xs
xsm
sm
md
lg

“เมทัลลิก้า” กับ “Master of Puppet” อัลบั้มแธรชเมทัลดีที่สุดในโลก / บอน บอระเพ็ด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์เพลงวาน โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
Kill Em All อัลบั้มแรกของเมทัลลิก้า
นรกเป็นฉันใด คนที่เคยไปเท่านั้นถึงจะรู้ แต่กับผลงานเพลงชุด “Kill 'Em All” ที่ 4 หนุ่มหัวขบถ วง “เมทัลลิก้า”(Metallica) ส่งออกมาเขย่ายุทธจักรดนตรีในปี ค.ศ. 1983(พ.ศ.2526) คนหัวเก่า เหล่านักอนุรักษ์นิยมต่างบอกว่านี่เป็นดนตรีจากนรก พร้อมกับตีตราให้วงนี้เป็นดังปีศาจ เป็นดังซาตาน ที่นรกส่งมาเกิด

แต่ 4 หนุ่มเมทัลลิก้า อันได้แก่ “เจมส์ เฮทฟิลด์”(James Hetfield) - แหกปากร้องนำ(และสำรอกในหลายเพลง) ริทึ่มกีตาร์, “ลาร์ส อุลริช”(Lars Ulrich) - หวดกระหน่ำฟาดกลอง, “เคิร์ก แฮมเม็ตต์”(Kirk Hammett) -ขยี้ กระชากเส้นลวด 6 สาย ลีด โซโลกีตาร์/ร้องประสาน และ “คลิฟฟ์ เบอร์ตัน”(Cliff Burton) ที่ตะปบ ทึ้งเบส และร้องประสานนั้น หาได้ยี่หระไม่

เนื่องเพราะอีกด้านหนึ่ง เขาได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงเป็นอย่างดี ที่สำคัญคืองานเพลงชุดนี้มันสามารถการแจ้งเกิดแบบไม่ต้องไปอำเภอให้กับวงนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งนี่ยังถือเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญของวงการเพลงร็อก เพราะมันนำไปสู่การเปิดประวัติศาสตร์ของดนตรี(โคตร)หนักกะโหลกที่ช่วงแรกๆนิยมเรียกว่า“สปีดเมทัล”(Speed Metal) ก่อนที่จะตกผลึกเรียกขานเป็น “แธรชเมทัล”(Thrash Metal) ในภายหลัง (จากนั้นแธรช เมทัลได้แตกหน่อปีศาจออกไปเป็น “เดธ เมทัล”(Death Metal)ในเวลาต่อมา)

อย่างไรก็ดี แม้ “Kill 'Em All” (อัลบั้มที่ชื่อเหมาะกับนักการเมืองชั้นเลวของบ้านเรามาก) จะไปได้สวย แต่ดูเหมือนเมทัลลิก้ายังไม่พบซาวนด์ที่เป็นตัวตนของตัวเอง(งานเพลงชุดนี้ยังมีเงาของเฮฟวี่ เมทัลหนักๆปรากฏอยู่อย่างเด่นชัด)
Master of Puppets สุดยอดอัลบั้มแห่งวงการแธรชเมทัล
จนกระทั่งผลงานลำดับที่สอง “Ride the Lightning”(1984) เมทัลลิก้าได้ค้นพบซาวนด์และแนวทางอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งภาคดนตรีและเสียงร้องนำ ทำให้เมทัลลิก้าก้าวขึ้นมาเป็นหัวหอกของวงแธรชชั้นนำแบบไม่มีข้อกังขา แถมยังส่งอิทธิพลต่อวงแธรชรุ่นต่อๆมา ซึ่งหลายต่อมาหลายวงต่างยึดแนวทางนี้เป็นสรณะ

หลังออก Ride the Lightning มาวงเมทัลลิก้าว่างเว้นไป 1 ปี ก่อนกลับมาเขย่าวงการเพลงอีกครั้งกับผลงานเพลงชุด “Master of Puppets”(1986) หนึ่งในสุดยอดอัลบั้มของวง ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับจากแฟนเพลง นักวิจารณ์ และสำนักทางดนตรีหลายสำนักว่า นี่คืออัลบั้มแธรชเมทัลที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่มีแนวเพลงนี้อุบัติขึ้นมาในบรรณพิภพ (สำหรับใครที่มีอัลบั้มแธรชเมทัลในดวงใจ และคิดว่านั่นคืออัลบั้มแธรชที่ดีที่สุดโลกก็ถือเป็นความชอบส่วนบุคคล แต่บทความนี้ขออ้างอิงจากการยกย่องตามกระแสหมู่มากเป็นหลัก)

