้เสียหายหมดเลยเพราะตอนนี้ต้องถูกตั้งคำถามจากสังคม ทุกวันนี้ลูกสาวผมร้องไห้เพราะเจอคำถามจากสังคมจากโรงเรียน ก็สงสารแกครับ ตอนนี้สภาพจิตใจก็แย่ครับ”

“คือเขาไม่รู้อะไรจริงในบริษัทเพราะเขาเพิ่งเข้ามาทีหลัง เขาเป็นเด็กของคุณวิเชียร์ ถาอิน ผู้กำกับ และ ณ วันนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าเขามีหน้าที่อะไรในกองถ่าย เขาบอกว่าเงินค่าตัวเขาน้อยนิดแค่ 8 หมื่นบาท 8 หมื่นบาทมันน้อยนิดเหรอครับ ตอนนี้เราก็พยายามแก้ไขกันไป ญาติพี่น้องก็คอยให้กำลังใจก็หาหนทางกันไป”

ลั่นมีหลักฐานพร้อมแต่ไม่ฟ้อง เพราะไม่อยากให้บานปลาย และอยากได้ความยุติธรรมจากสังคม
“ผมไม่อยากให้มันบานปลาย ไม่อยากไปกระทบใครอีกแล้ว อยากให้เรื่องมันจบแค่นี้ คือตอนนี้ผมว่าเขาก็รับรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่เป็นความจริง ผมยังสงสัยเลยว่าเขาพูดออกมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ความจริงอะไรเลย”

“ที่ผมต้องมาออกรายการ ผมไม่ได้ต้องการอะไร ผมต้องการแค่ความยุติธรรมจากสังคม เพราะตอนนี้คนเขามองว่าบริษัท ออมทูฯ ทำไมต้องจัดฉาก ทำไมต้องทำให้คนอื่นเข้าใจผิด”

เผยไม่จำเป็นต้องคุยกับผู้กำกับหนัง เพราะมั่นใจคุยกันไม่รู้เรื่อง
“คือเมื่อก่อนโทรไปเขาปิดมือถือ ติดต่อกันไม่ได้เลย ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องหรอกครับ ผมพยายามทำหนังเรื่องนี้เต็มที่ คือใส่ไปทั้งชีวิต แล้วก็คาดหวังพอสมควรว่าจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ส่วนจะทำหนังต่อไหม ตอนนี้ขอดูเรื่องนี้ก่อนว่าเราจะเดินไปทางไหน แก้ปัญหาปัจจุบันได้ไหม”

เผยงบลงทุน 20 ล้าน แต่บานปลายจากการเอาบ้านที่ดินไปจำนองเพิ่ม เบ็ดเสร็จ 40 ล้าน
เดชารัตน์ : “จากเหตุการณ์ที่ คุณสุรชัย เที่ยงธรรม ได้เขียนข้อความออกสื่อออนไลน์แฉหนังเรื่องนี้ว่ามีการทำงานไม่ถึง 40 ล้านบ้าง การกระโดดตึกนั้นเป็นการจัดฉาก อะไรต่างๆ วันนี้เราจะมาชี้แจงถึง 3 หัวข้อใหญ่ ซึ่งหัวข้อแรกเราขอทวนคำถามของเขานิดหนึ่ง ที่เขาว่าทำไมหนังเจ๊งถึง 40 ล้าน ซึ่งเขาบอกว่าจริงๆ ไม่ถึง 40 ล้าน จะถึงหรือไม่ถึงยังไงจะให้คุณนพพรชี้แจงทั้งหมด วันนี้เรามีหลักฐานทั้งหมดมาชี้แจงด้วย”

นพพร : “คืองบลงทุนประมาณ 20 ล้าน แล้วงบมันบานปลายผมก็เอาที่ดิน เอาบ้านไปขายฝากคือจำนวนเงินของบ้านที่ดินมันตกอยู่ราคาประมาณ 70 - 80 ล้านแล้วพอไปขายฝาก คือสมมุติว่าที่ดินราคาประมาณ 40 ล้านบ้านราคา 5 ล้าน พอขายฝากจริงๆ มันได้มาประมาณ 5 - 7 ล้าน แล้วก็เอาจำนวนเงินที่ได้มาไปโปะในหนังมันก็เป็นดอกที่เพิ่มมาจากที่เราไปขายฝากบ้าน เราก็ต้องส่งในแต่ละเดือนจำนวนเป็นแสนบาท ลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท นอกนั้นเป็นดอกที่เพิ่มขึ้นจากการขายฝากบ้านที่ดินจำนวน 3 - 4 แปลง บ้านประมาณ 3 - 4 หลัง ตอนแรกตั้งงบไว้ประมาณ 5 ล้านมันก็บานปลายมาเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้กำกับบอก”

