อันที่จริง ไม่ได้หน่อมแน้มหรือแกล้งปิดตาข้างหนึ่ง จนถึงกับทำให้มองไม่เห็นว่าหนังเรื่องนี้ ทรงไม่ดีตั้งแต่ภาพยนตร์ตัวอย่างและที่มาที่ไป หากแต่ด้วยเสียงคะยั้นคะยอจากเอสเอ็มเอสของแฟนรายการวิวไฟน์เดอร์ทางช่องซูเปอร์บันเทิง “เชียร์” ให้ไปพิสูจน์แล้วมาเล่าให้ฟังหน่อย ก็เลยไป “สอย” หนังเรื่องนี้ในราคาค่าตั๋ว 190 บาท...ผลิตภัณฑ์เดียวในโลกซึ่ง “ราคาที่ต้องจ่าย” ไม่มีการรับประกันว่าสินค้าที่ได้มาจะมีคุณภาพหรือไม่
ไม่ว่าจะอย่างไร ผมคิดว่าสิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันตั้งแต่เบื้องต้นนี้เลยก็คือว่า ภาพยนตร์ไทยที่ได้ “เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข” หรือที่เรียกขานกันสั้นๆ ว่า “เจมส์ จิ” มาเป็นพระเอก อย่างเรื่อง “เฟิร์ส เลิฟ” (First Love) นี้ เป็นหนังที่มีการถ่ายทำไว้นานแล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ตั้งแต่ก่อนที่ดาราหน้าหล่ออย่างเจมส์ จิ จะดังเป็นพลุแตกจากบทคุณชายภัทรในละครเรื่อง “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” ผมสังเกตเห็นป้ายบางป้ายที่อยู่ในหนัง (นาฬิกาบนหน้าตึกที่บอกทั้งเวลาและวันเดือนปี) ระบุถึงช่วงเวลาที่ถ่ายทำบางฉากได้ คือเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2555
อันที่จริง หนังเรื่องเฟิร์สเลิฟนั้น เป็นโปรเจคต์หนังสั้นที่ทำขึ้นเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวพิษณุโลก หลังจากนั้นก็ถูกดองเก็บไว้พักใหญ่ ตอนนั้น เจมส์ จิ เป็นใครมาจากไหน ก็แทบไม่มีคนสนใจ จนกระทั่งละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพกวาดต้อนคนดูให้นั่งอยู่หน้าจอทีวีได้ทุกค่ำที่ออกอากาศ และเจมส์ จิ กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ หนังเก่าที่เกือบจะโดนเก็บเข้ากรุอย่างเฟิร์ส เลิฟ ก็ถูกนำมาปัดฝุ่นอีกรอบ จากหนังขนาดสั้นๆ ก็ได้รับการประกอบสร้างใหม่ให้มีความยาวพอที่จะเข้าโรงฉายได้
ไม่ต้องตีความอะไรให้ซับซ้อน เหตุผลเดียวที่หนุนส่งให้เฟิร์ส เลิฟ ได้ฉาย ก็เพราะ “พลานุภาพความดัง” ของเจมส์ จิ ล้วนๆ
โดยส่วนตัว ผมไม่ได้เป็นแฟนคลับของเจมส์ จิ (เอ้อ พูดไปได้) และไม่ได้รู้สึกบวกหรือลบกับความหล่อของเจมส์ จิ ดังนั้น ณ บัญชรนี้ จะว่ากันที่รายละเอียดความเป็นภาพยนตร์ของเฟิร์ส เลิฟ แบบเพียวๆ
ก่อนจะโด่งดังในฐานะคุณชายพุฒิภัทรแห่งวังจุฑาเทพ ก่อนหน้านี้ เจมส์ จิ เป็น “น้ำน่าน” หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด (พิษณุโลก) เขาตกหลุมรัก “ผักบุ้ง” (กีรติกา สว่างแจ้ง) ตั้งแต่แรกเห็น ผักบุ้งเป็นหญิงสาวตัวท็อปในการเต้นลีลาศ ด้วยความปรารถนาจะได้ชิดใกล้กับผักบุ้ง น้ำน่านจึงสมัครเข้าชมรมเต้นลีลาศ รักแรกของน้ำน่าน จะสมหวังหรือไม่อย่างไร ก็ต้องลุ้นพอๆ กับการประกวดเต้นลีลาศที่กำลังจะมีขึ้นว่าผักบุ้งจะเอาชัยเหนือคนอื่นได้หรือเปล่า
