ขณะที่รุ่นพี่ด้านความเร็วอย่าง Fast & Furious สปีดตัวออกเก็บเงินจากคนดูทั่วโลกไปถล่มทลายเมื่อไม่กี่เดือนก่อน “รัช” (Rush) ซึ่งเป็นรุ่นน้องศิษย์สำนักเดียวกัน อาจไม่ได้ทำเงินมหาศาลเท่ารุ่นพี่ แต่ในด้านความดีความเด่นแล้ว มันเหมือนรถยนต์ที่มีแรงขับพลังงานเกินร้อย และเราสามารถกล่าวได้ว่า รัชได้รางวัลออสการ์จากคนดูผู้ชมไปเป็นที่เรียบร้อย
เป็นความจริงว่า ที่ผ่านมา มีหนังซึ่งเกี่ยวกับรถแข่งทยอยออกสู่ตลาดอยู่เรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะพยายามทำแข่งหรือเทียบรัศมีกับพี่เบิ้มอย่าง Fast & Furious และผลลัพธ์ก็อย่างที่รู้ว่า พลิกคว่ำไม่เป็นท่าก็หลายเรื่อง ตรงกันข้ามกับรัชซึ่งดูจะหาจุดพิกัดและลู่เลนเป็นของตัวเอง แตกต่างกับหนังตระกูลฟาสต์ชนิดที่พูดได้ว่า “วิ่งกันคนละทาง” แม้แบบแผนบางอย่างจะยังมีให้เห็นอยู่ เช่น การเล่นกับฉากประลองความเร็วความแรงซึ่งถือเป็น “ท่าบังคับ” ที่ต้องมีเพื่อเรียกคนดูวงกว้าง อย่างไรก็ดี ขณะที่ฉากเหล่านี้ทำหน้าที่ในการเอนเตอร์เทนคนดูอย่างได้อรรถรส ผมคิดว่า ความยอดเยี่ยมของหนังจริงๆ นั้น อยู่ที่เรื่องราวของตัวละครหลักๆ สองตัวซึ่งจะฝากแง่คิดปรัชญาไว้ในหัวของคนดูไว้ไม่รู้ลืม
ขออนุญาตเอามะพร้าวมาขายสวนกันแบบสั้นๆ รัชนั้นสร้างมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของนักซิ่งฟอร์มูล่าวันสองคน คือ “นิกิ เลาด้า” กับ “เจมส์ ฮันท์” ซึ่งได้เป็นแชมป์ของเวทีนี้ทั้งสองคน ความน่าสนใจก็คือว่า นอกเหนือไปจากการถ่ายทอดเรื่องราวของบุคคลทั้งสองแบบไล่เรียงให้เห็นความเป็นมา หนังยังเล่นกับบุคลิกคาแร็กเตอร์ทั้งสองตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง และทำให้คนดูได้เข้าถึงแก่นสารความเป็นมนุษย์ที่สามารถนำมาต่อยอดขบคิดเป็นบทเรียนชีวิตได้เช่นกัน
ในความปรารถนาเดียวกันที่จะได้ครองตำแหน่งแชมป์โลกนั้น นิกิ เลาด้า กับ เจมส์ ฮันท์ กลับดูแตกต่างกันอย่างมากมายทั้งในแง่บุคลิกภาพและความคิดความเชื่อ นิกินั้นดูเป็นผู้ชายสไตล์ A Serious Man คือจริงจังเคร่งขรึม สุขุมคัมภีรภาพ ตรงกันข้ามกับเจมส์ ฮันท์ ที่ดูหุนหันพลันแล่นตามขนบของพวกเพลย์บอยรักอิสระ อย่างไรก็ตาม ต่างคนมีเสน่ห์ไปคนละแบบ และหนังก็จะให้น้ำหนักแก่ทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม ชนิดที่ดูแล้วตัดสินใจได้ลำบากว่าจะรักหรือนิยมชมชอบใครมากกว่ากัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ทั้งสองเข้าฉากด้วยกัน ซึ่งมักจะมาพร้อมกับการปะทะคารมข่มกันแบบไม่มีใครยอมใคร คือสิ่งที่ต้องชมว่าหนังทำออกมาได้น่าประทับใจมาก
ทั้งนี้ นอกเหนือไปจากความดีของบทภาพยนตร์ที่ส่งผลทางบวกต่อเรื่องราว ทำให้หนังมีความสนุกและมีพลังบางอย่างซึ่งสามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด (ส่วนตัวผมเองยังรู้สึกว่า ยังไม่อยากให้หนังจบ ทั้งที่หนังก็ยาวอยู่แล้วสองชั่วโมง) การแสดงของดาราผู้รับบทสองตัวละครหลัก ก็สวมวิญญาณของเจมส์ ฮันท์ และนิกิ เลาด้า ได้แบบที่เรียกว่าสุดยอดแห่งความสมบทบาท
คริส เฮมเวิร์ธ (เทพเจ้าสายฟ้าจากหนังดังเรื่อง Thor) ดูไปได้สวยกับการเป็นเพลย์บอยอย่างเจมส์ ฮันท์ โดยเฉพาะการมีตัวตนที่อยู่ระหว่าง “จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่เชิง” ถือว่าเขาต้องรักษาบาลานซ์นี้ไว้ให้ได้ เพื่อให้คนดูทั้งรู้สึกหมั่นไส้และนิยมในตัวเขาด้วยไปพร้อมๆ กัน ส่วนแดเนียล บรูห์ล (งานเก่าของเขาซึ่งผมชอบมากๆ คือ Goodbye Lenin และ The Edukators) ก็เต็มที่กับบทนิกิ เลาด้า ที่แม้ใบหน้าจะโดนเผาไปครึ่งซีกจากอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขัน แต่เขาก็ยังดูหล่อ...