ฟังจะๆ จากปาก "ผกก." ผู้บ่าวไทบ้าน ฉะ "อาร์ตี้" เป็นชุด จวกไม่ทำห่านอะไรเลย ก่อนที่อาร์ตี้และโปรดิวเซอร์จะเปิดแถลงข่าว ฉะนึกว่าตัวเองเป็นดาราใหญ่ จ่ายเงินช้าแค่วันเดียวมาด่ายันหน้ากองถ่าย ไม่เป็นมืออาชีพ ลั่นไม่ขอร่วมงานด้วยอีก
"อาร์ตี้ ธนฉัตร ตุลยฉัตร" ควง "แดง มณฑลกฤษณ์ ภูศรีดาว" โปรดิวเซอร์หนังผู้บ่าวไทบ้าน เปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณี "บอย อุเทน ศรีริวิ" ผู้กำกับหนังเรื่องดังกล่าว ได้โพสต์ข้อความจวกยับอาร์ตี้ว่า เกาะกระแสหนังดัง ทั้งที่ตอนถ่ายทำไม่ยอมให้คิวทำงาน ซ้ำไม่เตรียมตัวไม่อ่านบท วันเปิดตัวที่ขอนแก่นก็ไม่มา แต่พอหนังมีกระแสกลับรีบมาว่า โดยอาร์ตี้กับโปรดิวเซอร์ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเข้าใจผิด เรื่องคิวที่ไม่ลงตัวนั้นเป็นเพราะโปรดิวเซอร์ไม่ได้ชี้แจงกับผู้กำกับว่า อาร์ตี้ติดธุระอะไร ส่วนเรื่องที่อาร์ตี้ไม่เตรียมตัวไม่อ่านบท มันเป็นเรื่องของผู้กำกับที่อยู่ชนบท กับ อาร์ตี้ที่เป็นคนสมัยใหม่ เลยไม่เข้าใจฟิวส์กัน พอถ่ายทำก็เลยเทคบ่อย
นั่นคือสิ่งที่อาร์ตี้และโปรดิวเซอร์แถลงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดและได้เคลียร์กันแล้ว และจากนี้คือบทสัมภาษณ์ของบอย อุเทน ผู้กำกับหนังชาวขอนแก่น ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าที่จะที่อาร์ตี้และโปรดิวเซอร์จะออกมาแถลงข่าว เข้าใจผิด , ฟิวส์คนชนบท กับ ฟิวส์คนสมัยใหม่ ทำให้ไม่เข้าใจกัน จนเรื่องมันเลยเถิดบานปลาย อย่างที่อาร์ตี้กับโปรดิวเซอร์แถลงใช่หรือไม่ ลองไปอ่านดู
“ผมไม่เคยคิดที่จะขายความเป็นอาร์ตี้เลย คือในตอนแรกเลยพระเอกหนังไม่ใช่คนนี้ แต่ว่าพอเราถ่ายไปครึ่งเรื่องแล้วพี่ที่เขาเอาเงินมาช่วยในตอนหลัง แกบอกว่าเดี๋ยวเปลี่ยนพระเอกใหม่นะพี่เขาอยากได้อะไรที่เป็นคนขอนแก่น ทุกคนเป็นคนขอนแก่นหมดผมก็คนขอนแก่นพี่เขาก็คนข่อนแก่น เลยมาเปลี่ยนเป็นอาร์ตี้เพราะเขาเป็นคนขอนแก่น หนังผมถ่ายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ต้องมารื้อทำใหม่ นางเอกก็เป็นญาติๆ เขามาก็มาถ่ายใหม่อีก”
ไม่คิดจะเอา "อาร์ตี้" มาโปรโมท เพราะอาร์ตี้ไม่อยากจะร่วมงานด้วย และบอกว่าตนเองไม่ใช่มืออาชีพ
“เรื่องโปรโมทผมก็ไม่เอาเขามาโปรโมทอยู่แล้วไม่มีใครถามหาเลย ผมตั้งใจที่จะขายตัวหนังไม่ได้ขายผู้กำกับหรือขายนักแสดง ผมไม่ได้อยากที่จะมาเกาะกระแสเขาดังด้วยซ้ำ เราไม่มีสัญญาอะไรจ้างเป็นคิวแค่นั้น ก็จะให้ผมไปร่วมงานกับเขาอีกผมคงไม่ร่วมครับ เพราะเขาบอกว่าผมไม่ใช่มืออาชีพทำหนังเป็นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย(หัวเราะ) ผมเองก็มีอีโก้ของผมอยู่นะเรามันอินดี้ ส่วนเขานักแสดงใหญ่เวลาเล่นไม่ได้สั่งเทคเป็นสิบเขาก็ซัดมาว่า พี่จะเอาแบบไหนให้เล่นแบบหนังหรือละครทั้งๆ ที่มึงเล่นไม่ได้ (หัวเราะ) ผมก็บอกเล่นมาเลยทั้งสองแบบแหละ”
