xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายโฮ : การร้องไห้ส่วนบุคคล

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นที่พูดกันว่า ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร นั้น ถือเป็นกำลังหลักของค่ายหนังอย่าง M๓๙ จนถึงกับมีคำกล่าวว่าผลงานของเขาทุกเรื่อง คือ “หนังเลี้ยงค่าย” ในความหมายที่ว่า ขณะที่งานเรื่องอื่นๆ ซึ่งก่อเกิดขึ้นมาใต้ชายคาของ M๓๙ ล้วนแล้วแต่เก็บรายได้ในระดับที่เฉียดฉิวกับต้นทุนซึ่งบวกลบคุณหารแล้วก็แทบไม่คุ้มทุน แต่ทว่าหนังทุกเรื่องของยอร์ช ฤกษ์ชัย กลับทำเงินมากถึงขนาดที่ทำให้ M๓๙ มีทุนรอนที่จะเดินหน้าทำหนังต่อไปได้

คำกล่าวข้างต้น อาจไม่ใช่ความจริงเสียทีเดียว เพราะการเป็นค่ายหนังหรือสตูดิโอ ย่อมสามารถสร้างเงินได้หลายทาง แบบไม่ต้องรอคอยหนังของยอร์ช ฤกษ์ชัย แต่ถึงอย่างไร คำพูดดังกล่าวนั้นก็สะท้อนให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า ขึ้นชื่อว่ายอร์ช ฤกษ์ชัย แล้ว ดูเหมือนจะสะกดคำว่า “เจ๊ง” หรือ “ขาดทุน” ไม่เป็น เช่นเดียวกับหนังใหม่ล่าสุดของเขาอย่าง “คุณนายโฮ” ซึ่งเปิดตัวไปช่วงสี่วันแรกที่เข้าฉาย 25 ล้านบาท และคาดว่าปลายทาง 50 ล้านขึ้น คงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม

นอกจากจะเป็นหนังที่ออกฉายช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาจดจำสำหรับคนดูหนังไทยไปแล้วว่า สิ้นปีเมื่อไหร่ ยอร์ช-ฤกษ์ชัย เขาจะมา...“คุณนายโฮ” ยังคงลักษณะลายเซ็นแบบหนังของผู้กำกับอารมณ์ดีคนนี้อย่างครบถ้วน แม้จะไม่มีคำนิยามเก๋ๆ อย่าง “หนังคอมิดี้เลิฟเลิฟ” เหมือนเรื่อง “สุดเขต สเลดเป็ด” แต่คุณนายโฮก็มีมวลสารด้านความตลกที่ผสมผสานเข้ากันกับเรื่องราวความรักที่กรุ่นอายให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง ทั้งความรักในเชิงหนุ่มสาว และความรักความเข้าใจในมิติของครอบครัว ขณะเดียวกัน ก็ประสมประสานแบบบางๆ ในการสื่อสะท้อนมายาคติของคนในสังคมอันว่าด้วยเรื่องเพศ ทั้งในเรื่องเพศสัมพันธ์ (ต้องซิง-ไม่ซิง ก่อนแต่งงาน, ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว) และเพศสภาพ (ตัวเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง)

โลกในหนังของ “คุณนายโฮ” นั้น เหมือนโลกที่ขาดๆ เกินๆ บ้าๆ เพี้ยนๆ ตัวละครแต่ละตัวล้วนแต่มี “ปม” หรืออะไรบางอย่างซึ่งทำให้ดูแปลกแยกแตกต่างไปจากโลกที่เป็นอยู่หรือคนอื่นๆ “ค่อม ชวนชื่น” กับบทบาทพ่อของ “โฮ” คือตัวอย่างที่เด่นชัด เขาพลัดหลงอยู่กับอดีตจนลืมคิดถึงปัจจุบัน เข้มข้นกับการเป็นทหาร แต่เปราะบางในความเป็นพ่อ “นานา” หรือ “นาวา” (โก๊ะตี๋) เกิดมาเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง ต้องสู้รบปรบมือกับความคิดของพ่อที่มีเลือดทหารเต็มตัวและทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกชายเป็นกะเทย ส่วน “โฮ” (ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต) ก็เป็นคนร้องไห้ง่าย อะไรนิดอะไรหน่อยก็ปล่อยโฮ จนดูน่าฮามากกว่าโอ๋ ส่วนตัวละครอย่างเรย์ แม็คโดนัลด์ ก็ดูจะเป็นหนุ่มซึ่งพูดภาษาที่คนเขาไม่พูดกัน แต่กลับพูดภาษาเพลง หรือถ้อยคำที่น่าจะอยู่ในบทกวีมากกว่าคำที่พูดในชีวิตประจำวัน นั่นยังไม่ต้องพูดถึง “หมอด็อค” (ธีรเดช เมธาวราวุธ) ซึ่งดูเหมือนจะสมบูรณ์กว่าใครเพื่อนในแง่สติสตัง แต่สุดท้ายก็ไม่วายที่จะมีความคิดแปลกๆ และถ้อยคำเลี่ยนๆ หลุดออกมาในช่วงท้ายของหนัง (แน่นอน มันก็ฟังดูน่ารักนั่นแหละ)

โลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ขาดๆ เกินๆ และแถมดูขัดแย้งกันเหล่านี้ ก็คือโจทย์ของหนังที่ว่าจะทำการ “ตบ” อย่างไร เพื่อนำทุกคนไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งควรมีต่อกันและกัน ว่ากันอย่างถึงที่สุด ผมมองว่าจุดแข็งที่สุดของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่ความเป็นหนังครอบครัว และคนที่เป็นเสาหลักของเรื่อง ก็คือ “ค่อม ชวนชื่น” หัวหน้าครอบครัวที่รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียไปซะทุกด้าน ลูกเมียตายไป ไหนยังจะลูกชายมากลายเป็นกะเทยไปซะอีก ก็นับเป็นการสูญเสียในแบบของเขา และความรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็บั่นทอนความสุขที่ควรจะมีอย่างไม่ควรจะเป็น

ด้วยเหตุนี้ ผมถึงรู้สึกว่า การที่หน้าหนังพยายามจะขายความเป็นผู้หญิงเหลือเกินนั้น (ผ่านคำถามเก๋ๆ อย่าง “ทำไมผู้หญิงชอบร้องไห้”) หนังไม่ได้เดินไปในทิศทางที่ว่านั้นเลย และการร้องไห้ของ “โฮ” ก็เป็น “การร้องไห้ส่วนบุคคล” ไม่สามารถเชื่อมโยงไปสู่ผู้หญิงคนอื่นๆ หรืออธิบาย “การร้องไห้ของผู้หญิง” ในภาพกว้างๆ ได้เลย

แต่เอาล่ะ ไม่ว่าจะอย่างไร แม้ประเด็นของหนังจะไม่ได้เป็นไปในทิศทาง “ตามเป้า” แต่ก็ถือว่ายอร์ช-ฤกษ์ชัย “เอาอยู่” และเอาตัวรอดไปได้กับหนังเรื่องนี้ อาจจะดูว่าเนื้อหาเบาบาง แต่ก็พอสัมผัสจับต้องได้แบบไม่มีอะไรซับซ้อนหรือต้องตีความ ดูแล้วเข้าใจเลย เหมือนดูซิทคอมทั่วไป ที่ปมปัญหาของตัวละครถูกผูกขึ้นมา แล้วก็สามารถทำให้จบลงได้แบบไม่ยากเย็นอะไรนัก เป็นโลกในจินตนาการที่ตอบสนองต่อความคิดฝันของคนดูที่อยากจะให้อะไรๆ มันมีบทสรุปที่แฮปปี้และง่ายดายแบบนั้น

จะว่าไป ภาพรวมของหนังคุณนายโฮ ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากหนังเรื่องก่อนๆ ของยอร์ช-ฤกษ์ชัย จนอาจทำให้หลายคนรู้สึกแบบเดียวกับที่เคยรู้สึกต่อหนังของจีทีเอช นั่นก็คือ “อิ่มตัว” เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรใหม่ คุณนายโฮยังคงใช้ทักษะแบบที่เคยเห็น หนังมาพร้อมกับเนื้อหาบางๆ แต่เน้นความอารมณ์ดีและมีอารมณ์ขันเป็นหลัก ซึ่งในส่วนหลังนี้ ผมว่าหนังทำได้ไม่บกพร่อง มุกตลกหลากหลาย ที่มีตั้งแต่ยิ้มๆ อยู่ในใจ ยิ้มออกนอกหน้า ไปจนถึงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ในความรู้สึกของผม ถึงมองว่า ยอร์ช-ฤกษ์ชัย นั้น แม่นยำกับจังหวะจะโคนในการโยนมุกตลก และยิ่งได้ตลกขวัญใจมหาชน ทั้งโก๊ะตี๋ และค่อม ชวนชื่น มาเป็นตัวส่งผ่านมุกตลกด้วยแล้ว มันก็เหมือนมวลสารที่คูณด้วยกำลังสองเข้าไปอีก

อย่างไรก็ดี ขณะที่รู้สึกว่า ชมพู่-อารยา ร้องไห้เก่ง เหมือน “น้ำตาสั่งได้” และคงเก็บคะแนนจากคนดูไปตามสมควรกับการเล่นหนังเรื่องแรก ผมก็อยากจะมองต่อไปอีกว่าศักยภาพของยอร์ช ฤกษ์ชัย นั้นไปไกลกว่านี้ได้อีก คือแทนที่จะทำหนังเหมือน “ทำเล่นๆ” อย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งผมเชื่อว่าคนดูก็คงเริ่ม “อิ่มตัว” กันแล้วจริงๆ ยอร์ช ฤกษ์ชัย อาจจะต้องยกระดับปรับสเกลให้มันดูเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น พูดแบบนี้ ไม่ได้จะบอกให้ไปทำหนังซีเรียสแบบดราม่าเต็มพิกัด แต่ผมนึกถึงหนังอารมณ์ประมาณ Notting Hill หรือ When Harry Met Sally ผมเชื่อว่ายอร์ช ฤกษ์ชัย น่าจะทำได้ และมันจะกลายเป็นความคลาสสิก

แทนที่จะเป็นหนังที่ดูแล้วจบลงแค่ตรงนั้น สามสี่วันก็ลืมเลือน เหมือนที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้...





กำลังโหลดความคิดเห็น