xs
xsm
sm
md
lg

เมียร์แคทบนหลังฮิปโป : Elysium

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


“...มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของเจ้าบรรดาเมียร์แคทในป่าใหญ่ เมียร์แคทเป็นสัตว์ตัวเล็ก เมื่อพืชพันธ์ธัญญาหารในระดับเรี่ยดินหมดสิ้นไป เหลือแต่ผลไม้ที่อยู่สูงขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ ยากจะเก็บกินได้ และคราครั้งนั้น เจ้าเมียร์แคทตัวน้อยตัวหนึ่งก็ได้พบกับฮิปโปผู้มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ เมียร์แคทตัวจิ๋วจึงส่งเสียงเจรจา

“ท่านพอจะช่วยข้าได้บ้างหรือไม่ ท่านฮิปโป”

“จะให้เราทำอะไรรึ เจ้าสัตว์ตัวจิ๋ว” ผู้มีฉายาว่าเจ้าป่า ชักสีหน้าสงสัย

“ข้าตัวเล็ก หยิบผลไม้พวกนั้นไม่ถึง ท่านให้ข้าขี่หลังท่านเพื่อจะยื่นเก็บผลไม้เหล่านั้นได้ไหมเล่า” เจ้าเมียร์แคทเอ่ยคำร้องขอ ฮิปโปได้ยินดังนั้น จึงถาม “แล้วข้าจะได้อะไรจากการช่วยเหลือเจ้าล่ะ”

“ก็ได้เพื่อนไงท่าน” เมียร์แคทตัวเล็กแววตาดูร่าเริงกระตือรือร้น ราวกับข้อเสนอที่ตนเพิ่งหยิบยื่นให้ มันคือสิ่งที่งดงามยิ่งใหญ่และไม่มีทางที่ใครจะปฏิเสธ ฝ่ายฮิปโปพอได้ฟัง ก็ถึงกับอึ้งๆ อึนๆ ไปชั่วขณะ..”


ครับ, ที่ผมหยิบยกนิทานมาบอกเล่ากล่าวเกริ่น ไม่ใช่เพียงเพราะว่ามันคือนิทานเรื่องหนึ่งซึ่งถูกบอกเล่าโดยเด็กหญิงผู้แทบจะเป็นองค์ประกอบเพียงหนึ่งเดียวที่ดู “เพียว” (Pure) หรือใสสะอาดที่สุดในหนัง หากแต่นิทานเรื่องดังกล่าว ยังทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวแทนของแก่นสารใจความสำคัญซึ่งหนังอย่าง Elysium พยายามจะส่งผ่านถึงคนดู

นี่คือผลงานที่เชื่อว่าหลายคนรอคอย หลังจากได้ยินชื่อของผู้กำกับอย่าง “นีลล์ บลอมแคมป์” ผู้เคยทำให้โลกภาพยนตร์สั่นสะเทือนมาแล้วจากหนังเรื่อง District 9 ซึ่งแม้จะเป็นหนังทุนน้อยเรื่องเล็กๆ แต่ทว่าเปี่ยมล้นด้วยคุณภาพ ไม่ว่าจะมองในแง่ความสนุกที่เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน หรือในแง่เนื้อหาสาระที่เปรียบเปรยเสียดสีได้แสบสันต์ ขณะเดียวกัน เทคนิคลูกเล่นก็ดูแพรวพราว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบสารคดีที่ดูสมจริงเอามากๆ แต่ทว่าไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย ส่วนใครที่ชอบระเบิดหรือยิงกันตูมตาม หนังก็อำนวยการจัดให้อย่างเต็มพิกัด

จากหนังทุนน้อย นีลล์ บลอมแคมป์ ก้าวกระโดดสู่สตูดิโอยักษ์ใหญ่แบบเต็มตัว กับหนังทุนหนาเรื่องนี้ “เอลีเซี่ยม” (Elysium)

“เอลีเซียม” นั้นหมายถึงดินแดนใหม่ที่ไกลออกไปจากโลกของเรา ในศตวรรษหน้า ปี ค.ศ.2156 โลกทั้งโลกตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ บ้านเมืองย่อยยับ ผู้คนอดอยาก มันเหมือนยุคที่ฝันร้ายในทุกๆ ด้านได้ย่างกรายมาถึง ผู้คนมีอำนาจและเงินทองจำนวนหนึ่ง จึงพากันไปสร้างโลกใหม่อยู่ ณ อวกาศอันห่างไกลที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ใครประสบอุบัติเหตุเป็นแผลเล็กแผลใหญ่หรือเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคร้ายแรงอะไร เพียงไปนอนบนเตียงรักษาแล้วให้เครื่องสแกน ก็จะกลับมาเป็นปกติได้ ภาพของเอลีเซี่ยมที่เราเห็น จึงถูกวาดไว้อย่างสวยหรูงดงามและเป็นดินแดนในฝันของผู้คนบนโลก รวมไปจนถึง “แม็กซ์” (แม็ตต์ เดม่อน) คนหนุ่มผู้กำลังตกที่นั่งลำบาก และหม้ายสาวลูกติดอย่าง “เฟรย์” (อลิซ บราก้า) ที่ลูกสาวตัวน้อยกำลังถูกรุมเร้าด้วยโรคลูคิเมีย