ลั่นไม่เข้าใจทำไมต้องโจมตีตน ทั้งที่ตนกำลังจะถูกยึดบ้านในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นพพร : “ทีมงานเป็นทีมงานที่คุณวิเชียรเขาดึงเข้ามาซึ่งก็คือคุณสุรชัย อีกอย่างผมก็ไม่รู้จักเขาเลยไม่เคยทะเลาะไม่เคยคุยหรือมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว ผมก็ยังสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาพูดโจมตีในสิ่งที่ผมสูญเสีย ที่ผมกำลังจะถูกยึดบ้านยึดที่ดินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตอนนี้ไมได้ติดต่อคุณวิเชียร์เลยครับ เพราะเขาปิดโทรศัพท์ตลอด”

ไม่เอาเรื่องเพราะไม่อยากให้บานปลาย
นพพร : “คงไม่เอาเรื่องครับ เพราะไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้หนักกว่านี้ คือ ณ วันนี้มันคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว อีกอย่างเขาปิดโทรศัพท์ติดต่อกันไม่ได้ เขาไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาทำไป เราก็รับผิดชอบคนเดียว ติดต่อคนสนิทเขาก็ไม่ได้ เพราะผมไม่รู้จักใคร”

เผยต้องตัดต่อใหม่ทั้งหมด เพราะผู้กำกับตัดต่อจนเนื้อเรื่องเสียหาย
นพพร : “หนังเราชนหนังใหญ่ๆ จากเมืองนอกหลายเรื่องก็อาจมีส่วน แต่ทางคุณวิเชียร์บอกว่าหนังของเรากับหนังเรื่องอื่นคนดูคนละกลุ่ม คนละแนวยังไงก็ไม่กระทบหนัง ก็มีขัดแย้งกันบ้างครับเป็นธรรมดา คือทางผมขอชี้แจงเลยนะครับ ว่าทางคุณวิเชียรเขาทำการตัดต่อในเนื้อเรื่องเสียหายหมดเลยซึ่งทางผมต้องมาตัดต่อใหม่ทั้งหมด เราก็ไม่อยากให้มีปัญหา เราอยากให้ปัญหามันจบลงแค่นี้ หาทางแก้ปัญหาของเราไป”

ยันไม่เคยกล่าวหาว่าใครโกงใคร ซัดกลับถ้านายทุนกระโดดตึกตายจริง สาแก่ใจใช่ไหม
เดชารัตน์ : “ประเด็นแรกก็คงทราบกันไปแล้ว หลักฐานค่าใช้จ่ายอยู่ที่นี่ทั้งหมด(โชว์หลักฐาน)ตลอดทั้งการถ่ายทำ 25 วันพร้อมกับเอกสารคือโฉนดที่ดินที่ได้นำไปจำนองจริงทั้งหมดไม่ได้เป็นการแอบอ้างไม่ได้เป็นการสร้างภาพใดๆ ทั้งสิ้นสามารถนำไปดูหรือตรวจสอบได้ว่าจริงหรือไม่จริงที่บริษัทออมทูฯ ส่วนหัวข้อที่ 2 ที่คุณสุรชัยบอกว่าไม่มีใครโกงครับ เพราะฉะนั้นเวลาพูดอย่าอ้างทีมงาน จริงๆ แล้วทุกครั้งที่ผ่านมาที่มีการไปออกรายการต่างๆ ซึ่งทางคุณนพพรก็ดี ทางคุณแม่นักแสดงก็ดี ผมในฐานะเป็นพีอาร์จะไปด้วยทุกครั้ง ไม่เคยมีการกล่าวว่าใครโกง ไม่มีกล่าวว่าทีมงานโกงใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าท่านอยากทราบสามารถชมย้อนหลังได้ แม้แต่ข้อมูลข่าวในออนไลน์ก็ไม่มีลง เพราะฉะนั้นก็อยากฝากบอกเขาว่าอย่าเดือดร้อนเพราะเราไม่ได้เอ่ยถึงทีมงานใดๆ ทั้งสิ้นไม่ได้เอ่ยว่าใครโกงใคร”

พิมพ์ชนา : “ตั้งข้อสังเกตง่ายๆ นะคะว่าตบท้ายเขาชมผู้กำกับกับหนังเรื่องนี้ เราเองก็ยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ในตำแหน่งอะไรเห็นเดินไปเดินมาในกอง แต่ที่อ่านตอนท้ายแล้วบอกว่าผู้กำกับวิเชียรเป็นคนเก่งทำงานดี ก็อยากวอนสังคมพิจารณาดูว่าเขาต้องการอะไร ว่าคนที่เขาเสียรู้แล้วเขาไม่เอาเรื่อง น้ำใจเขามันขนาดไหน คนที่ห่วงที่ยืนของตัวเองจะมาซ้ำเติมคนที่หลังชนฝา ดิฉันว่ามันใจร้ายไปนิดหนึ่ง”