อัลบั้ม Master of Puppets สามารถนำบทเพลงอันเดอร์กราวน์เดินขึ้นสู่บนดินเข้าสู่กระแสเมนสตรีม โดยสามารถไต่ชาร์ตบิลบอร์ด 200 ขึ้นไปถึงอันดับที่ 29 และอยู่ในชาร์ตนานถึง 72 สัปดาห์ ส่งผลให้พวกเขาได้รับรางวัล Gold เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1986 และได้รับรางวัล Platinum อีกถึง 6 ครั้ง ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งรางวัลและยอดขาย
สมาชิก 4 หนุ่มวงเมทัลลิก้าในยุคคลาสสิคยุคแรกที่คลิฟฟ์ เบอร์ตัน(คนซ้ายสุด)มือเบสยังไม่จากไป
อัลบั้มนี้สมาชิกทั้ง 4 ที่เคยร่วมงานกันมาตังแต่ชุดแรกยังอยู่กันเหนียวแน่น ขณะที่โปรดิวเซอร์ก็ยังคงเป็น“เฟลมมิ่ง ราสมุสเซ่น”(Flemming Rasmussen) ที่เคยร่วมงานและกำหนดทิศทางอันชัดเจนของวงมาตั้งแต่ชุดที่แล้ว(Ride the Lightning)

Master of Puppets มีทั้งหมด 8 เพลงเหมือน Ride the Lightning เปิดตัวด้วยเพลง“Battery” ที่ขึ้นอินโทรนำมาด้วยเสียงใสๆของกีตาร์ในซุ่มเสียงอะคูสติก(เช่นเดียวกับเพลง Fight Fire With Fire ในชุดที่แล้ว) เล่นซ้อนไลน์ย้ำตัวโน้ตไล่กันมา 3-4 เที่ยว ก่อนจัดหนักใส่มากับการกระชากคอร์ดเสียงแตกพร่า ไลน์โซโลไลน์ใช้โน้ตชุดเดียวกับอินโทรแต่เปลี่ยนจากเสียงอะคูสติกมาเป็นเล่นผ่านดิสทรอชั่นแทน

จากนั้นก็เป็นการกระหน่ำสับคอร์ดกระจุย กลองหวดไม่ยั้ง น้าเจมส์ตะโกนแหกปากอย่างสุดมัน มีการเปิดพื้นที่ให้ส่วนป๋าเคิร์กโซโลเร็วจี๋บ้างในวรรคสั้นๆเป็นการเรียกน้ำย่อย ก่อนที่จะเปลี่ยนพาร์ทดึงจังหวะหน่วงลงมาเบรกอารมณ์ แล้วก็หันไประดมใส่ความมันกันอีกครั้ง นำโดยกีตาร์โซโลเร็วปานพายุบุแคมจากลูกนิ้วของป๋าเคิร์ก แล้วต่อด้วยลูกกระหน่ำสับคอร์ดไม่ยั้งจากมือกีตาร์ทั้งสอง โดยไม่ลืมเปิดพื้นที่ให้น้าลาร์ส(เดี่ยว)โซโลกระหน่ำกลองโชว์สั้นพอเหม็นปากเหม็นคอ เพื่อดึงกลับเข้าสู่ท่อนร้องอีกครั้ง

Battery ไม่ได้เป็นเพลงโฆษณาแบตเตอรี่หรือชวนไปตีแบตเตอรี่ หากแต่เป็นเพลงที่เนื้อหาหนักเหมือนภาคดนตรีว่าด้วยสงครามเป็นหลัก

แทรคต่อไปเป็น “Master of Puppets” บทเพลงชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้ม(เหมือนกับอัลบั้มชุดที่แล้ว ที่บทเพลงในแทรคที่สองใช้ชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้ม คือ Ride the Lightning) Master of Puppets เป็นบทเพลงแธรชเมทัลสุดคลาสสิค ขึ้นอินโทรมาแบบหนักหน่วง อัดสปีดใส่ไม่ยั้งกับลูกริทึ่มที่สับกระหน่ำ แต่ก็มีลีลาและจังหวะจะโคนอยู่ในตัว

