คอลัมน์เพลงวาน โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
...เบาไปเพ่,เบาไปเว้ย!,เบาไปโว้ย!,เบาว่ะ บักหำเจมส์...
นี่คือคำสบถบ่นก่นด่าของแฟนเพลงจำนวนหนึ่งผู้นิยมความหนักกะโหลกเป็นสรณะ หลังวง“เมทัลลิก้า”(Metallica)ยอดวงสปีด/แทรช เมทัล อันดับหนึ่ง ทำคลอดอัลบั้มออกมาในชื่อเดียวกับชื่อวง คือ Metallica
แต่ประทานโทษ!?! หลังอัลบั้มชุดนี้ออกมาโลดแล่นในยุทธจักรดนตรีได้ไม่นาน มันก็ได้ฮอตฮิตโด่งดังทะยานค้างฟ้ามาจนถึงทุกวันนี้ นับเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดและโด่งดังที่สุดของเมทัลลิก้า อีกทั้งยังถือเป็นอีกหนึ่งในอัลบั้มสุดคลาสสิกของเจ้าพ่อแทรชวงนี้
โดยหลังจากวงเมทัลลิก้าออกสู๋วงการเพลงด้วยการสั่งสมชื่อเสียงบารมี นับจากอัลบั้มแรก “Kill 'Em All” (1983) ตามต่อด้วย “Ride the Lightning” (1984) และ “Master of Puppets”(1986) ที่ดีกรีชื่อเสียงความโด่งดังค่อยๆทวีขึ้นตามลำดับ จนสามารถทะยานขึ้นจากวงใต้ดินมาเป็นวงกระแสหลักในอัลบั้มที่ 4 “...And Justice for All” (1988)
จากนั้นวงเมทัลลิก้าที่กำลังฮอตสุดๆกับการถูกยกย่องให้เป็นวงสปีด/แทรช เมทัล อันดับหนึ่งแห่งยุค ได้ทิ้งช่วงจากการออกสตูดิโออัลบั้มไปประมาณ 3 ปี ก่อนกลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มชุดที่ 5 ที่ใช้ชื่อกับวงคือ “Metallica”
อัลบั้มชุด Metallica ฉีกแนวเมทัลลิก้าจากชุดที่ผ่านๆมา ด้วยหน้าปกสีดำมืดมีตัวอักษรชื่อวงพาดเฉียงๆ กับรูปงูขดตัวหรือ“งูสปริง” ชูหัวเตรียมฉกอยู่มุมขวาล่าง ทำให้มีการเรียกขานอัลบั้มชุดนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า “Black Album” ที่วันนี้ความเรียบง่ายของปกได้กลายเป็นความขลังและคลาสสิกไปแล้ว
ใน Black Album ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ตำแหน่งโปรดิวเซอร์ ที่พวกเขาเปลี่ยนจาก “Flemming RasmussenW ที่ได้เคยสร้างแนวทางเฉพาะตัวไว้ในอัลบั้ม Ride the Lightning และ Master of Puppets มาเป็น “Bob Rock” อีกหนึ่งยอดโปรดิวเซอร์มือทองแห่งวงการเพลง ที่ฝากฝีไม้ลายมือไว้กับศิลปินชื่อดังมากมาย นอกจากเมทัลลิก้าแล้วก็ยังมี อาทิ “David Lee Roth”, “The Cult”, “Mötley Crüe”, “Bon Jovi”, “Bryan Adams”, “Michael Bublé” และ “The Offspring” เป็นต้น