เดชารัตน์ : “ซึ่งมันเป็นหัวข้อที่ 3 เขาบอกว่าให้แก้ข่าวเพราะว่าเล่นแบบนี้ไม่มีดีต่อหนังและทีมงาน จะกระโดดแต่ไม่กระโดดแล้วมีพีอาร์ไปและนักข่าวมาแล้วมีวงเล็บ ควรจะกระโดดตึก แต่ก็มีขีด สระเอือ ก. ไว้ โทร.หาพีอาร์ รอจนนักข่าวมาถึงลงมาข้างล่างเหมือนจัดฉาก ผมขอตีประเด็นตรงนี้ว่าให้แก้ข่าวซึ่งเขาโทร.ไปหาภรรยาของคุณนพพรว่าให้แก้ข่าว แต่ผมบอกว่าแก้ข่าวไม่ได้เรื่องมันเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์เป็นเหตุการณ์จริง เพราะถ้าเราไปแก้ข่าวก็เหมือนจัดฉากขึ้น ผมว่าปล่อยให้ข่าวมันเป็นไปตามธรรมชาติของข่าว”

พิมพ์ชนา : คือเราก็ไปทานข้าวกัน คุณนพพรก็บอกว่าเดี๋ยวขึ้นไปเก็บไวนีลซึ่งมีขนาด 10 x 12 เมตรติดโปรโมตอยู่ที่หัวเตียงของบ้าน แม่บ้านซึ่งเป็นญาติ ก็เก็บไวนีลลงมาซึ่งก็มีสามีของพี่น้อยด้วย มีดิฉัน คุณนพพร พี่น้อย คือไวนีลอันนี้มันใหญ่มากก็อยากจะช่วยกันเพราะว่าคน 2 คนไม่ไหวแน่ทั้งหนักทั้งใหญ่เพราะคุณนพพรตั้งใจเก็บไว้เป็นที่ระลึก เราก็ขึ้นไปที่ชั้น 6 คือไวนีลกองอยู่ที่พื้นแล้วช่วยกันพับถือกันคนละมุมเพื่อเก็บไว้ที่บริษัท รู้สึกว่าวันนั้นจะเป็นคืนวันอาทิตย์ และวันพุธหนังจะถูกถอด จู่ๆ คุณนพพรก็วิ่งพรวดออกไป เราก็ตกใจ เขาบอกอย่ามายุ่งกับผม เราก็บอกว่าทำอะไรให้คิดถึงน้องออมนะ นี่คือเหตุการณ์จริง คือไม่คิดว่าเขาจะตัดสินใจทำแบบนี้ พอเรียกสติเขาได้เขาก็ยังไม่กระโดด สายแรกที่เราโทรหาคือสามี ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาสักเที่ยงคืนกว่าแล้ว แล้วเขาไม่ได้รับสายเลยโทรหาลูกชาย เขาก็ไม่รับอีกเช่นกัน เพราะว่าวันรุ่งขึ้นวันจันทร์เขาต้องไปโรงเรียน”

“หลังจากนั้นเราก็คิดว่าจะเรียกใครดีเพราะเราต้องช่วยเหลือชีวิตคน เราเลยคิดถึงพี่เด (เดชารัตน์) ที่เป็นพีอาร์ เราก็เล่าให้เขาฟังว่าเราอยู่ที่นี่ มีเหตุการณ์อย่างนี้ เขาก็บอกใจเย็นๆ เสร็จแล้วเขาก็โทรกลับมาว่าตอนนี้ติดต่อใครไม่ได้เลยเพราะไม่มีใครรับโทรศัพท์ เราก็เลยคิดต่อว่าจะโทร.หาใครดี ก็เลยนึกถึงท่านหนึ่งที่เขาเป็นผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงเป็นนักแสดงที่สนิทสนมกัน เขาก็แนะนำว่าให้ใจเย็นๆ ให้โทรไปที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊งร่วมกตัญญู เราก็บอกว่าโทรศัพท์เราแบตก็จะหมด คือเราวิ่งลงชั้น 1 ขึ้นชั้น 6 เป็น 10 รอบ ซึ่งเขาบอกว่าถ้าหาไม่ได้ก็ให้ไปที่เซเว่นเพราะมันจะมีเบอร์โทร.ที่หนังสือพิมพ์ ตอนนั้นพี่น้อยก็ลงมาด้วย แล้วก็ให้แฟนพี่น้อยเรียกคุณกบ แล้วเราก็ไปดูเผื่อแถวนั้นมีกู้ภัย แล้วมีบ้านหลังหนึ่งเปิดเป็นไปรษณีย์ย่อย ซึ่งเขากำลังจะปิดประตูเราก็ไปเรียกขอความช่วยเหลือ เขาก็มีความเมตตามาก เขาหาเบอร์โทร.ร่วมกตัญญู หาเบอร์โทร.ปอเต็กตึ้ง หาเบอร์โทรหนังสือพิมพ์ เสร็จแล้วพอได้เบอร์โทร.เราก็รีบโทร. จากนั้นพอโทร.เสร็จเราก็รีบวิ่งขึ้นไปช่วยเขาซึ่งทั้งหลายทั้งปวง”

