“หมอก้อง” เผยภูมิใจสูงสุดในชีวิตที่ได้เป็นข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดพระองค์ท่านเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต บอกถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ คนไทยต้องมีสติดึงประเทศไว้ไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้
นอกจากเราจะรู้จัก “ร้อยเอกนายแพทย์ สรวิชญ์ สุบุญ” หรือ “หมอก้อง” ว่าเป็นนักแสดงมากฝีมือชื่อดังอีกคนของวงการบันเทิงบ้านเราแล้ว อีกบทบาทหนึ่งที่หลายคนคุ้ยเคยก็คือเจ้าตัวเป็น “หมอ” อาชีพ ในสำนักงานแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งการเป็นหมอนี่แหละที่ได้เปลี่ยนชีวิตหมอก้องครั้งใหญ่ หลังได้มีโอกาสเดินตามรอย พ่อหลวงของแผ่นดิน ไปทำงานในถิ่นทุรกันดารที่แสนยากลำบาก จากที่ไม่เคยรู้สึกภูมิใจกับการทำงานราชการของตัวเอง แต่ที่นั่นกลับทำให้หมอก้องรู้สึกเต็มตื้นสุดหัวใจที่ได้เกิดมาเป็นข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับบอกตัวเองว่า ยอมตายแทนพระองค์ท่านได้
เปิดเส้นทางหมอดารา
ก่อนจะเป็นดาราเซ็นสัญญากับช่อง 3 หมอก้องเป็นคนลพบุรี เป็นเด็กเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก ด้วยถูกปลูกฝังจากคุณพ่อมาตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นต้องเป็นหมอ และให้เป็นหมอทหารเท่านั้น หมอก้องจึงสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า พร้อมกับคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.51 มาครอง หลังจากเรียนจบปีแรกก็ไปเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ จ.ปราจีนบุรี เพื่อใช้ทุนเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะย้ายมาสังกัดกองตรวจโรค หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นแพทย์ทหาร ทั่วไป (Resident) ปัจจุบันทำงานในสำนักงานแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ชีวิตพลิกหลังได้เดินตามรอยเท้า พ่อหลวงของแผ่นดิน
“แต่ชีวิตการเป็นหมอของผมมาเปลี่ยนมากๆ ตอนที่ผมเป็นแพทย์ประจำอยู่ที่ค่ายทหารพัฒนา ในตอนนั้นจะต้องคอยออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปยังจังหวัดต่างๆ ทุกเดือน ก็มีทั้งที่ที่ลำบากและไม่ลำบาก แต่การไปอออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่จังหวัดเพชรบุรีไปครั้งนั้นทำให้ผมมีแรงบันดาลใจที่จะเป็นหมอค่ายทหารพัฒนาต่อไป”
“จากที่ตอนแรกต้องยอมรับก่อนว่าผมยังไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ประทับใจด้วยซ้ำ วันนั้นพอผมขับรถไปถึงหน่วยทหารที่เพชรบุรีเราก็เข้าใจว่าถึงที่ทำงานเลย แต่ปรากฏว่าคนในหน่วยบอกกับผมว่าต้องไปรักษาคนอีกที่นึง เขาก็บอกจอดรถไว้ที่นี่แหละ ให้ไปกับรถที่เตรียมไว้ให้ ผมก็เริ่มแปลกๆ ละ แล้ววันนั้นจัดของไปเต็มที่มาก ทั้งโน๊ตบุ๊ก ทั้งกระเป๋า ก็โอเคขึ้นรถไปกับเจ้าหน้าที่แบบงงๆ และยังมีคำถามในหัวตลอดเวลา สรุปว่าต้องนั่งรถจากตรงนั้นไปอีกเกือบ 4 ชั่วโมง ซึ่งถนนคดเคี้ยวมาก หลังๆ เริ่มเป็นทางลูกรัง พอถึงปุ๊บผมก็นึกว่าจะได้ทำงานแล้วซะทีแต่ไม่ใช่ครับ ต้องเดินเท้าต่อเพราะรถขึ้นไปไม่ได้เท่านั้นแหละ อารมณ์มาเต็มเลยทีนี้ เพราะผมหอบสมบัติบ้ามาเยอะมาก ก็ต้องแบกเดินข้ามภูเขากว่า 1 ชั่วโมง ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย ถนนก็เป็นดินโคลน ผมก็บ่นตลอดทางเพราะเราไม่ได้เตรียมใจมาสมบุกสมบันขนาดนี้ด้วยไงครับ พอต้องมาเจอแบบนี้ก็หงุดหงิดและเหวี่ยงไปหมดครับ”