อัลบั้มปกดำ Black Album ประกอบด้วย สมาชิก 4 พะหน่อ ได้แก่ “เจมส์ เฮทฟิลด์”(James Hetfield) - แหกปากร้องนำ ริทึ่มกีตาร์, “ลาร์ส อุลริช”(Lars Ulrich) - หวดฟาดกระหน่ำกลอง, “เคิร์ก แฮมเม็ตต์”(Kirk Hammett) -โซโล ขยี้กีตาร์ ร้องประสาน และ “เจสัน นิวสเตด” (Jason Newsted) ตะปบเบส โดยเจมส์และลาร์สได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการโปรดิวซ์กับบ็อบ ร็อกด้วย
Black Album มีทั้งหมด 12 เพลง นำโดย “Enter Sandman” อินโทรขึ้นนำมาด้วยอะคูสติกกีตาร์ กลองกระทืบกระเดื่องตามมา ก่อนระเบิดความมันกับลูกริฟฟ์สุดเจ๋งตัวโน้ตเดียวกับอินโทร
Enter Sandman เพลงเปิดตัวอัลบั้ม ให้ซาวนด์ฟังแตกต่างไปจากเมทัลลิก้าใน 2 ชุดที่ผ่านมา คือมันเบาลงจากแทรช เป็นเฮฟวี่หนักๆ แต่ดนตรีนี่โคตรติดหูเลยพี่เจมส์ ลูกริฟฟ์ง่ายๆแต่ว่าโดนและติดหูชะงัดนัก ถือเป็นอีกหนึ่งลูกริฟฟ์ยอดฮิตอันดับต้นๆของโลก
เพลงนี้เสียงกีตาร์ของเคิร์ท จัดเต็มกับลูกเล่นวาห์ วาห์ ทั้งลูกสอด ตอด แทรก และลูกโซโลอันโดดเด่น อีกทั้งยังมีการใส่ไอเดียใหม่ๆเข้าไปกับ บทสวดมนต์ก่อนนอนให้เด็กน้อยพูดตาม ซึ่ง MV เพลงนี้ สามารถคว้ารางวัล เบสต์ วิดีโอ เมทัล ในปี 1992 ด้วย
ความหนักหน่วงในทางเฮฟวี่เมทัลเดินหน้ากันต่อไปกับ “Sad But True” เพลงเศร้าแต่จริง มาแบบหนักหน่วง คือมาในจังหวะหน่วงๆ แต่ดนตรีหนัก มีลูกริฟฟ์ฟังง่าย พูดในเรื่องการกระทำบาปบุญ ลูกโซโลของเคิร์ทมีทางของบลูส์ร็อกเข้ามาผสม เน้นวลี วรรคตอน ฟังเป็นเรื่องราว ไม่ใช่เร็วแบบน้ำไหลไฟดับแต่ฟังไม่รู้เรื่อง
“Holier Than Thou” มาเร่งเร้ากับเฮฟวี่มันๆชวนโยกหัว มีริฟฟ์กีตาร์กับริทึ่มหนักเล่นคุมไปตลอด กลองเพลงนี้อัดมันตามสไตล์พี่ลาร์ส ท่อนโซโลกีตาร์พี่เคิร์ทติดเอฟเฟควาห์ วาห์ มาจัดเต็มให้ฟังกันอีกแล้ว ก่อนที่เพลงจะจบหายไปแบบด้วนๆ
แล้วก็มาถึง “The Unforgiven” บทเพลงช้าในดวงใจของใครหลายๆคน นี่คือเพาเวอร์บัลลาดร็อกที่ฉีกแนวไปจากเพลงบัลลาดก่อนๆของเมทัลลิก้า ไม่ว่าจะเป็น “Fade To Black” ใน Ride the Lightning,“Welcome Home (Sanitarium)” ใน Master of Puppets หรือ One ใน “...And Justice for All” เพราะเดิมเพลงเพาเวอร์บัลลาดเหล่านั้นจะขึ้นมาช้าๆ ก่อนไปเพิ่มดีกรี อัดความเร็วความหนักหน่วงใส่เข้าไปตั้งแต่ช่วงกลาง และกระหน่ำหนักในช่วงทั้ง แต่ The Unforgiven เป็นบัลลาดทั้งเพลงที่ฟังติดหูง่ายและเพราะมาก