พอๆ กับที่รู้สึกว่า ชื่อภาษาไทยของ Elysium อย่าง “ปฏิบัติการยึดดาวอนาคต” กับชื่อของ District 9 “ยึดแผ่นดิน เปลี่ยนพันธุ์มนุษย์” ให้อารมณ์ใกล้เคียงกัน ผ่านคำว่า “ยึด” (เหมือนหนังบรูซ วิลลิซ ต้องมีคำว่า “อึด” อะไรทำนองนั้น) ในส่วนของความสนอกสนใจหรือประเด็นแนวคิดของเอลีเซี่ยม ยังคงไม่ทิ้งห่างจาก District 9 ไปมากมายนัก เพราะมันยังกล่าวถึงดินแดนสองแห่งและคนสองกลุ่มซึ่งต้องมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถูกกระทำให้เป็นไม่ต่างอะไรกันกับ “เอเลี่ยน” หรือ “ตัวประหลาด” (ตามวิธี Alienation) คนกลุ่มนี้จะถูกเขี่ยทิ้งและจำกัดกีดกันให้หลุดออกไปจากสารบบด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา

มันคือเรื่องของโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่ง ในขณะที่ผู้มีอันจะกินกับพวกนักการเมืองผู้ถือครองอำนาจดำรงอยู่กันอย่างสุขสบายในเอลีเซี่ยม โดยมีความกระหายใคร่อยากจะเป็นใหญ่ในหมู่นักการเมืองสิ่งกลิ่นเหม็นฉุอยู่ในชั้นบรรยากาศ ในโลกอีกใบที่ไม่จำเป็นต้องถามว่าไข่ราคาฟองละเท่าไหร่ เพราะสภาพโดยรวมของมันล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งก็คือโลกที่เราๆ ท่านๆ มีชีวิตอยู่กันนี่แหละ) ผู้คนกลับดำรงอยู่อย่างแร้นแค้นสาหัส ขณะที่คนหนุ่มอย่าง “แม็กซ์” ซึ่งไปรับจ้างทำงานให้กับโรงงานยักษ์ใหญ่ ประสบเคราะห์ร้ายได้รับกัมมันตภาพรังสีระหว่างปฏิบัติงาน เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงห้าวัน และนั่นก็ทำให้เขาต้องเลือกทำในสิ่งที่ดูยิ่งใหญ่เกินตัว เพราะต่อให้ไม่ทำ ก็มีแต่นั่งรอความตายไปวันๆ ดังนั้น เขาจึงเลือกเสี่ยงตายด้วยความหวังในโอกาสที่อาจมีชีวิตรอด

แม้ไม่อาจใช้คำว่า “สุดยอด” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เหมือนกับที่เคยใช้กับ District 9 แต่ถึงอย่างไร ประเด็นที่หนังพยายามหยอดเข้ามาแบบไม่หนักจนเครียด แต่พอสัมผัสได้ แม้ว่าสุดท้าย ภาพที่เด่นชัดที่สุดในหนังจะเป็นเรื่องของฮีโร่ตัวเล็กที่บังอาจไปคัดง้างกับ “ยักษ์ใหญ่” แต่ระหว่างทาง หนังก็มีมุมวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีสไตล์นีลล์ บลอมแคมป์ ให้เห็น ซึ่งนอกจากหนังจะส่งเสียงบอกชัดเจนว่า “อย่าไปไว้ใจพวกเล่นการเมือง” เพราะคนพวกนี้ไม่มีอะไรในชีวิตมากไปกว่าความไม่น่าเชื่อใจ รวมไปจนถึงประเด็นเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งหนังเหน็บแนมได้น่าเจ็บปวดหัวใจเหลือเกินก็คือ ขณะที่ตัวเองอยู่กินอย่างสุขสบายแล้วบนเอลีเซี่ยม แต่บรรดาผู้มีอำนาจมากเล่ห์เหลี่ยมก็ยังลงมาเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากโลกที่ล่มสลายแล้ว