“ที่เราโทร.หาเป็นเพราะต้องการเซฟชีวิตคนเรื่องราวทั้งหมดเป็นเหตุการณ์จริง ให้เราเล่า 100 ครั้งมันก็เหมือนเดิม เราก็ไม่เข้าใจคุณสุรชัยออกมาโพสต์ข้อความแบบนี้ทำให้ทุกคนได้รับความเสียหาย ลูกเราไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนถามครูบาอาจารย์ถามว่าไปสร้างกระแสเหรอมันเจ็บปวดนะคะ วันนั้นเราวิ่งปางตาย ในชีวิตไม่เคยเหนื่อยแบบนี้มาก่อน ชีวิตคนอยู่ข้างหน้า เราปล่อยผ่านไม่ได้ แต่ในขณะนั้น หลังจากที่เราโทร.หาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว สักพักใหญ่ๆ พี่เดก็มาถึงแล้วมาช่วยเรียกสติเพราะพี่เดขาเป็นคนใจเย็นเรียกสติคุณกบจนยอมลงมา ตอนนั้นไม่มีสื่อมาแม้แต่สื่อเดียว เราถามว่าถ้าเราจะสร้างกระแสทำไมไม่รอสื่อมาให้เต็มที่เสียก่อน แต่ตรงนั้นชีวิตคนมันรอไม่ได้ การที่คุณสุรชัยออกมาพูดแบบนี้ ถ้าคุณนพพรกระโดดลงไปจริง คงสาแก่ใจเขามากไหมอยากถามเขาแค่นี้”

ฉะสุรชัยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ขอร้องอย่ามโน
เดชารัตน์ :ผมว่าเขามโนจิตมากกว่าคือเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ผมพาคุณกบลงมาแล้วนั่งด้วยกันเป็นชั่วโมงกว่าสื่อจะมา แล้วสื่อที่มาก็ไม่ใช่สื่อสายบันเทิงด้วยเป็นสื่อสายอาชญากรรม สักพักตำรวจถึงมา มาแล้วเขาก็มาสัมภาษณ์คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ตอนนั้นผมก็นั่งปลอบคุณนพพรให้เขาใจเย็นลง วันนี้เรามาชี้แจงอย่างละเอียด เพราะสื่อออกไปแล้วทุกคนน่าจะได้ทราบว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์จริงไม่ได้มีการเติมแต่งจัดฉากใดๆ ทั้งสิ้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ย่อมรู้ดีกว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นขอร้องคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อย่ามโนจิต เพราะมันไม่ทำให้เราเสียอย่างเดียวคุณเองก็จะเสียด้วย”

เตรียมจัดจำหน่ายหนังในรูปแบบดีวีดี แก้ปัญหาหนี้สิน
เดชารัตน์ : “จากการที่ได้ประชุมกัน ณ ตอนนี้เราอยู่ในที่นั่งลำบากซึ่งขาดทุนอยู่ประมาณ 40 ล้าน ทั้งที่ค่าใช้จ่ายจริง ๆ อยู่ที่ประมาณ 20 ล้าน ซึ่งตอนนี้เราขอหาทางแก้ไขตรงนี้ก่อน ส่วนเรื่องอื่นเก็บไว้ก่อนเอาไว้ว่ากันทีหลัง ตอนนี้หาทางแก้ไขให้ขาดทุนน้อยที่สุดโดยวิธีการจัดจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีภาพยนตร์เรื่อง ศรีธนญชัย 555+ ซึ่งสามารถโทรมาสั่งจองได้ที่บริษัท ออมทู เอ็นเตอร์เทนเมนท์”

นพพร : “มันเป็นหนทางเดียวที่จะมาแก้ปัญหาหนี้สินของเราได้อาจได้น้อยก็ไม่เป็นไรก็ขอให้ได้บ้าง คือเราก็ไม่อยากไปพาดพิงถึงเขา วันนี้เขาก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาทำอะไรลงไปพูดอะไรลงไปเขาย่อมรู้แก่ใจแล้วก็อยากให้สังคมตัดสินดีกว่าว่าใครเป็นอย่างไร ใครผิดใครถูก”







ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live



ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม







เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก

กำลังโหลดความคิดเห็น