The Unforgiven ขึ้นต้นมาด้วยเสียงแตร ระฆัง กับกีตาร์ปิ๊กกิ้งหวานๆ มีเสียงสแนร์ตีประกอบบางๆ ก่อนนำส่งเข้าเพลงแบบทรงพลัง ใครที่เคยฟังเสียงสำรอกโหดๆของพี่เจมส์ เปลี่ยนมาฟังเสียงหวานๆของแกบ้างในท่อนแยก ถือเป็นสิ่งที่จะฟังกันเพียงไม่กี่เพลงเท่านั้น
และด้วยความสำเร็จโด่งดังของ The Unforgiven ทำให้มี The Unforgiven II และ The Unforgiven III ตามมาในชุด “Reload” (1997) และชุด “Death Magnetic” (2008)
กลับมาจัดหนักกันต่อกลับ “Wherever I May Roam” เพลงนี้ทำเก๋เปิดตัวมาด้วยเสียงซีตาร์(เครื่องดนตรีอินเดีย) ก่อนกระหน่ำริฟฟ์หนักๆเข้ามาในตัวโตเดียวกันอย่างมันสะใจในกลิ่นอารมณ์แขกผสมเมทัล
ส่วน“Don't Tread On Me” พอมีกลิ่นแทรชหน่วงๆเจืออยู่บ้าง เพราะภาคริทึ่มนั้นหนักหน่วงดีทีเดียว ขณะที่ “Through The Never” นั้นก็พอมีอารมณ์และทางของสปีดผสมอยู่ให้แฟนเก่าได้หายคิดถึงบ้าง กับดนตรีเร็วๆ มันๆ ริทึ่มกระหน่ำริฟฟ์กระจาย
จากนั้นอารมณ์เพลงถูกดึงกลับมาอีกครั้งกับ “Nothing Else Matters” ที่ขึ้นอินโทรมาด้วยอะคูสติกกีตาร์ทางสวยๆ ในเพลงมีการนำไลน์สตริงของวงออร์เคสตร้ามาใส่ ถือเป็นสีสันใหม่ของวงมหาโหดวงนี้
Nothing Else Matters เป็นอีกหนึ่งเพลงบัลลาดร็อกเพราะๆอันสุดคลาสสิกในอัลบั้มปกดำเคียงคู่กับ The Unforgiven ที่คอเพลงร็อกทั่วโลกจดจำได้ขึ้นสมอง
กลับมาหนักกะโหลกกันอีกครั้งกับ “Of Wolf And Man” แล้วต่อด้วย “The God That Failed” ที่ลดดีกรีลงมาหน่อย
ส่วน “My Friend Of Misery” นี่ก็เป็นเพลงเด่นอีกเพลงหนึ่งของชุด เปิดโอกาสให้บักเจสัน มือเบสหน้าเปื่อยเดินเบสโชว์ในซาวนด์เครียดๆนำมาในช่วงอินโทร จากนั้นดนตรีจัดใส่กันมาในโทนซีเรียสมิวสิค ท่อนกลางพักอารมณ์กับโซโลเบส ต่อด้วยโซโลกีตาร์ที่ไม่เน้นความเร็วแต่เน้นในเมโลดี้เรื่องราวอารมณ์เพลง
จากนั้นเป็น “The Struggle Within” กลองสแนร์รัวขึ้นต้นมาอย่างกับวงโยธวาทิต ก่อนกระหน่ำความมันใส่กันไม่ยั้งปิดท้ายผลงานชุด Metallica อัลบั้มที่ชัดเจนในการฉีกหนีการทำเพลงจากกรอบเดิมๆของวงที่ผ่านมา
อัลบั้ม Metallica หรือ Black Album ที่มีการเปลี่ยนแปลง ไอเดียความสร้างสรรค์ใหม่ๆ ตามที่ได้กล่าวมาไม่ว่าจะเป็น เพลงบัลลาดแบบเต็มเพลง มีการนำเสียงออร์เคสตร้าเข้ามาใส่ นำเสียงซีตาร์เข้ามาใส่ มีการทำดนตรีแทรชให้ฟังละเมียดละไม