จริงๆ ไอเดียหลักของหนังแบ่งออกเป็นสองส่วนสำคัญ หนึ่งก็คือความรักระหว่างน้ำน่านกับผักบุ้ง ที่หนังบอกว่าเป็น “รักแรก” (First Love) กับอีกส่วนหนึ่งคือการประกวดเต้นลีลาศที่จะมีขึ้น ซึ่งประเด็นเรื่องหัวใจของสองหนุ่มสาว จะเป็นตัวแปรที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้หรือชนะได้เหมือนกัน
เชียร์แบบสั้นๆ ครับว่า ถ้าคุณเชื่อมั่นว่าคุณสามารถรักทุกสิ่งที่เป็นนักแสดงหนุ่มอย่างเจมส์ จิ ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือหนังที่ถึงอย่างไร คุณก็ควรจะได้ดู เจมส์ จิ พ.ศ.ที่แล้ว หน้าตาเป็นอย่างไร คุณจะได้เห็นและเก็บไว้ในลิ้นชักความปลื้ม ถ้ารักได้อย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นนี้ คุณจะได้ไม่ต้องมีคำถามว่าทำไม หรือเพราะอะไร กับเรื่องราวในหนังซึ่งค่อนไปทางทิ้งเหตุทิ้งผลและวางเฉยกับสติปัญญาของคนดูพอสมควร
แน่นอนว่า หนังเน้นขายพระเอกอย่างไม่อาจปฏิเสธ 80 เปอร์เซ็นต์ของฉากในหนัง ล้วนแล้วแต่อุทิศให้กับหน้าตาของดาราหนุ่ม มุมกล้อง ไม่ว่าจะมองตรง มองลง มองล่าง หรือเสยขึ้น มันคือความพยายามเน้นองศาความหล่อระดับสาวกรี๊ดของเจมส์ จิ อย่างจงใจ ถ้าคุณมีความรักและหลงใหลในเจมส์ จิ อยู่แล้ว นี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อคุณ
แต่ก็อย่างที่ผมจะบอกครับว่า ถ้าคุณเป็นคนดูหนังซึ่งชอบมองหาอะไรที่มากไปกว่าหน้าตาของนักแสดง “เฟิร์ส เลิฟ” อาจจะกลายเป็น “ฟุบหลับ” ได้ทุกเมื่อ ผมพยายามมองข้ามไปว่า หนังกำลังพูดถึงเรื่อง “รักครั้งแรก” โดยราวกับว่าผู้สร้างผู้ทำไม่เคยดื่มด่ำสัมผัสกับรักแรกมาก่อนเลย หลายจุดของหนังก็เต็มไปด้วยรูโหว่รอยรั่วที่เพียงแค่จุดสองจุดก็ทำให้ตรรกะของเรื่องล้มไปทั้งยวงได้ ยกตัวอย่างเช่น
จู่ๆ หญิงสาวผู้น่ารัก...ผมว่า “ผักบุ้ง” สวยและดูน่ารักแบบเป็นธรรมชาติดีมาก ทั้งหน้าตาและสำเนียงที่ฟังดูเหน่อเป็นเอกลักษณ์...จู่ๆ ผักบุ้งก็ต่อว่าต่อขาน “น้ำน่าน” ว่าเป็นคนไม่มีความฝันอะไรในชีวิต ซึ่งมันชวนให้รู้สึกตะหงิดๆ อย่างไรชอบกล เพราะตลอดรายทางที่ผ่านมา เราก็ไม่เห็นว่าน้ำน่านเป็นคนแบบนั้นแม้แต่น้อย เขาก็เหมือนหนุ่มนักศึกษาธรรมดาทั่วไปที่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปคือเรียนหนังสือ หนังไม่มีการปูพื้นอะไรที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นคนไม่มีความฝันของน้ำน่านเลย ยกเว้นเรื่องชอบตื่นสาย ซึ่งเชื่อสิว่า ใครๆ ก็เป็น! ถ้านั่นมันทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความฝัน มันก็ดูอินโนเซ้นต์ไปหน่อย และนอนตื่นสาย บางที เพราะอาจกำลังมี “ความฝัน” และ “ฝันดี” อยู่ก็ได้!