พอเข้าท่อนร้องเจมส์แหกปากกึ่งสำรอกพูดถึงเรื่องราวของยาเสพติดได้อย่างดุดัน เพลงนี้หากวางโครงสร้างไว้แค่แพทเทิร์นเดียว คือสับคอร์ดกระชากอย่างเดียวคงไม่ได้รับการยกย่อง แต่พอเล่นมาถึงช่วงกลางเพลงมีการเปลี่ยนพาร์ทแบบฉับพลันด้วยการทิ้งช่วงเว้นว่างให้เงียบไว้ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนสร้างอารมณ์เพลงขึ้นมาใหม่กับลูกเกากีตาร์เสียงใสๆ ลูกโซโลอมหวาน ติดอ้อยสร้อย เป็นลูกโซโลหวาน 1 ใน ไม่กี่เพลงของเมทัลลิก้า จากนั้นดนตรีได้ทวีความหนักหน่วงขึ้นแบบไม่หักโหม คือกลอง เบส กีตาร์ พร้อมใจกันหนุนส่ง เข้าสู่ท่อนร้องในอารมณ์เดิม และช่วงโซโลกีตาร์ ช่วงกระหน่ำสับคอร์ดอันดุดันและรวดเร็ว

เพลง Master of Puppets แม้มีความยาวถึง 8 นาทีกว่า ทว่ากลับฟังไม่น่าเบื่อ เพราะเมทัลลิก้ามีการจัดพาร์ทจัดวางจังหวะ โครงสร้างเพลงอย่างเหมาะสม ลงตัว สมกับเป็นบทเพลงแธรชเมทัลสุดคลาสสิค

ต่อกันด้วย “The Thing That Should” จังหวะหน่วงลงมาหน่อย แต่ยังคงหนักแน่น ดุดัน อีกทั้งยังฟังหม่นมัว โดยเฉพาะเสียงอะคูสติกกีตาร์เล่นโน้ตซ้ำ ย้ำ ไปตลอดนั้นมันฟังหม่น วังเวง เป็นบ้า
คลิฟฟ์ เบอร์ตัน มือเบสปลิดวิญญาณผู้จากไปด้วยวัยเพียง 24 ปี
Welcome Home (Sanitarium)” นี่เป็นอีกหนึ่งเพลงดังของวง เป็นเพาเวอร์ บัลลาดที่ทางวงมักใช้เล่นสลับอารมณ์ในคอนเสิร์ตอยู่บ่อยครั้ง

เพลงนี้ขึ้นอินโทรมานุ่มๆกับลูกปิ๊กกิ้งกีตาร์ในเสียงอะคูสติก แล้วตามด้วยการเติมความเข้มเข้ามาของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นนำโดยเสียงโซโลกีตาร์หวานแต่หนักแน่นของเคิร์ก ตัวเพลงเดินไปตามทางเดียวกับ “Fade To Black” ในชุดที่แล้ว คือจากนุ่มหวานนำไปสู่กับหนัก ดุ แบบพอเป็นพิธีในท่อนแรก จากนั้นดึงอารมณ์กลับมาสู่ความนุ่มหวานอีกครั้ง แล้วเดินไปตามแพทเทิร์นเดิม แต่กล่าวนี้ไปไกลกว่านั้น คือพาออกไปสู่ความหนักหน่วง ดุดัน แบบจัดเต็มชนิดที่ฟังท่อนแรกกับท่อนหลังต่างกันราวฟ้ากับเหว ก่อนที่จะไปเปลี่ยนพาร์ทกันอีกครั้งในท่อนจบอย่างสุดมัน

แทรคที่ 5 “Disposable Heroes” อีกหนึ่งเพลงที่พูดถึงสงคราม ว่าด้วยเรื่องราวของทหารที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน ดนตรียังคงหนักแน่น กีตาร์สับคอร์ดไม่ยั้ง กลองตีลูกขัดได้อย่างน่าฟัง ท่อนโซโลกีตาร์มีการสร้างวรรคที่โดดเด่นถึง 4-5 วรรค