ขณะที่เสียงกีตาร์ที่เป็นหัวใจหลักของเพลงนั้น ในภาคริทึ่มแม้ยังคงฟังหนักแน่น แต่ก็เทียบไม่ได้กับชุดก่อนๆหน้านั้น ที่ทั้งหนัก ดิบ เร็ว หยาบ คือจะเน้นไปที่ลูกริฟฟ์ที่เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าความเร็ว ดิบ เถื่อน ส่วนภาคโซโลนั้น บักเคิร์ทเน้นลูกนิ้วที่เคลียร์ ชัดเจน เมโลดี้ฟังเป็นเรื่องเป็นราว มีวรรคตอน ให้ความสำคัญกับอารมณ์เพลงเป็นหลักมากกว่าชุดก่อนๆ
ด้านเสียงกลองนั้นก็ลดดีกรีความหนัก เร็ว มาเป็นการคุมจังหวะที่แม่นยำ มีลูกเล่น และฟังดูเท่ เก๋า ในหลายๆเพลง ส่วนเสียงเบสของเจสันนั้น เล่นกลืนไปกลับบทเพลง ฟังไม่โดดเด่นเท่าสมัย “คลิฟฟ์ เบอร์ตัน”(Cliff Burton) มือเบสคนแรกของวงผู้ลาลับก่อนวัยอันควร ซึ่งแฟนเพลงจำนวนมากไปเคยลืมเขา
อย่างไรก็ดี Black Album ชุดนี้ เป็นผลงานเพลงที่ได้ชื่อว่าเบาที่สุดของเมทัลลิก้า เพราะเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างจากสปีด/แทรช มาเป็นเฮฟวี่เมทัลที่หนักหน่วง(แต่เป็นแทรชที่เบาหวิว) ซึ่งนี่ย่อมไม่เป็นที่ถูกใจแฟนเพลงจำนวนหนึ่งที่ยังคงฝังใจอยู่กับความหนักกะโหลกของเมทัลลิก้านับจากชุดแรกถึงชุด ...And Justice for All แต่งานเพลงชุดนี้กลับได้แฟนเพลงกลุ่มใหม่เข้ามามากมาย เป็นการเปิดโลกของดนตรีหนักกะโหลกเข้าไปสู่ดนตรีกระแสหลัก หลายๆคนรู้จักเมทัลลิก้าจากอัลบั้มนี้และต่อยอดย้อนกลับไปฟังอัลบั้มชุดก่อนๆ
Black Album เป็นผลงานเพลงที่ฟังติดหูง่ายที่สุดของเมทัลลิก้า และฟังป็อบที่สุดโดยมีเพลงดังๆ ได้แก่ “Enter Sandman”, “Sad But True”, “The Unforgiven”, “Nothing Else Matters”, “Wherever I May Room” และ “My Friend Of Misery” ซึ่งด้วยความลงตัวในหลายๆด้าน โดยเฉพาะความเป็นงานพาณิชย์ศิลป์ชิ้นเยี่ยมทำให้อัลบั้มชุดนี้สามารถขึ้นไปคว้าอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 มาได้ นับเป็นวงแทรชเมทัลวงแรกที่ทำได้ นอกจากนี้อัลบั้ม Metallica ยังโด่งดังทะยานติดลมบนเป็นหนึ่งในอัลบั้มดาวค้างฟ้าแห่งวงการเพลงร็อก ที่วันนี้ทำยอดขายไปกว่า 16 ล้านก็อปปี้ในอเมริกา และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในรอบ 20 ปี
นับได้ว่าอัลบั้ม Metallica หรือ Black Album เป็นอัลบั้มที่(ดนตรี)เบาสุด แต่ดังสุดๆของเมทัลลิก้า ซึ่งถูกจารึกไว้เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มในตำนานอันสุดคลาสสิกแห่งยุทธจักรวงการเพลงร็อก
****************************************
คลิกฟังเพลง Enter Sandman
คลิกฟังเพลง The Unforgiven
...เบาไปเพ่,เบาไปเว้ย!,เบาไปโว้ย!,เบาว่ะ บักหำเจมส์...
