"ผมมาถึงวันนี้ได้นี่เป็นอะไรที่ฟลุคมาก ไม่ใช่ว่าผมจะมีเส้นมีสายอะไร มันคือดวงจริงๆ..."
เสียงบอกเล่าจากหนุ่มหน้าใสชื่อน่ากิน "แกงส้ม ธนทัต ชัยอรรถ" หนึ่งในนักร้องตระกูล "เดอะสตาร์" รุ่นที่ 8 ถึงการได้เข้ามาสู่ถนนสายบันเทิงของตนเอง
หากเป็นลูกตาสีตาสาทั่วๆ ไปก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรกับคำว่า "ฟลุคมาก" ของเจ้าตัว แต่ถ้าบอกว่าเขาคือทายาทของ “หนู สุรศักดิ์ ชัยอรรถ” อดีตศิลปิน นักแสดงและผู้กำกับละคร ก็ต้องบอกว่าน่าประหลาดใจพอสมควรทีเดียวกับคำพูดดังกล่าว
"ก็ลองคิดดูว่าผมคือหนึ่งในหนึ่งหมื่นคนที่มาต่อแถวที่ภาคกลาง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าไม่มีดวง มันไม่มีทางเลย แต่มันอาจจะเสริมๆ กันแหละครับ ถ้าผมไม่มีความสามารถด้วยดวงก็คงไม่หนุน ผมเองดูเดอะสตาร์มาเรื่อยๆ คุณแม่อยากให้มามาก เราก็มีความคิดว่าเราอยากจะทำเพลง"
"มีช่วงนึงว่าอยากเป็นศิลปินมาก เพราะเราอยากจะทำเพลงในแนวที่ตัวเองรัก ก็เริ่มค้นหาตัวเอง ถ้าวันนึงได้เป็นนักร้องที่ไหนก็ตามแล้วไม่ได้ทำในเพลงที่ตัวเองรักก็ไม่รู้ว่าจะเป็นศิลปินไปทำไม ก็เลยทำเพลงลงยูทูบเพราะนี่คือสิ่งที่ตัวเองรักมาก ตอนนั้นก็เตรียมตัวอย่างหนัก เป็นอะไรที่สนุกมาก ทั้งทำเพลงเอง แต่งเอง ร้องเอง ถ่ายลงยูทูบเอง ก็มีแฟนคลับอยู่หลักหมื่นได้ แค่นั้นเป็นอะไรที่แฮปปี้แล้ว”
จริงจังถึงขนาดอยากทำเอง-ขายเอง
“ตอนนี้เก็บตังค์ไว้แล้วก้อนนึง คิดว่าจะทำเพลงขายเองเล่นๆ กับเพื่อน ดังไม่ดังไม่รู้แต่ผมจริงจังและเตรียมการไว้หมดแล้ว แล้วแม่ก็มาเอ่ยว่าอยากให้มาลองเดอะสตาร์ เราก็เลยกลับมาฉุกคิดว่าเราเคยฝันไว้ เราก็เลยเห็นภาพในความฝันนั้น ก็บอกแม่ไปว่าถ้ามามาแน่ แต่ขอมาแบบเป็นตัวของตัวเอง ก็พรีเซนต์ความเป็นตัวเอง ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียใจเพราะเป็นตัวเอง ก็โชคดีมากที่ผ่านเข้ารอบ แล้วมันก็เป็นโชคดีที่เป็นตัวเองเพราะเราเข้ามาแล้วทุกคนก็ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ก็ขอบคุณมากๆ เลยที่เปิดโอกาสให้ผมเป็นตัวเองเต็มที่"
จากหนุ่มสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก็กลายมาเป็นนักศึกษาของสถาบัน SAE ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ในสาขา Sound Engineering
"เรียนสถาปัตย์ฯ 1 ปีกับอีก 1 เทอม จากนั้นก็ดรอปไว้เพราะติดเดอะสตาร์ แต่ที่นี้ทางมหาวิทยาลัยเขาให้ดรอปได้แค่1ปี ซึ่งตอนนี้เราก็ยังมีงานอยู่เยอะแยอะมากมาย ก็เลยได้ลองศึกษาด้านซาวนด์ที่เราเองก็สนใจและทำมานานแล้ว ก็เลยตัดสินใจมาเรียนทางด้านนี้เลยดีกว่า เพราะที่ผ่านมาเราก็เรียนรู้ด้วยตัวเองจากยูทูบตลอด ก็เลยเบนเข็มมาด้านนี้"