Leper Messiah” เพลงนี้เมทัลลิก้าแต่งอัดนักบวชหัวโบราณอย่างแสบสันต์ เพราะช่วงนั้นนักบวชกลุ่มหนึ่งได้ตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมาเพื่อจัดการกับดนตรี เฮฟวี่ แธรช เมทัล เพราะพวกเขามองว่านี่เป็นอันตรายต่อเยาวชนและผู้ฟัง นี่ถือเป็นเรื่องราวที่มีมาหลายยุค หลายสมัย ไม่เว้นแม้แต่สมัยนี้ ที่บทเพลงบางแนว การทำเพลงของหลายๆวงถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อชนชั้นนำ และพวกหัวอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย

แทรครองสุดท้ายเป็น “Orion” เพลงบรรเลงสุดมัน เพลงนี้วางโครงสร้างปูพื้นด้วยการสับคอร์ดหนักๆดำเนินเรื่องมา ก่อนสลับพาร์ทเปลี่ยนไปมาระหว่างภาคริทึ่มกับภาคโซโล แล้วเว้นวรรคเงียบหายไปชั่วขณะก่อนตั้งต้นดำเนินเรื่องกันใหม่กับกีตาร์คู่เล่น 2 ไลน์ประสานสอดรับกันมา โดยมีเสียงเบสเล่นโน้ตสวนทางเด่นขึ้นมาฟังโคตรเจ๋ง

Orion แม้จะยาวกว่า 8 นาทีแต่เมทัลลิก้าทำออกมาได้รื่นไหลไม่น่าเบื่อ ตัวเพลงมีจังหวะจะโคน มีเร็ว มีช้า มีหนัก มีเบา มีผ่อนอารมณ์เร่งอารมณ์ จนเพลงนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นบทเพลงบรรเลงในแนวแธรชเมทัลอันดับต้นๆ ซึ่งเครดิตอันนี้ทางวงยกให้กับ คลิฟฟ์ เบอร์ตัน บือเบส ปลิดวิญญาณ ที่เป็นผู้วางโครงสร้างของเพลงนี้

ส่งท้ายความมันแบบเต็มเหนี่ยวกับแทรคสุดท้าย “Damage, Inc.” ที่ฟังแล้วบอกได้คำเดียวสั้นๆว่าโคตรมัน แถมมีลูกเล่น ลีลา แอบแฝงอยู่ไม่น้อย

และนั่นก็เป็น 8 บทเพลงแธรชชั้นยอดจากยอดอัลบั้ม Master of Puppets ซึ่งชุดนี้จะว่าไปมีหลายส่วนที่คล้ายกับชุดที่ 2 คือ Ride the Lightning ไม่ว่าจะเป็นการเรียงลำดับเพลง การวางโครงสร้างเพลง หรือแม้กระทั่งการกำหนดจำนวนเพลงที่มี 8 เพลงเท่ากัน

อย่างไรก็ดีหากเปรียบผลงานเพลงทั้ง 2 ชุด Ride the Lightning เป็นดังการค้นพบตัวเองของเมทัลลิก้า งานเพลงจึงออกมา สดใหม่ ขณะที่ Master of Puppets เป็นดังการตกผลึกพัฒนาความเป็นตัวตนของวงๆนี้ งานเพลงชุดนี้จึงออกมาลงตัวยอดเยี่ยม

นอกจากนี้ฝีมือของทั้ง 4 ก็จัดอยู่ในช่วงกำลังขึ้นหม้อ เป็นการเล่นที่มีทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยม ลาร์สตีกลองได้อย่างหนักแน่น ดุดัน แต่รื่นไหล รับส่ง มีลูกหยอด ลูกขัด อันโดดเด่น ซึ่งหลังจากนั้นมาเขาได้ขึ้นทำเนียบมือยอดมือกลองสายร็อกในอันดับต้นๆของโลก ส่วนคลิฟฟ์ถือเป็นยอดมือเบสอีกคนหนึ่งที่นอกจากจะวางไลน์เบสเท่ๆ หาช่องว่างให้ไลน์เบสฟังเด่นขึ้นมา มีลูกรัวเร็วเบสปานนรกแล้ว เขายังมีส่วนร่วมในการแต่งเพลง และวางโครงสร้างให้กับหลายๆเพลง