นี่คือคำสบถบ่นก่นด่าของแฟนเพลงจำนวนหนึ่งผู้นิยมความหนักกะโหลกเป็นสรณะ หลังวง“เมทัลลิก้า”(Metallica)ยอดวงสปีด/แทรช เมทัล อันดับหนึ่ง ทำคลอดอัลบั้มออกมาในชื่อเดียวกับชื่อวง คือ Metallica
แต่ประทานโทษ!?! หลังอัลบั้มชุดนี้ออกมาโลดแล่นในยุทธจักรดนตรีได้ไม่นาน มันก็ได้ฮอตฮิตโด่งดังทะยานค้างฟ้ามาจนถึงทุกวันนี้ นับเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดและโด่งดังที่สุดของเมทัลลิก้า อีกทั้งยังถือเป็นอีกหนึ่งในอัลบั้มสุดคลาสสิกของเจ้าพ่อแทรชวงนี้
โดยหลังจากวงเมทัลลิก้าออกสู๋วงการเพลงด้วยการสั่งสมชื่อเสียงบารมี นับจากอัลบั้มแรก “Kill 'Em All” (1983) ตามต่อด้วย “Ride the Lightning” (1984) และ “Master of Puppets”(1986) ที่ดีกรีชื่อเสียงความโด่งดังค่อยๆทวีขึ้นตามลำดับ จนสามารถทะยานขึ้นจากวงใต้ดินมาเป็นวงกระแสหลักในอัลบั้มที่ 4 “...And Justice for All” (1988)
จากนั้นวงเมทัลลิก้าที่กำลังฮอตสุดๆกับการถูกยกย่องให้เป็นวงสปีด/แทรช เมทัล อันดับหนึ่งแห่งยุค ได้ทิ้งช่วงจากการออกสตูดิโออัลบั้มไปประมาณ 3 ปี ก่อนกลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มชุดที่ 5 ที่ใช้ชื่อกับวงคือ “Metallica”
อัลบั้มชุด Metallica ฉีกแนวเมทัลลิก้าจากชุดที่ผ่านๆมา ด้วยหน้าปกสีดำมืดมีตัวอักษรชื่อวงพาดเฉียงๆ กับรูปงูขดตัวหรือ“งูสปริง” ชูหัวเตรียมฉกอยู่มุมขวาล่าง ทำให้มีการเรียกขานอัลบั้มชุดนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า “Black Album” ที่วันนี้ความเรียบง่ายของปกได้กลายเป็นความขลังและคลาสสิกไปแล้ว
ใน Black Album ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ตำแหน่งโปรดิวเซอร์ ที่พวกเขาเปลี่ยนจาก “Flemming RasmussenW ที่ได้เคยสร้างแนวทางเฉพาะตัวไว้ในอัลบั้ม Ride the Lightning และ Master of Puppets มาเป็น “Bob Rock” อีกหนึ่งยอดโปรดิวเซอร์มือทองแห่งวงการเพลง ที่ฝากฝีไม้ลายมือไว้กับศิลปินชื่อดังมากมาย นอกจากเมทัลลิก้าแล้วก็ยังมี อาทิ “David Lee Roth”, “The Cult”, “Mötley Crüe”, “Bon Jovi”, “Bryan Adams”, “Michael Bublé” และ “The Offspring” เป็นต้น
