xs
xsm
sm
md
lg

Warm Bodies : เหล้าเก่าในขวดใหม่

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


หลังจากหนังรักต่างเผ่าพันธุ์ ระหว่างคนกับแวมไพร์ อย่าง Twilight ออกมาตีตลาดและสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นหนังทำเงินมากที่สุดเรื่องหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า Warm Bodies ก็คือลูกหลานของหนังแนวนี้ที่เล่นกับความแตกต่างในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากแวมไพร์เป็นซอมบี้ และที่สำคัญ หนังเรื่องนี้ก็ถูกผลิตออกมาจากบริษัทผู้สร้างเดียวกันกับ Twilight นั่นเอง

ซอมบี้ก็เหมือนแวมไพร์ คือแต่ไหนแต่ไร มักจะถูกมองด้วยสายตาน่ากลัว แม้ว่ายุคก่อน Twilight มันจะพอมีหนังที่เล่ามุมดีๆ ของแวมไพร์มาแล้วบ้าง แต่มาชัดเจนที่สุดก็จากเรื่อง Twilight ตรงกันข้ามกับซอมบี้ซึ่งที่ผ่านมา เราแทบจะหาหนังที่เล่ามุมดีๆ ของผีตายซากพวกนี้ไม่ได้เลย อย่างมากที่สุด ก็ช่วง 4-5 ปีหลังที่กระแสของซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง The Walking Dead อาจจะเปลี่ยนโลกทัศน์ของคนดูให้รู้สึกกับซอมบี้แตกต่างไปบ้าง แต่ก็เป็นในแง่ของความสงสารเวทนา ซอมบี้ในซีรี่ส์ The Walking Dead นั้น อาจจะถูกฉาบเคลือบด้วยความคิดแบบเก่าๆ บ้าง เช่น พวกเขาก็ยังคงมีความน่ากลัว แต่ลึกลงไปกว่านั้นแล้ว พวกเขาคือผีตายซากที่น่าสงสารมากกว่าน่าหวาดหวั่น

แล้วมันจะเป็นอย่างไร ถ้าซอมบี้ที่น่ากลัว ถูกจัดวางตำแหน่งใหม่ ให้เป็นผู้มอบความโรแมนติกแก่มนุษย์?

Warm Bodies ออกสตาร์ทจากโจทย์ข้อนี้แล้วนำพาเราล่องลอยไปในความรู้สึกดีต่อซอมบี้ที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิดตามลำดับเรื่องราว พล็อตโดยย่อ บอกเล่าถึงวันหลังโลกล่มสลาย มนุษย์จำพวกหนึ่งกลายเป็นซอมบี้ และถูกกักบริเวณให้อยู่ในพื้นที่สนามบิน ในส่วนของเมืองที่ยังปลอดภัยจากวายร้ายซอมบี้ก็ตั้งกำแพงกั้นสูงตระหง่าน แยกเป็นสัดส่วน แต่จุดพลิกผันของสถานการณ์ก็มาถึง เมื่อทีมอาสาสมัครหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง ออกไปไล่ล่าซอมบี้ โดยมี “จูลี่” ลูกสาวของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ร่วมทีมไปด้วย และนั่นก็ทำให้เธอได้พบกับ “อาร์” ซอมบี้ที่รู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองแตกต่างจากซอมบี้ตัวอื่นๆ

ไม่ต้องบอกก็พอรู้ครับว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้ มันคือเงื่อนไขที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจะผลักให้จูลี่ไปพบกับเรื่องรักที่เหนือความคาดฝัน และหนังก็ทำให้เราเชื่อโดยสนิทใจในความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาการจาก “คนแปลกหน้า” ไปสู่การเป็นคนรัก

ในมุมนี้ ผมว่าหนังประสบความสำเร็จตามสมควรในแง่ที่ทำให้เรารู้สึกถึง “เรื่องรัก” ซึ่งอันที่จริง มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเรื่องรักระหว่างแวมไพร์เอ็ดเวิร์ดกับหญิงสาวอย่างเบลล่าแต่อย่างใด นั่นก็คือ เริ่มต้นจากความต่าง ค่อยๆ เรียนรู้กันและกัน และสุดท้ายก็ต้องฝ่าฟันกับอคติของคนใกล้ตัว ในกรณีของจูลี่ คนที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือพ่อของเธอที่ตั้งการ์ดไว้สูงชนิดที่แทบจะไม่ยอมลดตัวลงมาเรียนรู้อะไรทั้งสิ้น เหมือนกับกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน ตัดขาดโลกสองใบออกจากกัน