"จริงๆ ผมเองอยากเรียนด้านนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในการเรียนค่อนข้างสูงมาก ก็ไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว ก็เลยพับความฝันนี้ไปแล้วไปสอบสถาปัตย์ฯ ตอนนี้เราพอจะมีงานหาเงินได้ด้วยตัวเองแล้ว ก็เลยกลับมาสนใจ ก็เริ่มเก็บเงินเรียนเอง ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของเรา แต่ไม่ใช่ว่าสถาปัตย์ฯ ไม่ใช่ความฝันของเรานะ สถาปัตย์ฯ เองก็เป็นอีกหนึ่งความฝันเหมือนกัน แต่เป็นความฝันที่รองลงมาจากการเป็นนักร้อง"
"ด้วยตอนที่จะสอบผมเองก็รู้สึกลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเอายังไงดี แต่สุดท้ายก็ได้กลับไปเรียนในสิ่งที่ชอบมากที่สุด ถามว่าเสียดายเวลาที่เสียไปไหม ก็ไม่นะเพราะการเรียนสถาปัตย์ฯ ก็สามารถนำกลับมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานตอนนี้ของผมได้ ช่วยเรื่องกระบวนการคิด การใช้ชีวิต การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ให้เราคิดมุมมองในแบบที่คนอื่นเขาไม่มองกัน โดยเฉพาะเรื่องของการออกแบบต่างๆ นี่เราได้ใช้มากจริงๆ ก็เรียกว่าไม่เสียหลาย"
อีกหนึ่งโลกที่ชื่อว่า "เดอะสตาร์"
"การได้เป็นเดอะสตาร์มันเป็นอะไรที่เกินกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมากด้วยตลอดเวลาผมไม่เคยคิดว่าจะได้เข้ามาอยู่ตรงนี้มาก่อน ถึงแม้เราจะมีความฝันแต่เราก็ยังใช้ชีวิตชิลล์ตามแบบของเราไป ช่วงเวลาตั้งแต่เข้าประกวดมันเร็วมาก จนตอนนี้ผมเองยังรู้สึกงงๆ อยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม จนผมลืมไปว่าตัวเองตอนนี้อายุแค่ 20 ปี ในหัวผมมีแต่เรื่องของวันนี้และวันข้างหน้า ก็คิดว่าในเมื่อเรามีโอกาสเราก็ทำไป ในเมื่อโอกาสมันมาแล้วก็อยากจะสู้ไปกับมันให้ถึงที่สุด แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องดังถึงระดับซูเปอร์สตาร์ แค่คนจำเพลงผมได้และชอบเพลงของผมแค่นั้นก็คือความสุขแล้วครับ"
"การได้มายืนอยู่ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่พิเศษแล้วเพราะผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก คนอาจจะมองว่ามันเร็วไป ผมอาจจะสูญเสียช่วงเวลาของวัยรุ่น แต่ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ตอนเราอยู่ในบ้านเดอะสตาร์ เป็นระยะเวลาที่ยาวมาก และต้องตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค ต้องอยู่กับตัวเองและโฟกัสกับการร้องเพลง จากเด็กที่ชอบเล่นโซเชียลฯ ก็เลิกเล่นหมด จนถึงตอนนี้แม้จะออกมาจากบ้านแล้วก็เลิกเล่นไปโดยปริยาย ผมไม่มีเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ชีวิตตอนนี้มีแต่งาน"