“อย่างนักแสดงคนอื่นๆ ที่มาจากเด็กโมเดลลิ่งก็ไม่มีใครมีปัญหาสักคน ทุกคนแฮปปี้โดนด่าแล้วปรับปรุงตัว เพราะเขาเชื่อผู้กำกับ แต่สำหรับอาร์ตี้เขาคงไม่มีความเชื่อมั่นในตัวผม และตัวเขาคงคิดว่าผ่านงานแสดงมาเยอะแล้วเหมือนรู้มาก บทหนังผมก็ส่งไปให้อ่านเดือนหนึ่งไม่รู้อ่านหรือเปล่า ตัวเขาเองแสดงเป็นอะไรยังไม่รู้เลย(หัวเราะ) แต่เขาก็เล่นได้ดีล่ะ เหมือนไม่ตั้งใจเล่นจะขัดแย้งกับผมตลอด ผมไม่ชอบความไม่เป็นมืออาชีพของเขา นักแสดงก็คือนักแสดง ดาราก็ดารา มันต้องแยกแยะกันออก”
มาฉายในกรุงเทพไม่หวั่นเรื่องรายได้ แต่ห่วงเรื่องความไม่เป็นมืออาชีพของ "อาร์ตี้" มากกว่า
“ไม่รู้สึกหวั่นๆ นะเรื่องรายได้ แต่หวั่นในเรื่องความไม่เป็นมืออาชีพของเขามากกว่า คือพระเอกคนนี้ผมและทีมงานไม่เอาเลย แอนตี้ตลอดเรื่องงานตั้งแต่หนังจะเสร็จไม่เสร็จ เพราะเขาคนเดียว อย่างล่าสุดก็โทรมาด่าว่าไม่ขอร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้ บอกผมทำงานไม่เป็นมืออาชีพไม่รู้ว่าหนังจะออกมายังไง หนังอินดี้จะไปฉายที่ไหน เขาพูดมาแบบนี้ทั้งๆ ที่เรารอรีชู๊ดรอทำ VTR เสียงรอทุกๆ อย่าง ขอคิวถ่ายโปสเตอร์ก็เบี่ยงไม่มีคิวไม่อยากถ่าย ตอนนั้นเขาจะแคร์แต่หนังเรื่องศรีธนญชัย กับรักฝังเขี้ยว เพราะหน้าหนังมันใหญ่ หนังเราเขาจะไม่สนเลย”
จ่ายเงินช้า 1 วัน "อาร์ตี้" มาด่าหน้ากอง ทั้งที่อาร์ตี้ก็ไม่ได้เตรียมตัวในการทำงาน ทีมงานจะต้องมาคอยกระซิบบอกบท
“เรื่องคิวค่าตัวก็เหมือนกันคือที่อีสานแดดมันแรง แล้วช่วงหกโมงเย็นมันยังกลางวันอยู่แล้วมันช้าไปสิบนาทีเขาขอเป็นสองคิว คือเราจะจ้างเป็นคิวไม่จ้างเหมาเราก็ยินดีจ่ายให้ สมมุติว่าวันนี้จ่ายเงินช้าหน่อยรุ่งขึ้นอีกวันมาด่าหน้ากองแล้ว พระเอกไม่ได้ทำห่าอะไรมาเลยสักอย่างพูดแบบหยาบๆ เลยนะ เคยเห็นเขาบอกใบ้กันมั้ยเวลาที่มีคนมาคอยกระซิบบอกบทแล้วอีกคนเล่นตาม แล้วผมต้องตัดเสียงคนที่บอกออกไปมันถึงขนาดนั้นเลยนะครับ มันไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ แล้วมาว่าพวกผมไม่เป็นมืออาชีพทำหนังห่วยแตก ไม่มีที่จะฉายทั้งตัวอาร์ตี้เองทั้งพ่อผู้จัดการเขาทั้งหมดทำให้เราไม่พอใจเลย ตั้งแต่ตอนนั้นเขากับเราก็ไม่ติดต่อกันอีกเลยจนกระทั่งมาถึงวันนี้”