อัลบั้มปกดำ Black Album ประกอบด้วย สมาชิก 4 พะหน่อ ได้แก่ “เจมส์ เฮทฟิลด์”(James Hetfield) - แหกปากร้องนำ ริทึ่มกีตาร์, “ลาร์ส อุลริช”(Lars Ulrich) - หวดฟาดกระหน่ำกลอง, “เคิร์ก แฮมเม็ตต์”(Kirk Hammett) -โซโล ขยี้กีตาร์ ร้องประสาน และ “เจสัน นิวสเตด” (Jason Newsted) ตะปบเบส โดยเจมส์และลาร์สได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการโปรดิวซ์กับบ็อบ ร็อกด้วย
Black Album มีทั้งหมด 12 เพลง นำโดย “Enter Sandman” อินโทรขึ้นนำมาด้วยอะคูสติกกีตาร์ กลองกระทืบกระเดื่องตามมา ก่อนระเบิดความมันกับลูกริฟฟ์สุดเจ๋งตัวโน้ตเดียวกับอินโทร
Enter Sandman เพลงเปิดตัวอัลบั้ม ให้ซาวนด์ฟังแตกต่างไปจากเมทัลลิก้าใน 2 ชุดที่ผ่านมา คือมันเบาลงจากแทรช เป็นเฮฟวี่หนักๆ แต่ดนตรีนี่โคตรติดหูเลยพี่เจมส์ ลูกริฟฟ์ง่ายๆแต่ว่าโดนและติดหูชะงัดนัก ถือเป็นอีกหนึ่งลูกริฟฟ์ยอดฮิตอันดับต้นๆของโลก
เพลงนี้เสียงกีตาร์ของเคิร์ท จัดเต็มกับลูกเล่นวาห์ วาห์ ทั้งลูกสอด ตอด แทรก และลูกโซโลอันโดดเด่น อีกทั้งยังมีการใส่ไอเดียใหม่ๆเข้าไปกับ บทสวดมนต์ก่อนนอนให้เด็กน้อยพูดตาม ซึ่ง MV เพลงนี้ สามารถคว้ารางวัล เบสต์ วิดีโอ เมทัล ในปี 1992 ด้วย
ความหนักหน่วงในทางเฮฟวี่เมทัลเดินหน้ากันต่อไปกับ “Sad But True” เพลงเศร้าแต่จริง มาแบบหนักหน่วง คือมาในจังหวะหน่วงๆ แต่ดนตรีหนัก มีลูกริฟฟ์ฟังง่าย พูดในเรื่องการกระทำบาปบุญ ลูกโซโลของเคิร์ทมีทางของบลูส์ร็อกเข้ามาผสม เน้นวลี วรรคตอน ฟังเป็นเรื่องราว ไม่ใช่เร็วแบบน้ำไหลไฟดับแต่ฟังไม่รู้เรื่อง
“Holier Than Thou” มาเร่งเร้ากับเฮฟวี่มันๆชวนโยกหัว มีริฟฟ์กีตาร์กับริทึ่มหนักเล่นคุมไปตลอด กลองเพลงนี้อัดมันตามสไตล์พี่ลาร์ส ท่อนโซโลกีตาร์พี่เคิร์ทติดเอฟเฟควาห์ วาห์ มาจัดเต็มให้ฟังกันอีกแล้ว ก่อนที่เพลงจะจบหายไปแบบด้วนๆ
แล้วก็มาถึง “The Unforgiven” บทเพลงช้าในดวงใจของใครหลายๆคน นี่คือเพาเวอร์บัลลาดร็อกที่ฉีกแนวไปจากเพลงบัลลาดก่อนๆของเมทัลลิก้า ไม่ว่าจะเป็น “Fade To Black” ใน Ride the Lightning,“Welcome Home (Sanitarium)” ใน Master of Puppets หรือ One ใน “...And Justice for All” เพราะเดิมเพลงเพาเวอร์บัลลาดเหล่านั้นจะขึ้นมาช้าๆ ก่อนไปเพิ่มดีกรี อัดความเร็วความหนักหน่วงใส่เข้าไปตั้งแต่ช่วงกลาง และกระหน่ำหนักในช่วงทั้ง แต่ The Unforgiven เป็นบัลลาดทั้งเพลงที่ฟังติดหูง่ายและเพราะมาก
The Unforgiven ขึ้นต้นมาด้วยเสียงแตร ระฆัง กับกีตาร์ปิ๊กกิ้งหวานๆ มีเสียงสแนร์ตีประกอบบางๆ ก่อนนำส่งเข้าเพลงแบบทรงพลัง ใครที่เคยฟังเสียงสำรอกโหดๆของพี่เจมส์ เปลี่ยนมาฟังเสียงหวานๆของแกบ้างในท่อนแยก ถือเป็นสิ่งที่จะฟังกันเพียงไม่กี่เพลงเท่านั้น
