สมาคมรัฐศาสตร์ ม.เกษตรฯ เผยฉายาสถาบันทางการเมืองปี 55 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ “ละครคนจน” อ้างแสดงสมบทบาท ถูกอกถูกใจรากหญ้า เพื่อไทย “แดงป๊อด” ไม่ผลักดันตามที่สัญญา นปช.ไว้ ส่วน ปชป.“หล่อติดหล่ม” อ้างติดอยู่กับความขัดแย้ง วนเวียนเรื่องสลายแดง-ชายชุดดำ-ทักษิณ กองทัพเจอ “เล่นเพื่อน” สร้างความปั่นป่วน ยก “มีวันนี้เพราะพี่ให้” วาทะแห่งปี สะท้อนระบบอุปถัมภ์
วันนี้ (16 ธ.ค.) สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แถลงผลการจัดกิจกรรมตั้งฉายาสถาบันทางการเมืองประจำปี 2555 จำนวน 13 ฉายา และ 1 วาทกรรมแห่งปี รัฐบาล ได้ฉายา “ละครคนจน” เนื่องจากทุกนโยบายของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ล้วนพยายามสร้างความพึงพอใจให้คนจนที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขึ้นค่าแรง จำนำข้าว พักหนี้เกษตรกร และขจัดความยากจน ซึ่งการแสดงที่ต้องสมบทบาท และถูกอกถูกใจประชาชนที่เป็นผู้ชม ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจ หรือการหวังผลทางการเมืองก็ตาม
รัฐสภา ได้ฉายา “ซอมบี้สไตล์” เพราะสมาชิกรัฐสภาปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากพรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกเกินกึ่งหนึ่ง ที่สามารถคุมเสียงในสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงไม่ได้มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง มุ่งแต่การทำงานรับใช้ตามที่เจ้านายต้องการ ซึ่งเป็นสไตล์การทำงานของรัฐบาลในรอบปีที่ผ่านมา
พรรคเพื่อไทย ได้ฉายา “แดงป๊อด” เนื่องจากยุทธศาสตร์ 2 ขา ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.แม้คนเสื้อแดงพยายามให้การสนับสนุนจนเป็นแกนนำฝ่ายบริหารอีกครั้ง แต่กลับเกิดอาการ “ป๊อด” เพราะนโยบายจำนวนไม่น้อยที่พรรคเพื่อไทยเคยสัญญาไว้ ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือการช่วยเหลือนักโทษการเมือง กลับไม่ได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง จนทำให้ผู้สนับสนุนเกิดความคลางแคลงใจต่อท่าทีที่เกิดขึ้นของพรรคเพื่อไทย และเจ้าของพรรคอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
พรรคประชาธิปัตย์ ได้ฉายา “หล่อติดหล่ม” โดยมองว่า ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นโยบายและโครงการต่างๆ ได้เดินหน้าไปตามสมควร แต่พรรคประชาธิปัตย์ กลับยังติดอยู่กับความขัดแย้ง จากการเปิดเวทีประชาชนเดินหน้าผ่าความจริง ที่ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องการสลายการชุมนุม ชายชุดดำ และ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสำคัญ แม้บางภาคส่วนในพรรคจะพยายามฉุดขึ้นจากหล่ม แต่คะแนนนิยมของพรรคก็ยังคงถูกทิ้งห่าง
ส่วนฉายา พรรคภูมิใจไทย คือ “แฟนเก็บ” เนื่องจากปัจจุบันพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างพรรคภูมิใจไทยแสดงความประสงค์ชัดเจนว่าอยากเข้าร่วมรัฐบาล และคอยให้การสนับสนุนอย่างออกนอกหน้าจากการโหวตไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่ได้รับไฟเขียวให้เข้าร่วมรัฐบาล
ขณะที่ พรรครักประเทศไทย ก็ต้องครองฉายา “กิ๊กเก่า” ไป เพราะการตรวจสอบและแฉอย่างเข้มข้นของพรรครักประเทศไทย ที่เข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายค้าน นับเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับสังคมการเมืองไทย ทำให้การตอบรับของประชาชนช่วงแรกมาแรงเป็นอันดับต้นๆ แต่มาวันนี้การคะแนนนิยมและตอบรับกลับเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะพยายามตรวจสอบและแฉบ่อนการพนัน ดังเช่นเดิมก็ตาม
สถาบันตุลาการ ได้รับฉายา “ตบเด็ก” เนื่องจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่ามีอำนาจรับคำร้องพิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา 68 เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2555 เป็นการวินิจฉัยขัดกับหลักเดิม และวางหลักใหม่อันไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติ ทำให้อำนาจตุลาการสามารถขยายขอบเขตอำนาจของตนเข้าครอบงำอำนาจอื่นๆ จนก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างไร้ขีดจำกัด ถือเป็นการทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจ
ส่วนองค์กรอิสระ ได้รับฉายา “ไส้ติ่งแตก” เนื่องจากบทบาทองค์กรอิสระเหมือนไส้ติ่ง ที่ร่างกายจำต้องมี แต่ไม่มีประโยชน์และยังอาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดได้อีกด้วย เสมือนกับช่วงปีที่ผ่านมา องค์กรอิสระ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาต (ป.ป.ช.) ก็ทำตัวเป็น “ไส้ติ่งแตก” สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับการบริหารประเทศ
ขณะที่ กองทัพ ได้ฉายา “เล่นเพื่อน” โดยมองว่า การกลับมามีอำนาจอีกครั้งของอดีตนายกรัฐมนตรี ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับกองทัพ โดยเฉพาะการแต่งตั้งให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อจัดแถวทหาร ทวงคืนอำนาจความเป็นธรรมให้กับข้าราชการทหารเพื่อนร่วมรุ่นของอดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงการทำลายควมชอบธรรมการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 ด้วยการให้ พล.อ.ธนู ศรียากูล นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 5 ออกมาเคลื่อนไหวโดยคนกองทัพด้วยกันเอง จึงทำให้การเคลื่อนไหวดังกล่าวกลายเป็นการ “เล่นเพื่อน” ไปเสียแล้ว
ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับฉายา “โผอิมพอร์ต” เนื่องจากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ผ่านมาเต็มไปด้วยการวิ่งเต้น และแทบทุกตำแหน่งล้วนได้รับไฟเขียวจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ดูไบ ก่อนจะนำกลับมาอนุมัติแต่งตั้งโยกย้ายภายในประเทศ
ขณะที่วาทะแห่งปี ได้แก่ “มีวันนี้ เพราะพี่ให้” ของ พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพราะคำกล่าวไม่เพียงสามารถสะท้อนวัฒนธรรมองค์กร ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังหมายถึงวัฒนธรรม “ระบบอุปถัมภ์” ของสังคมไทยได้กระชับและชัดเจนทุกตารางนิ้ว
นอกจากนี้ สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังได้ตั้งฉายาให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ ในสภาอีก อาทิ พรรคมาตุภูมิ ได้รับฉายา “แอ๊บแม้ว” จากการที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.เสนอออก พ.ร.บ.ปรองดอง เจตนาล้างผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และพรรคพลังชล ได้รับฉายาว่า “อะไรก็ยอม” เพราะต้องยอมพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ทุกกรณี เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคตนเองเอาไว้ ส่วนพรรครักษ์สันติ, พรรคมหาชน และพรรคประชาธิปไตยใหม่ ได้รับฉายา “ฝุ่นสภา” เนื่องจากไม่มีบทบาทอะไรในรัฐสภาเลย เป็นต้น