“สักพักก็เลยมีเจ้าหน้าที่เดินมาถามผมว่าหมอเหนื่อยเหรอ ผมก็รู้สึกในใจ ณ ตอนนั้นว่าเขาถามทำไม กวนรึเปล่าเพราะก็รู้อยู่แล้วว่ามันลำบาก แล้วยังจะมาถาม แล้วเขาก็บอกว่า หมอคิดดูว่า 20 ปีที่แล้วเป็นยังไง นี่คือพัฒนาหมดแล้วนะ หมอรู้มั้ยเคยมีคนนึงเดินมาด้วยกันกับผม แต่ว่าคนๆ นั้นเดินนำ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่คนในกลุ่ม(หมอ) แล้วก็เป็นคนเมือง ผมก็สงสัยว่าใคร เขาก็บอกว่าคนคนนั้นคือ ในหลวง พอพูดแค่นั้นแหละ ผมเหมือนโดนต่อยหนักๆ ในใจคิดว่าจริงเหรอ ยังแอบคิดว่าท่านมาลำบากมากขนาดนี้จริงเหรอ”
“จริงๆ เราซึมซับและรับรู้มาตั้งแต่สมัยเรียนแหละว่าพระองค์ท่านทำอะไรเพื่อประชาชนบ้าง แต่ผมไม่คิดว่าท่านจะมาในที่ลำบากขนาดนี้ เพราะนี่คือเรามาเห็นเองกับตา คือมันชัดเจนกว่าที่เราเรียนหรือรู้มาสิ้นเชิง เราได้รู้ตอนนั้นเลยว่าท่านเหนื่อยและอดทนแค่ไหนกว่าจะไปช่วยพสกนิกรได้ ไม่ใช่ไปอย่างสบายเลย แต่พระองค์ทรงทำแบบนี้มาเป็นเวลาไม่รู้กี่ปีๆ แล้ว”
“พอวันรุ่งขึ้นเราก็ตื่นมาตรวจชาวเขา คือที่ลุยกันมานี่คือเพื่อมาตรวจรักษาชาวเขาโดยเฉพาะเลยครับ เสร็จมีเรื่องที่ทำให้ผมช็อกอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระเทพฯเสด็จมาที่นี่ครับ และมาทางเดียวกันเลย ท่านนั่งเฮลิคอปเตอร์มา แต่ก็ต้องเดินเท้ามาเหมือนเราเลย แล้วมาทางเดียวกันเลย ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองเล็กมาก ไม่ได้เศษเสี้ยวธุลีดินของพระองค์ท่าน เราก็ยังบ่นเลย แต่พระองค์ท่านทำ สุดท้ายผมก็ได้คำตอบว่าที่ท่านทำทั้งหมดเนี่ยเพราะว่าท่านรักเรา (ร้องไห้) ท่านรักลูกๆ ของท่านทุกคน รักประชาชนทุกคนแล้วก็ไม่ใช่เฉพาะคนไทยแต่เป็นทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย”
สุดภูมิใจได้เป็นข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลั่นยอมตายแทนได้
“จากวันนั้นมันเป็นจุดเปลี่ยนของผมเลยครับ กล้าพูดเลยว่าทำงานมาผมไม่เคยภูมิใจกับการเป็นราชการจนได้มารู้ว่าเป็นข้าของพระองค์ท่าน เป็นข้าของประชาชน ตัวท่านเองยังยกให้ประชาชนมาก่อน เพราะฉะนั้นมันยิ่งใหญ่ในการทำงานราชการ ผมรู้สึกว่าผมโชคดีที่ได้เป็นข้าราชการเพราะเป็นข้ารองฝ่าพระบาทในราชการปัจจุบัน ผมว่ามันไม่น่าจะยากที่เราจะแสดงความจงรักภักดี แสดงความรัก แสดงความกตัญญูตอบแทนพ่อบ้าง”
“เรามีแผ่นดินอยู่สุขสบายทุกวันนี้ เพราะบรรพบุรุษเสียเลือดเสียเนื้อแลกมา ฉะนั้นเราไม่ควรลืมว่าเรามีแผ่นดินนี้เพราะใคร แผ่นดินนี้เป็นของใคร ของพระองค์ท่าน เรามาอาศัยพระองค์ท่านอยู่ แล้วพระองค์ท่านก็ยังทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเรา ตั้งแต่พระองค์ท่านครองราชย์เป็นในหลวงของเรา จนถึงวันนี้ท่านยังไม่หยุดทำเพื่อพวกเรา ทั้งที่ท่านก็ประชวรอยู่”
“ถ้าอะไรที่ทำให้ท่านอยู่กับพวกเรานานๆ หรือแลกกับความสุขของพระองค์ท่าน เอาชีวิตผมไปได้เลย ผมตายแทนได้ครับ มันถึงเวลาที่เราจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว ทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนพระองค์ท่านเพราะว่าท่านรักแผ่นดินนี้ที่สุด ท่านรักคนไทยที่สุด ณ ตอนนี้เราต้องมีสติขึ้นมาดึงประเทศไว้ไม่ให้มันตกต่ำไปกว่านี้”