และด้วยความสำเร็จโด่งดังของ The Unforgiven ทำให้มี The Unforgiven II และ The Unforgiven III ตามมาในชุด “Reload” (1997) และชุด “Death Magnetic” (2008)
กลับมาจัดหนักกันต่อกลับ “Wherever I May Roam” เพลงนี้ทำเก๋เปิดตัวมาด้วยเสียงซีตาร์(เครื่องดนตรีอินเดีย) ก่อนกระหน่ำริฟฟ์หนักๆเข้ามาในตัวโตเดียวกันอย่างมันสะใจในกลิ่นอารมณ์แขกผสมเมทัล
ส่วน“Don't Tread On Me” พอมีกลิ่นแทรชหน่วงๆเจืออยู่บ้าง เพราะภาคริทึ่มนั้นหนักหน่วงดีทีเดียว ขณะที่ “Through The Never” นั้นก็พอมีอารมณ์และทางของสปีดผสมอยู่ให้แฟนเก่าได้หายคิดถึงบ้าง กับดนตรีเร็วๆ มันๆ ริทึ่มกระหน่ำริฟฟ์กระจาย
จากนั้นอารมณ์เพลงถูกดึงกลับมาอีกครั้งกับ “Nothing Else Matters” ที่ขึ้นอินโทรมาด้วยอะคูสติกกีตาร์ทางสวยๆ ในเพลงมีการนำไลน์สตริงของวงออร์เคสตร้ามาใส่ ถือเป็นสีสันใหม่ของวงมหาโหดวงนี้
Nothing Else Matters เป็นอีกหนึ่งเพลงบัลลาดร็อกเพราะๆอันสุดคลาสสิกในอัลบั้มปกดำเคียงคู่กับ The Unforgiven ที่คอเพลงร็อกทั่วโลกจดจำได้ขึ้นสมอง
กลับมาหนักกะโหลกกันอีกครั้งกับ “Of Wolf And Man” แล้วต่อด้วย “The God That Failed” ที่ลดดีกรีลงมาหน่อย
ส่วน “My Friend Of Misery” นี่ก็เป็นเพลงเด่นอีกเพลงหนึ่งของชุด เปิดโอกาสให้บักเจสัน มือเบสหน้าเปื่อยเดินเบสโชว์ในซาวนด์เครียดๆนำมาในช่วงอินโทร จากนั้นดนตรีจัดใส่กันมาในโทนซีเรียสมิวสิค ท่อนกลางพักอารมณ์กับโซโลเบส ต่อด้วยโซโลกีตาร์ที่ไม่เน้นความเร็วแต่เน้นในเมโลดี้เรื่องราวอารมณ์เพลง
จากนั้นเป็น “The Struggle Within” กลองสแนร์รัวขึ้นต้นมาอย่างกับวงโยธวาทิต ก่อนกระหน่ำความมันใส่กันไม่ยั้งปิดท้ายผลงานชุด Metallica อัลบั้มที่ชัดเจนในการฉีกหนีการทำเพลงจากกรอบเดิมๆของวงที่ผ่านมา
อัลบั้ม Metallica หรือ Black Album ที่มีการเปลี่ยนแปลง ไอเดียความสร้างสรรค์ใหม่ๆ ตามที่ได้กล่าวมาไม่ว่าจะเป็น เพลงบัลลาดแบบเต็มเพลง มีการนำเสียงออร์เคสตร้าเข้ามาใส่ นำเสียงซีตาร์เข้ามาใส่ มีการทำดนตรีแทรชให้ฟังละเมียดละไม