ในเรื่อง เราจะเห็นตัวแทนของเอลีเซี่ยมลงมา “ดูงาน” บนโลกอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้จะบอกเป็นอื่นไปไม่ได้ หากไม่ใช่ว่า ในความสุขสบายของบรรดาท่านผู้มีอำนาจเบื้องบนนั้น (เบื้องบนจริงๆ นะครับ เพราะเอลีเซี่ยมอยู่เหนือขึ้นไปในท้องฟ้า) มีความทุกข์ยากของพี่น้องชาวโลกแบกรับอยู่ มองกันแบบเปิดหูเปิดตา มันจะต่างอะไรกันเล่ากับสถานการณ์ในโลกที่เราสังกัดอยู่ เมื่อบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลายก็ไปทำมาหากินอยู่ในดินแดนประเทศโลกที่สามกันเป็นว่าเล่น อ้างว่าไปเพื่อนู่นเพื่อนี่บ้าง แต่สุดท้ายก็มีวาระซ่อนเร้น (Hidden Agenda) ด้วยกันทั้งนั้น ต่อให้มันล่มสลายกลายเป็นซากศพ อีแร้งฝูงนี้ก็พร้อมจะบินไปโฉบกิน ผมว่านี่คือสิ่งที่นีลล์ บลอมแคมป์ นำเสนอออกมาได้ดี

ในขณะที่ได้ข้อสรุปว่า หนังเรื่องนี้มีความสนุกระดับหนึ่งตามแบบแผนของหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดทั่วไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเข้าใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อน มีอะไรก็ป้อนลงคอแทบไม่ต้องเคี้ยว และจุดโหว่รอยรั่วหรือความไม่สมเหตุสมผลจนเกิดคำถามก็มีให้เห็นอยู่บ้างในบางจุด เช่น บทของโจดี้ ฟอสเตอร์ คือทั้งที่มีอำนาจขนาดนั้น ดูเป็นสมาร์ทเลดี้ขนาดนั้น วางคาแรกเตอร์มาซะเฉียบเนี้ยบขนาดนั้น แต่บทจะลงเอยก็ลงเอยแบบโง่ๆ ง่ายๆ ไปซะอย่างนั้น ขณะที่บางฉากบางสถานการณ์เราก็คาดการณ์ล่วงหน้าได้ก่อนหนังจะดำเนินไปด้วยซ้ำ นี่คือความเพลี่ยงพล้ำสำเร็จรูปและซ้ำซาก (Cliché) ที่เรามักจะเห็นอยู่บ่อยครั้งในหนังฮอลลีวูดสูตรสำเร็จ

ผู้กำกับนีลล์ บลอมแคมป์นั้น เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองโยฮันเนสเบิร์กแถบแอฟริกาใต้ และนั่นก็ทำให้เขาได้เห็นความเป็นจริงอันเป็นอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ความลำบากของประชากรชั้นท้ายๆ ของโลก เปรียบดังปมเขื่องซึ่งวนเวียนอยู่ในใจของนีลล์ บลอมแคมป์ และเขาก็พูดมันออกมาผ่านงานทั้งสองเรื่อง อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับงานชิ้นก่อน ผมมีความเห็นว่า District 9 ดูคมคายและชัดเจน เหมือนนักมวยที่ชกเข้าเป้าได้จะแจ้งกว่า กระนั้นก็ตาม ถ้าจะบอกว่า District 9 ทำให้เราได้เห็นปัญหาที่เกิดกับบางพื้นที่ของโลกใบนี้ Elysium ก็คงจะมีอีกชื่อหนึ่งคือ District 10 ที่เหมือนเป็นส่วนขยายของ District 9 และคลับคล้ายจะเลียบๆ เคียงๆ ส่งเสียงบอก ถึงทางออกที่ควรจะเป็นสำหรับโลกอันเหลื่อมล้ำต่ำสูงใบนี้ ผ่านนิทานเรื่องเมียร์แคทกับฮิปโปที่เด็กหญิงเล่าให้แม็กซ์ฟัง

มันเป็นนิทานอันมีเนื้อหาว่าด้วยการเผื่อแผ่แบ่งปันและโอบอุ้มช่วยเหลือกันและกัน ของสังคมที่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจในสุขทุกข์ของใครเลยนอกจากตัวเอง ไม่เว้นแม้กระทั่ง “แม็กซ์” ที่ตอนแรกก็อิดออดต่อคำวิงวอนขอความช่วยเหลือ ผมว่าหนังพูดชัดว่า บาปกรรมอย่างหนึ่งซึ่งมนุษย์เรากระทำต่อกัน ก็คือ นอกจากตัวเองจะสุขสบาย ยังมองข้ามละเลยสุขทุกข์ของคนอื่น และเหนืออื่นใด ยังไปเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากคนที่ลำบากอยู่แล้วด้วยซ้ำ

คนบนดาวเอลีเซี่ยม หรือแม้แต่ตัวของแม็กซ์เอง ก็ไม่ต่างไปจากฮิปโป และมันคงเป็นโศกนาฏกรรม หากฮิปโปจะคิดถึงแต่ตัวเอง โดยไม่เหลียวมองสัตว์เล็กสัตว์น้อยอย่างพวกตัวเมียร์แคทเป็นต้น






กำลังโหลดความคิดเห็น