ขณะที่เคิร์กนั้นมีสำเนียงกีตาร์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยามหวานก็เล่นได้หวานพลิ้วแฝงหนักแน่น ส่วนยามดุดัน ยามรวดเร็ว นั้นก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมือกีตาร์ร็อกยอดเยี่ยมของโลก ด้านเจมส์ การแต่งเพลงของเขายอดเยี่ยมกระเทียมเจียว เสียงร้องของเขาทรงพลัง สำรอกได้อยากสะใจพระเดชพระคุณ แถมเจมส์ยังเป็นมือกีตาร์ริทึ่มที่โลกยกย่อง ที่สำคัญคือสามารถเล่นไปร้องไปได้อย่างเนียนไม่มีที่ติ โดยเฉพาะกับลีลาก้มหัวสำรอกใส่ไมค์นั้นเป็นดังลายเซ็นต์ของเจมส์ที่มีบางวงเลียนแบบ

ที่สำคัญคือทั้งเจมส์และเคิร์กได้รับการยกย่องว่าเป็นคู่มือกีตาร์ที่หาตัวจับยาก ลีลาการสับคอร์ดเล่นริทึ่มคู่กันของทั้งสองคน ถือเป็นแม่แบบในการเล่นกีตาร์คู่ของหลายๆวง เพราะแม้จะเล่นคอร์ดเดียวกัน แต่ทั้งคู่จับโน้ตคนละตัวกัน คนหนึ่งจะจับโน้ต G,B ส่วนอีกคนจับโน้ต G,D ซึ่งเมื่อเล่นพร้อมกันแล้วจะออกมาเป็นคอร์ด G ที่กลมกลืน โดยเหตุที่ทั้งคู่ใช้วิธีจับโน้ตคนละตัวในคอร์ดเดียวกันแบบนี้ เหตุผลหลักก็คือด้วยสปีดที่เร็วจี๋ของเพลง การจับคอร์ด เปลี่ยนคอร์ด ด้วยวิธีการจับแบบนี้มันจะรื่นไหลง่ายกว่า อีกทั้งกับซาวนด์กีตาร์ที่เล่นผ่านเอฟเฟคแตกพร่าระยับนั้น การเล่นริทึ่มของกีตาร์คู่แบบนี้มันฟังเคลียร์ชัดกว่า

และด้วยความลงตัวของ Master of Puppets ทั้งภาคดนตรี เนื้อร้อง การตกผลึกในแนวทางของตัวเอง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ รวมไปถึงงานเพลงที่ออกมาลงตัวจากทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยม(งานนี้ต้องให้เครดิตโปรดิวเซอร์อย่างเฟลมมิ่งด้วย) ทำให้อัลบั้มนี้ได้รับการยกย่องจากหลายทิศทางให้เป็นอัลบั้มแธรชเมทัลที่ดีที่สุดในบรรณพิภพ ซึ่ง ณ วันนี้ ยังคงไม่มีผลงานเพลงชุดใดมาโค่นตำแหน่งอัลบั้มที่ดีที่สุดในโลกจาก Master of Puppets ลงไปได้

*****************************************
แกะกล่อง

ศิลปิน : Santana
อัลบั้ม : Ultimate Santana

ผ่านพ้นไปสำหรับคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบอีกครั้งของ “ซานตาน่า” สำหรับผู้ที่พลาดคอนเสิร์ตหรือชมคอนเสิร์ตแล้ว เสียงกีตาร์อันเป็นเอกลักษณ์ของ “คาร์ลอส ซานตาน่า” มันบาดลึกกินใจจนอยากจะหาผลงานเพลงของซานตาน่ามาฟังและเก็บไว้ในคอลเลคชั่น

อัลบั้ม “Ultimate Santana” เป็นทางเลือกที่จะตอบโจทย์ความเป็นซานตาน่าได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือ ผลงานรวมเพลงที่ดีที่สุดจากทุกยุคของวงดนตรีวงนี้ มีทั้งหมด 17 เพลง 18 แทรค มีบทเพลงดังๆมากมาย อาทิ “Black Magic Woman”, “Smooth”, “The Game of Love” และ “Samba Pa Ti” เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น