ขณะที่เสียงกีตาร์ที่เป็นหัวใจหลักของเพลงนั้น ในภาคริทึ่มแม้ยังคงฟังหนักแน่น แต่ก็เทียบไม่ได้กับชุดก่อนๆหน้านั้น ที่ทั้งหนัก ดิบ เร็ว หยาบ คือจะเน้นไปที่ลูกริฟฟ์ที่เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าความเร็ว ดิบ เถื่อน ส่วนภาคโซโลนั้น บักเคิร์ทเน้นลูกนิ้วที่เคลียร์ ชัดเจน เมโลดี้ฟังเป็นเรื่องเป็นราว มีวรรคตอน ให้ความสำคัญกับอารมณ์เพลงเป็นหลักมากกว่าชุดก่อนๆ
ด้านเสียงกลองนั้นก็ลดดีกรีความหนัก เร็ว มาเป็นการคุมจังหวะที่แม่นยำ มีลูกเล่น และฟังดูเท่ เก๋า ในหลายๆเพลง ส่วนเสียงเบสของเจสันนั้น เล่นกลืนไปกลับบทเพลง ฟังไม่โดดเด่นเท่าสมัย “คลิฟฟ์ เบอร์ตัน”(Cliff Burton) มือเบสคนแรกของวงผู้ลาลับก่อนวัยอันควร ซึ่งแฟนเพลงจำนวนมากไปเคยลืมเขา
อย่างไรก็ดี Black Album ชุดนี้ เป็นผลงานเพลงที่ได้ชื่อว่าเบาที่สุดของเมทัลลิก้า เพราะเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างจากสปีด/แทรช มาเป็นเฮฟวี่เมทัลที่หนักหน่วง(แต่เป็นแทรชที่เบาหวิว) ซึ่งนี่ย่อมไม่เป็นที่ถูกใจแฟนเพลงจำนวนหนึ่งที่ยังคงฝังใจอยู่กับความหนักกะโหลกของเมทัลลิก้านับจากชุดแรกถึงชุด ...And Justice for All แต่งานเพลงชุดนี้กลับได้แฟนเพลงกลุ่มใหม่เข้ามามากมาย เป็นการเปิดโลกของดนตรีหนักกะโหลกเข้าไปสู่ดนตรีกระแสหลัก หลายๆคนรู้จักเมทัลลิก้าจากอัลบั้มนี้และต่อยอดย้อนกลับไปฟังอัลบั้มชุดก่อนๆ
Black Album เป็นผลงานเพลงที่ฟังติดหูง่ายที่สุดของเมทัลลิก้า และฟังป็อบที่สุดโดยมีเพลงดังๆ ได้แก่ “Enter Sandman”, “Sad But True”, “The Unforgiven”, “Nothing Else Matters”, “Wherever I May Room” และ “My Friend Of Misery” ซึ่งด้วยความลงตัวในหลายๆด้าน โดยเฉพาะความเป็นงานพาณิชย์ศิลป์ชิ้นเยี่ยมทำให้อัลบั้มชุดนี้สามารถขึ้นไปคว้าอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 มาได้ นับเป็นวงแทรชเมทัลวงแรกที่ทำได้ นอกจากนี้อัลบั้ม Metallica ยังโด่งดังทะยานติดลมบนเป็นหนึ่งในอัลบั้มดาวค้างฟ้าแห่งวงการเพลงร็อก ที่วันนี้ทำยอดขายไปกว่า 16 ล้านก็อปปี้ในอเมริกา และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในรอบ 20 ปี
นับได้ว่าอัลบั้ม Metallica หรือ Black Album เป็นอัลบั้มที่(ดนตรี)เบาสุด แต่ดังสุดๆของเมทัลลิก้า ซึ่งถูกจารึกไว้เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มในตำนานอันสุดคลาสสิกแห่งยุทธจักรวงการเพลงร็อก
****************************************
คลิกฟังเพลง Enter Sandman
คลิกฟังเพลง The Unforgiven