หล่อที่ความคิดและตัวตน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนก็มีความคมคายในแนวคิดปรัชญาการใช้ชีวิตเป็นแบบฉบับลักษณะเฉพาะตน ในขณะที่มุมมองของเจมส์ ฮันท์ ที่ให้ค่าความหมายของชีวิตไว้ว่าถ้าคนเราเอาแต่แสวงหาความสำเร็จในทุกอย่างโดยไม่คิดจะหาความสุขใส่ตนเองเลย ชีวิตจะมีความหมายอะไร ปรัชญาของเจมส์ ฮันท์ ก็คือทำทุกวันให้มีความสุขราวกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของทุกชีวิต ส่วนความเชื่อของนิกิก็ชวนคิดว่าชีวิตคนเราสามารถมีความสุขได้แบบไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายตัวเองให้กับโลกียสุขเหล่านั้นเสมอไป เพราะมันยังมีความสุขแบบอื่นที่นอกเหนือไปจากเหล้ายาและผู้หญิง
ผมไม่แน่ใจว่าแฟนๆ ของนิกิ เลาด้า กับ เจมส์ ฮันท์ จะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องราวของทั้งสองคนที่ถูกภาพยนตร์ถ่ายทอดออกมา แต่สิ่งที่ผมแน่ใจยิ่งกว่าแน่ใจก็คือว่า หนังวางกรอบทิศทางให้ตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม คือแม้จะแตะเรื่องราวเชิงชีวประวัติ แต่นี่ไม่ใช่สารคดีที่จืดชืดไร้รสชาติ ที่สำคัญ ผมว่าหนังสามารถเล่นกับด้านลึกของตัวละครได้อย่างทรงพลัง ทั้งเจมส์ทั้งนิกิต่างก็มี “ความเป็นคน” ซึ่งมีทั้งบกพร่องและดีงามปะปน เหมือนใบหน้าของนิกิที่โดนเผาไปกว่าครึ่ง ซึ่งถ้าจะมองกันจริงๆ นี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อหนังเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มพลังทางเนื้อหาให้กับหนัง ในแง่ที่เป็นสัญลักษณ์ของตัวละคร เพราะพูดกันอย่างถึงที่สุด คนแต่ละคนก็มีมุมหล่อมุมสวยและมุมห่วยๆ ด้วยกันทั้งนั้น
แนะนำสำหรับคนที่ยังชั่งใจว่าจะตีตั๋วเข้าไปดูดีไหม ผมขอเชียร์ว่าให้ไวเลยครับ เพราะหนังดีระดับนี้ ยังไงก็ควรได้ดู ความสนุกนั้นสมราคากับคำชมที่หนังได้รับมาอย่างท่วมท้น ขณะที่ความประทับใจในเชิงเนื้อหาสาระ ก็ไม่แพ้กัน
ใจความสำคัญ หนังเล่าถึงคนสองคนที่มีความฝันและพยายามมุ่งมั่นก่อร่างสร้างตัวบนผืนดินแห่งความฝันของตนเองนั้น เราจะได้เห็นพอประมาณว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางของตัวเองนั้น เป็นอย่างไร แต่ประเด็นที่เชื่อว่าคนดูจะจับต้องได้คล้ายๆ กัน คือเรื่องของมิตรภาพระหว่างคนสองคน ที่บางมุมก็ดูคล้ายเป็นคู่แข่ง แต่อีกหนึ่งมุม กลับดูหนุนเสริมเพิ่มพลังให้แก่กัน ยิ่งรู้สึกว่ามีคู่แข่ง ยิ่งต้องเร่งตัวเองให้เร็วและแรงเพื่อจะแซงอีกคนให้ได้ ทั้งนี้ โดยไม่รู้สึกอาฆาตมาดร้ายอะไรต่อกัน เพราะแม้จะเป็นคู่ต่อสู้บนลู่แข่ง แต่ก็หยิบยื่นความเป็นมิตรได้ในสนามชีวิต สุดท้าย ว่ากันที่ความประทับใจ ก็คงเพราะมันบอกกล่าวเล่าถึง Human Spirit หรือ “จิตวิญญาณของมนุษย์” ที่ไม่หยุดจะฟันฝ่า ท่ามกลางสภาวะแรงบีบคั้นกดดันของโลกและชีวิต และบางที ชัยชนะบนสนามแข่ง อาจเทียบค่าได้ยากกับชัยชนะอีกหนึ่งแบบ คือ ชัยชนะเหนือจิตใจของตนเอง
หนังแบบนี้ ที่จริงต้องบอกว่าเป็นหนังที่เข้าทางรางวัลออสการ์อย่างปฏิเสธไม่ได้ คือหนังที่เล่าถึงพลังของมนุษย์ ให้พลังชีวิตกับคนดู ดังนั้น ไล่ตั้งแต่ตัวหนัง บท ไปจนถึงนักแสดง และผู้กำกับ (รอน โฮเวิร์ด) มีโอกาสเหมือนกันที่จะได้วิ่งเข้าไปแข่งในลู่เลนของออสการ์ ถ้าไม่มีคู่แข่งตัวอื่นๆ เบียดแซงขึ้นมาเป็นตัวเลือกใหม่ แต่ไม่ว่า “รัช” จะ “อัดเต็มสปีด” ไปจนถึงออสการ์ได้หรือไม่ หรือนิกิกับเจมส์ ฮันท์ จะผลัดกันแพ้ชนะสักกี่รอบ แต่ที่แน่ๆ เรื่องราวของพวกเขาชนะใจคนดูด้วยคะแนนอันเป็นเอกฉันท์