ถ้าไม่นับรวมฉากที่ซอมบี้หนุ่ม โซซัดโซเซกลับรัง หลังจากหญิงสาวคนรักทิ้งจาก แล้วในฉากดังกล่าว หนุ่มซอมบี้ยังเดินตากฝนเปียกปอน เหมือนหนังต้องการจะล้อเอ็มวีอกหักยุคก่อนอยู่กลายๆ ผมคิดว่าไวยากรณ์ของหนังที่เราเห็นใน Warm Bodies มันก็คือสูตรของหนังรักพื้นฐานที่เราได้เห็นมาแล้วในหนังรักเป็นจำนวนมาก ลองนึกถึง “รักต่างชนชั้น” หรือ “รักต่างฐานะ” มันก็มีเนิ่นนานกาเลแล้ว บ้านเราก็มี “แผลเก่า” ที่ลูกสาวเศรษฐีต้องต่อกรกับพ่อเพราะเรื่องรักที่ต่างฐานะ “ไอแซค มาเรียน” ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ ก่อนจะถูกนำมาทำเป็นหนัง ก็คงลึกซึ้งในเบสิกของเลิฟสตอรี่ดีพอ แล้วมองหาว่าจะนำ “เหล้าเก่า” ไปใส่ใน “ขวดใหม่” ได้อย่างไร ผลลัพธ์สุดท้าย ซอมบี้ก็กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างเลิฟสตอรี่นี้

กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้จะบอกว่าหนังไม่ดีนะครับ และผมก็รู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำว่าไอเดียของเขาแหวกดี หนังสามารถหยิบเอา “สารตั้งต้น” ซึ่งก็คือหลักการพื้นฐานของการทำหนังรักมาใส่สูทใหม่และทำให้มันดูน่าสนใจได้

อารมณ์ขันของหนังนั้น มีประมาณหนึ่ง โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า Warm Bodies ไม่ใช่หนังที่จะมากระตุกต่อมขำของใครให้ฮาก๊ากออกมาเหมือนหนังตลก (Joke) ทั่วไป แต่มันมี “อารมณ์ขัน” (Sense of Humor) ที่ทำให้เรารื่นรมย์ได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงหัวเราะมาก (ก็หัวเราะหึๆ นั่นล่ะครับ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทีของหนุ่มซอมบี้นั้นเรียกได้ว่าสร้างความรู้สึกขบขันได้เป็นอย่างดี

ผมชอบสัญลักษณ์อย่างหนึ่งซึ่งหนังใช้ แม้จะดูว่าเป็นการจงใจให้คิดไปสักนิด แต่เพื่อเป้าหมายทางเนื้อหา สิ่งนี้ต้องตอบโจทย์ให้ชัดเจน นั่นก็คือ “กำแพง” ที่กั้นขวางสถานที่สองแห่งไว้ เปรียบไปก็เหมือนกั้นโลกของซอมบี้กับคนของคนไว้คนละส่วน สัญลักษณ์ตัวนี้ทำหน้าที่ในการบอกกล่าวประเด็นที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นๆ เรื่อง ถ้าจูลี่เพียงแต่ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับ “กำแพง” หรือความคิดความเชื่อของตัวเอง เธอก็คงไม่ได้รับรู้ว่ามันยังมีเรื่องงดงามอยู่อีกฟากหนึ่งของกำแพง เช่นเดียวกับพ่อของเธอที่เชื่อมั่นอย่างสุดๆ ว่าซอมบี้ย่อมเป็นซอมบี้อยู่วันยันค่ำ ผีตายซากย่อมมิอาจรู้สึกรู้สากับสิ่งใดแล้วนอกจากการกินเลือดกินเนื้อ

ผมอาจจะไม่ค่อยเชื่อในกระบวนการที่ซอมบี้จะเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน หนังก็ไม่ได้ให้ข้อพิสูจน์ในเชิงหลักการอะไรเลย คือจริงๆ หนังสามารถจะโม้ได้ แต่หนังไม่ทำ โอเค ผมให้เครดิตในเรื่องจริยธรรมไปก็แล้วกัน ก็ดีกว่านักการเมืองหรือนักเลือกตั้งของบางประเทศที่อวดอ้างนักหนาว่าทำดีทำได้ แต่สุดท้าย ไม่เห็นแม้แต่เงาหัว

หนังเลือกที่จะข้ามข้อพิสูจน์นี้ไปแล้วตบหมัดฮุกแบบโรแมนติกเกี่ยวกับเรื่องราวความรัก และมันเป็นหมัดฮุกที่ประสบความสำเร็จอย่างปฏิเสธไม่ได้

“โลกเปลี่ยนแปลงได้เพราะความรัก” เพียงเท่านี้ก็เพิ่มน้ำหนักให้กับหนังได้ไม่รู้กี่กิโลแล้ว บางที คนเราก็ไม่ได้ต้องการที่จะรู้ความจริงอะไรหรอก แต่วาทกรรมสวยๆ งามๆ ที่ทำให้หัวใจเรารู้สึกมีความสุข เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่อย่างนั้น เรื่องแบบ Twilight มันคงขายไม่ออก และเรื่องแบบ Warm Bodies ก็คงขายไม่ได้ จริงไหม?



ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม

เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก






กำลังโหลดความคิดเห็น