"การได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เราต้องการอยากจะอยู่ เจอคนพูดจาภาษาเดียวกัน ทุกอย่างมันเลยแฮปปี้ไม่ได้รู้สึกว่าผมสูญเสียอะไรไป แม้เวลาส่วนตัวของผมจะเหลืออยู่น้อยมากถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ด้วยแต่ก่อนเองผมเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเที่ยวเล่นสนุกสนานอะไรอยู่แล้ว ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันว่าจะขาดหายจากเพื่อนๆ ไปแต่กลับกลายเป็นว่ามาอยู่ตรงนี้ได้เจอเพื่อนมากกว่าเก่าและมีเพื่อนมากกว่าเดิม อย่างที่บอกเหมือนมาเจอคนพูดภาษาเดียวกัน ทำให้เรามีคอนเนกชั่นมากขึ้น ได้คุยที่เราชอบเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรี แนวเพลง เสื้อผ้าต่างๆ เป็นอะไรที่ดีมาก ทำอะไรก็สนุกไปหมด เหมือนชีวิตมาถูกทาง"
ขอแค่คนรู้จักไม่จำเป็นต้องเป็นระดับซูเปอร์สตาร์
“ความสำเร็จของผมมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าผมจะต้องดังมาก แต่ผมตีความสำเร็จของผมว่าเรามีอะไรและได้มอบอะไรให้กับคนฟังมากกว่า สำหรับการทำงานที่หวังอย่างเดียวคือหาอะไรใหม่ๆ เข้ามาในวงการเพลง อย่างแนวเพลงของผมคือฮิพฮอพอาร์แอนด์บี ผมก็อยากให้เพลงแนวนี้ในบ้านเราพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดแบบนั้นมากกว่า ไม่ได้มองว่าผมต้องดังเท่าพี่บี้(สุกฤษณ์ วิเศษแก้ว)หรือว่าอะไร ผมไม่มีความคิดอย่างนั้นเลย แค่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวงการเพลงแค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้วครับ"
มีไอดอลที่ชื่นชอบมั้ย?
"ส่วนไอดอลของผมสุดๆ เลยตอนนี้คือพีกอล์ฟ (พิชญะ นิธิไพศาลกุล) เขามีความหนักแน่นในแนวทางของเขา แล้วเขาก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูงมาก ผมฟังเพลงเขาแล้วรู้สึกว่าเขาทำเพลงแล้วคนเมืองนอกมองกลับมาเขาจะชื่นชม เขาสามารถทำเพลงได้ถึงคนเมืองนอกจริงๆ ก็เลยชื่นชอบเขา และเป็นคนสำคัญมากๆ อีกคนนึงที่เป็นแรงผลักดันให้กับผม พอเข้าวงการมาก็ดีใจที่มีโอกาสได้เจอพี่เขา เจอกันเราก็จะขอคำปรึกษาเรื่องเพลง เขาพร้อมที่จะให้วิชากับผม ซึ่งเป็นอะไรที่ผมประทับใจมากที่เขาแชร์สิ่งที่เขามีให้กับเรา ผมอยากจะทำให้ได้เหมือนเขา"
ได้เล่นละครด้วย รู้สึกอย่างไรบ้าง?