แต่ที่มันน่าแปลกประหลาดอย่างคาดไม่ถึงก็คือ ไม่ว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นหรือไม่เป็น แต่น้ำน่านก็เหมือนจะถูกเคาะกะโหลกเข้าอย่างแรง เขาลุกขึ้นมาพูดเรื่องความฝันอย่างเป็นวรรคเป็นเวรและพยายามทำให้ตนดูเป็นคนมีความฝันในชีวิต ราวกับว่าที่ผ่านมา ตนเองผิดมาโดยตลอดที่ไม่มีความฝัน!
สิ่งนี้นั้น มันลดทอนความเป็นเหตุเป็นผลของหนังอย่างปฏิเสธไม่ได้ และการที่น้ำน่านแสดงท่าทีเชิงคุกคามคู่เต้นลีลาศของผักบุ้งนั้น มันเป็นท่าทีที่ไม่สมเหตุสมผลและไม่มีเหตุผลรองรับ เขาแสดงออกราวกับว่าโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน แต่หนังไม่ได้บอกหรือปูพื้นอะไรให้เราเลย ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายการตรัสรู้แบบ “ซาโตริ” ในแนวทางของ “เซน” คือบทจะอุบัติก็อุบัติ ไม่มีรหัสไม่มีนิมิตบอกกล่าวล่วงหน้า เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของหนัง ซึ่งคิดจะตัดจากตรงนี้ไปตรงนั้น ก็พร้อมจะทำได้ แบบไม่ต้องคำนึงถึงความเกี่ยวโยงต่อเนื่องของเรื่องราว ผมไม่ใช่อาจารย์สอนวิชาภาพยนตร์ที่จะต้องมาเล็กเชอร์อะไรในบรรทัดนี้ แต่คุณบัณฑิต ทองดี ในฐานะผู้กำกับควรจะทราบครับว่า การเคลื่อนฉากจากจุดนั้นไปจุดนี้โดยไร้เป้าหมาย ไม่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงอะไรกัน มันคือจุดอ่อนข้อแรกๆ ของหนัง และจุดอ่อนแบบนี้ ปล่อยให้หนังตลกเกรดบีราคาถูกเขาทำกันก็พอแล้ว
พูดกันอย่างถึงที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นหนังเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำความจริงที่ว่าหนังเรื่องนี้ ถูกคิดขึ้นโดยมีการตลาดนำหน้าโดยแท้จริง นั่นหมายถึงว่า ถ้าเจมส์ จิ ไม่ดัง มันก็คงเป็นหนังสั้นโปรโมตการท่องเที่ยวที่จบชีวิตไปแล้ว งานด้านภาพก็ชวนให้แปลกใจว่าเพราะอะไรถึงกล้านำมาฉายในโรงดิจิตอล ขณะที่การบันทึกเสียงก็ให้ความรู้สึกเหมือนหนังเกรดบีของตรีอมร หลายฉากฟังแล้วเสียงพูดมันก้อง (สะท้อน) ราวกับว่ากำลังดูหนังซูม สิ่งเหล่านี้ ถ้ามองว่าเป็นความน่าภาคภูมิในชีวิต ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องน่าประหลาด
ขวบปีที่ผ่านมา ผมเห็นว่ามีหนังไทยอย่างน้อยอีกหนึ่งเรื่องที่พอจะจัดอยู่ในขอบข่ายนี้ คือ “ฤดูที่ฉันเหงา” ซึ่งกล่าวสำหรับกลุ่มแฟนคลับของดารานักแสดงแล้ว เป็นหนังที่ทำให้พวกเขามีความสุขได้ เป็นหนังที่เน้นขายแฟนคลับ พอๆ กับเฟิร์ส เลิฟ และถ้าประเทศนี้มันมีหนังตลกแบบที่เขาพูดกันว่า “ตีหัวเข้าบ้าน” แล้วไซร้ หนังอย่างเฟิร์ส เลิฟ ก็คงคล้ายๆ กัน เพราะมันคือการ “ตีหัว เจมส์ จิ” แล้ววิ่งหนีเข้าบ้าน ชัดเจน