นอกจากนี้ผู้กำกับไฟแรงโคตรอินดี้ยังได้เปิดเผยถึงที่มาที่อยากทำหนังเรื่องนี้ เพราะได้แรงบันดาลใจจากการไปดูโปงลางคณะหนึ่งแล้วรู้สึกถึงความลืมกำพืดของตัวเองเลยมาคิดมาทำหนังเรื่อง ผู้บ่าวไทบ้านนี้ ขึ้นมา แต่เนื่องจากไม่มีเงินทุนต้องเข้ากรุงหิ้วโปรเจ็กต์ตะลอนเสนอค่ายหนักยักษ์ใหญ่มาจนเกือบ 3 ปี แต่ก็ไม่มีใครสนใจเลยกลับมากัดฟันขายทุกสิ่งอย่างในชีวิตเพื่อเอาเงินมาลงทุนทำหนังเอง
“จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้มันมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ผมอยากที่จะทำหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่มันเกี่ยวกับความเป็นอีสานแท้ๆ ดิบๆเรียวๆครับ คือผมไปดูโปงลางคณะหนึ่งแล้วมีความรู้สึกว่าเขาลืมกำพืดของตัวเองก็เลยคิดว่าทำหนังสั้นสักเรื่องดีมั้ย ทำเกี่ยวกับประเพณีเกี่ยวกับอีสานที่มันดิบๆแนวๆ หนังเรื่องนี้ผมคิดอยู่ 5 วัน แล้วก็ทำเลยมีการรีเซิทหาข้อมูลเดือนหนึ่งจากนั้นก็มาเขียนบท ซึ่งในครั้งแรกผมทำเป็นบทหนังสั้นก่อน พอถ่ายทำเสร็จตัดต่ออะไรเรียบร้อยแล้วเลยตัดตัวอย่างลงยูทูบไปปล่อยให้ทีมงานให้นักแสดงได้ดูจากนั้นเลยเป็นกระแสฟอโร่กันยาวเลย”
“หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการปรึกษาใคร แต่ผมเอาหนังเรื่องนี้ไปเสนอขอทุนตามค่ายหนังใหญ่ๆมาแล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจก็เลยเอากลับมาทำกันเองพอทำเสด หนังมันเกิดการพูดถึงกันมากในยูทูบ ตั้งแต่ที่เราตัดตัวอย่างโพสตลงไป ผมเลยคุยกับทีมว่าพับเรื่องหนังสั้นไว้ก่อนแล้วไปเขียนบทหนังใหญ่มาทำหนังยาวกันดีกว่า เพราะกระแสมันมาแล้วในตอนนี้เราอาจจะเอาไปฉายที่โน่นที่นี่ได้”
“การลงทุนก็ไม่เยอะมาก เพราะในตอนแรกเราทำดิบๆแบบอินดี้เลย เพราะไม่ได้คิดที่จะเอาไปฉายที่ไหน ในตอนแรกลงทุนทำกันเอง แต่มาตอนหลังมีนายทุนมาช่วยเติมให้จบกระบวนการโพสโน่นนี่นั่น เพราะมันต้องใช้ทุนเยอะในการโพสพวกผมไม่มีทุนพอที่จะทำให้มันจบเรื่อง ตอนแรกพวกผมกัดฟันทำไปก่อน คือ มันไม่เหมือนกับนายทุนเหมือนเป็นพี่ที่เคารพเป็นญาติๆกัน เพราะหนังเรื่องนี้ผมหานายทุนมา 3 ปี หลังจากที่เขียนบทแล้วไม่มีใครสนใจผมเลยกัดฟันทำเองเอาเงินทุนตัวเองขายหมดทุกอย่างบ้านรถเพื่อหนังเรื่องนี้ แล้วไปไม่รอดพี่เขาเลยเข้ามาช่วย”
“ที่ผ่านมาก็เข้ากรุงเทพไปเสนอหนังเรื่องนี้กับค่ายใหญ่ๆหมดแล้ว แต่ว่าไม่มีใครสนใจเพราะเราไม่มีเครดิตไม่มีรางวัลต่างๆนานาเหมือนเป็นใครไม่รู้เข้าไปหาเขา ผมก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไรนะมันก็เป็นปกติของคนที่จะเป็นผู้กำกับในยุคนี้ เพราะมหาลัยที่เรียนนิเทศน์สาศตร์จบมามันเยอะมากแล้วคนต้องการที่จะมาเป็นผู้กำกับมันเยอะมาก ถ้าไม่ดิ้นมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ แต่ถ้าผมจะรอค่ายใหญ่ๆมันก็คงไม่ได้หรอกก็จะมีเด็กเส้นคนเก่าไม่ไปคนใหม่ไม่ได้มาอยู่แบบนี้ เราดิ้นมาตั้งแต่จบแล้วปากกัดตีนถีบมานานแล้วมาทำงานถ่ายสตูดิโอที่ขอนแก่น
“ไม่เคยคิดว่าหนังเราจะดังขนาดนี้ ที่ทำมาเพื่อเราอยากที่จะทำ พวกแฟนคลับในเฟสก็จะบอกว่าทำออกมาเถอะตอนทำหนังสั้นนะ หลังจากนั้นมา 3 ปีก็มีแฟนคลับมายาวตลอด ในหนังเรื่องนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นชีวิตของผมเอง เราคิดทำหนังอย่างเดียวจนวันจบหนังวันที่ 2 มิถุนายน ยังไม่ได้มีคอนเฟริมโรงฉายเลยว่าจะฉายโรงไหนยังไม่มีโรง (หัวเราะ) เราอินดี้ไง แต่ประกาศฉายในเฟสไปแล้ววันที่ 5 มิถุนายน ฉายทั่วประเทศ ทำให้ต้องมาวิ่งดิ้นหาโรงฉายไปดิวมาทั่วเลยทั้งเมเจอร์ทั้งเอสเอฟ แต่ว่าเขาไม่ยอมให้เอาเข้าฉายเขาต้องการที่จะให้เราเช่าโรงเขา แต่เราไม่มีเงินในตรงนั้น ตอนที่ไปติดต่อเขาก็ขอดูหนังพอเราเอาเข้าไปก็ไม่ได้อยากที่จะดูจริงๆอ้างโน่นอ้างนี่ก็ไม่ดูไปถึง 3 รอบ แต่พอหนังดังแม่งโทรมาจริงโทรมาจังคือผมโมโห (หัวเราะ)”
“ที่ได้ฉาย เพราะผมประสานทางโรงหนังสายอีสานทั้ง 28 โรงเขาก็บอกถ้าคุณอินดี้ผมก็อินดี้ (หัวเราะ) ก็มีการเปิดตัวในวันที่ 5 มิถุนายน ฉายทั้งหมดรายได้วันแรกก็ 890,000 บาท ถล่มทลายวันแรกก็โรงแตกแล้ว(หัวเราะ) สามสี่ก็แตกหมดเลยเราไมได้มีการโปรโมทหรือพีอาร์อะไรเลยได้แต่ลงยูทูบอย่างเดียวตัวอย่างยิงก่อนฉายไม่กี่วันโปสเตอร์ก็พึ่งมาติดตอนติดต่อโรงหนังได้ พฤหัส-เสาร์ พอมาวันอาทิตย์ยอดทะลุไปห้าล้านหก ตอนนี้ยอดคงทะลุไปเป็นสิบกว่าล้านแล้ว”
ดีใจกระแสตอบรับดี
“ดีใจกระแสตอบรับดีมากคนไม่ได้บอกว่าหนังเราห่วยไม่ได้บอกว่าเราเป็นเด็กจบใหม่หัดทำหนังคนดูบอกว่าดีหนังเรามีหัวเราะร้องไห้มียิ้ม และรู้สึกอินกับคำว่าอีสานยังไม่เห็นคอมเม้นท์อีกด้านหนึ่งเข้ามานะ ในเรื่องภาษาผมก็คงต้องยอมรับนะว่าหนังเราเป็นหนังรากหญ้าแล้วคนในกรุงเทพมันก็เป็นอีกชั้นหนึ่งกลุ่มเป้าหมายของผมก็แค่คนอีสานที่มาขายแรงงานในกรุงเทพเท่านั้นอย่างที่บอกนะว่าเราทำหนังเรื่องแรกไม่ใช่มืออาชีพเท่าไหร่ แล้วกลุ่มเป้าหมายเราคือคนอีสานที่ไปขายแรงงานที่กรุงเทพ ฉะนั้นไม่ได้สนคำวิจารณ์อะไรอีกอย่างหนังผมได้ 10 ล้านแล้ว(หัวเราะ)”
เผยโปรเจ็กต์เรื่องต่อไป "ผู้สาวไทบ้าน"
“จะเป็นเรื่องผู้สาวไทบ้านมันจะเป็นภาคต่อมั้ยก็อาจจะ แต่ภาคแรกเรามีเกริ่นๆไว้แล้วเรื่องทุนนั้นเรายังไม่ได้กำหนดอะไร แต่มีคนสนใจมาคุยๆบ้างแล้ว แต่ว่าบทมันยังไม่เสร็จผมเลยยังไม่อยากคุยกับใครเลย(หัวเราะ) ถ้าจะทำจริงๆสิ่งที่ผมต้องการก็คือไม่อยากให้ใครมาคุมหัวผมตอลถ้ามีนายทุนมาก็ต้องคุยกันให้ชัดเจนว่าคุณอยู่ในส่วนไหนพออย่าเข้ามาก้าวก่ายในไอเดียของผมๆมันอินดี้(หัวเราะ)”