"อย่างละครเองก็ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะเราไม่เคยได้สัมผัสตรงนี้มาก่อน พอได้มาลองก็สนุกดีครับ ด้วยบ่วงรักเป็นละครดราม่าเข้มข้นทำให้เรายิ่งต้องเตรียมตัวหนัก ก็เรียกว่าเครียดครับ เครียดนี่ไม่ได้กลัวกระแสคนมองว่าจะดีหรือไม่ดี แต่เครียดที่เราอยากทำให้มันดีมากกว่า บางอย่างเราไม่เข้าใจก็จะรู้สึกว่าทำไมเราทำไม่ได้ กลายเป็นกดดันตัวเอง คนรอบข้างเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่เราเองที่กลัวว่าเราจะทำไม่ได้ดีแล้วเป็นภาระคนอื่น ก็จะรู้สึกตลอดเวลาว่าทำไมเราทำไม่ได้"
"พอได้ลองแล้วก็เป็นงานที่สนุกนะ เป็นอีกหนึ่งงานที่รู้สึกชอบ เพราะละครมันสอนและให้อะไรกับเราเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคนอดทนหรือการทำงานร่วมกับคนอื่น ที่สำคัญเลยคือมันคือทักษะใหม่ที่ได้เรียนรู้และยังต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ กับฟีดแบกจากละครก็ถือว่าดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ด้วยความที่ผมอาจจะเป็นคนไม่ค่อยคาดหวังว่ามันจะต้องออกมายังไงดีเลิศเพอร์เฟ็กต์ในสายตาคนอื่น ผมจะอยู่กับตัวเองมากกว่าว่าเราทำดีที่สุดแล้วรึยัง ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีครับเหมือนเป็นอีกหนึ่งออปชั่นเสริมที่จะช่วยสนับสนุนงานเพลงของผม เพราะพอเล่นละครแล้วแฟนคลับเพิ่มขึ้นเยอะเหมือนกัน"
ตอนนี้เดอะสตาร์ 9 มาแล้ว กลัวมั้ยว่าจะหมดยุคของเราแล้ว?
“ผมไม่กลัวคำว่ากระแสลูกใหม่นะ ตรงกันข้ามมันทำให้เราได้มองย้อนกลับไปมากกว่า ณ จุดที่เราเคยผ่านมาแล้ว น้องเขาก็จะมาในจุดที่เราเคยอยู่ มันทำให้เราฉุกคิดได้ว่านี่แหละมันคือการเริ่มต้น เราเข้ามาก็ต้องมีคนเข้ามาแทนที่เรา เราจะทำยังไงให้เรายังอยู่ได้โดยที่เราต้องพยายามให้เราอยู่ในกระแสตลอดเวลา แต่อยู่ได้ด้วยผลงานของเรามากกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องขอบคุณครอบครัวที่คอยสนับสนุนผมในเรื่องของดนตรีมาตั้งแต่เล็กจนโต ซึ่งนั่นเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ผมค้นพบตัวเองและหาเป้าหมายได้เร็ว”
ให้คะแนนตนเอง 4 เต็ม 10
“ถ้าให้คะแนนความสำเร็จของตัวเองที่ผ่านมา ให้ 4 เต็ม 10 อย่างที่บอกการได้ตำแหน่งเดอะสตาร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น มันยังไม่ใช่สิ่งที่เราประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตแล้ว ใครๆ ก็จะพูดเสมอว่าการเข้ามามันแค่คือการเริ่มต้นไม่ใช่ว่าเราจะประสบความสำเร็จแล้ว หลังจากนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่เราจะต้องมุ่งมั่นตั้งใจกับมันยิ่งกว่า...ผมเองอาจจะยังอยู่ในกระแสอยู่ ซึ่งตอนนี้ผมมีหน้าที่ว่าจะทำยังไงให้คนจำผลงานของผมไปเรื่อยๆ แม้จะมีเดอะสตาร์คนใหม่เข้ามาแล้ว นี่ต่างหากคือภารกิจของผม
"แต่ผมคิดว่าผมโชคดีมากที่ผมค้นเจอเป้าหมายของตัวเองตั้งแต่อายุเท่านี้ มันทำให้ผมใช้ชีวิตถูกทาง การได้มาอยู่ตรงนี้มันเหมือนเป็นพื้นที่ของเรา ไม่ใช่ว่าเป็นดาราคนมีชื่อเสียงอะไรนะ แต่เป็นเพราะเราได้อยู่กับการทำเพลงซึ่งเป็นสิ่งที่เรารัก"
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศhttp://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |