นับจากสามวันที่หนังเข้าฉาย ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 28, ศุกร์ที่ 29 และเสาร์ที่ 30 ที่ผ่านมาอย่างไม่เป็นทางการหนังไทยเรื่อง "พี่มาก พระโขนง" จากค่าย "จีทีเอช" นั้นทำรายได้ไปแล้วกว่า 73 ล้านบาท
พิจารณาจากตัวเลขที่มีแต่เพิ่มขึ้นๆ (วันแรก 21 ล้านบาท วันที่สอง 23 ล้านบาท และวันที่สามได้มาอีก 29 ล้านบาท) สิ้นสุดวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคมนี้จำนวนตัวเลข 100 ล้านบาทก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกหรือว่ายากเย็นอะไรเลยครับ
ว่ากันถึงรายได้ที่ออกมานับตั้งแต่ที่ผมได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีการฉายให้สื่อมวลชนชมไปเมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างไร
"พี่มาก พระโขนง" อาจจะไม่ใช่ "หนังดี" ในความรู้สึกของใครหลายๆ คน หากแต่ในความรู้สึกของผมโจทย์ที่ตั้งไว้ว่าจะทำหนังเรื่องนี้โดยใช้ "ตลก" นำหน้านั้นถือเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย
การตีความใหม่ ทั้งการให้ "พ่อมาก" ของเรากลายเป็น "พี่มาร์ค" การเพิ่มตัวละครผองเพื่อนอย่าง "เเดอะ แก๊งค์" เข้ามาเป็นตัวเดินเรื่องหลัก เหล่านี้ว่าไปแล้วดูจะสุ่มเสี่ยงเหลือเกินที่จะขัดกับความรู้สึกของการให้ความเคารพกับ "ตำนาน" เรื่องราวความรักของคนกับผีที่คนไทยเรารู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แถมในแบบฉบับ "โรแมนติก" ของพี่ "อุ๋ย นนทรีย์" อย่าง "นางนาก" เมื่อปี 2542 ก็สร้างมาตรฐานไว้เสียจนสูงลิบลิ่วทั้งในเรื่องของรายได้และเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อีกต่างหาก
ระหว่างที่ดูหนัง เห็นการปล่อยมุกแบบสุดติ่งเรียกว่าไม่สนยุคสมัย ทั้งเหี้ย, ทั้งนาก ร้านยาดอง(ปั่น) ที่มีโคโยตี้ มีสาวๆ นั่งดริงค์ เอาตัวละครมาเล่นเกมบอกใบ้ทายคำ ฯ เหล่านี้ก็อดที่จะกังวลไม่ได้ครับว่าหากหนังจบแบบ "เอาไม่อยู่" แล้วละก็ดูไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างแน่นอน
แต่พอถึงบทสรุปสุดท้ายก็โล่ง เพราะถึงจะเป็นการจบที่โดยส่วนตัวอาจจะไม่ถึงกับขนาดประทับจิตฝังอยู่ในหัวใจแต่ก็เป็นการลงที่สวยงามและ "เอาอยู่"
ที่ผมชอบมากๆ ก็คือการดำเนินเรื่องของหนัง เพราะแม้จะเน้นเอาฮาเป็นหลักถึงขั้นหลุดโลกทว่าหนังก็ยังคงไว้และให้เกียรติกับความรักระหว่างแม่นาคกับพ่อมากในแบบที่เรารับรู้กันมา (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ถึงตอนนี้จะมีสักกี่คนกันที่รับทราบจริงๆ ว่าเรื่องราวนั้นมีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงไร) ไม่ได้เอามาปูยี้ปู้ยำแบบไม่สนใจไยดีเรื่องราวเล่าขานอะไรกันเลย
แน่นอนครับว่าเรื่องของ "การโปรโมต" รวมถึงการใช้สื่อโฆษณาเป็นเครื่องมือในการสร้าง "กระแส" ยังคงถือเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่นำมาในเรื่องของความนิยมอันส่งผลไปถึงเรื่องของตัวเลขรายได้ ทว่าในมุมกลับกันหากของที่นำออกมาขายไร้ซึ่ง "คุณภาพ" แล้ว ผมว่าต่อให้การตลาดเก่งแค่ไหนก็ไม่แน่หรอกครับว่าผลที่ออกมาจะออกดอกประสบความสำเร็จเสมอไป
ได้ยินหลายคนบอกว่า "พี่มาก พระโขนง" รายได้ดีเพราะมีการโปรโมตที่ดีแถมยังเข้าสูตรหนังไทยที่ว่าทำอะไรก็ได้ขอให้มีตลก มีผี มีกะเทย เอาไว้ก่อน ประเด็นนี้ก็คงจะส่วนหนึ่ง แต่มันมีหนังไทยกี่เรื่องแล้วล่ะครับที่ทำมันครบสูตรที่ว่าแล้วเจ๊งไปแบบไม่เป็นท่าแถมยังถูกด่าเละ!
"จีทีเอช" อาจจะไม่ใช่ค่ายหนังที่ทำหนังออกมาแล้วดีที่สุด หากแต่ถึงตอนนี้ก็ต้องยอมรับครับว่าค่ายหนังค่ายนี้ส่วนใหญ่ทำหนังออกมาแล้วน่าผิดหวังน้อยที่สุด
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีโอกาสแวะเวียนไปที่โรงหนังเมเจอร์ ปิ่นเกล้า เห็นคนมาดู "พี่มาก พระโขนง" กันอย่างคับคั่งก็ให้รู้สึกชื่นใจแทนผู้ผลิตทั้งค่ายหนัง นักแสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้กำกับอย่างคุณ "โต้ง บรรจง" ที่ว่ากันว่าเจ้าตัวนั้นทุ่มเทเวลาให้กับการเก็บรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ของหนังเรื่องนี้เป็นเวลานานกว่า 2 ปี
และในระหว่างที่ยืนเข้าคิวซื้อตั๋วชมภาพยนตร์(ด้วยความรู้สึกว่าทำไมสถานการณ์เฉพาะกิจแบบนี้โรงหนังเองไม่เปิดช่องขายตั๋วเฉพาะเรื่องไปเลย เพื่อที่ว่าคนที่ต้องการดูหนังเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ "พี่มาก พระโขนง"(ซึ่งก็รวมถึงผมด้วย 555)จะได้ไม่ต้องเสียเวลามายืนต่อคิวทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการดูหนังเรื่องดังกล่าว) ก็เห็นการโปรโมตหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่จะเข้าฉายในสัปดาห์นี้อย่าง "คู่กรรม"
อาจจะเริ่มต้นไม่ดีนักในก่อนหน้ากับเสียงวิจารณ์การจับผิดภาพนิ่งโปรโมตหนังที่ถูกปล่อยออกมา รวมทั้งตัวของนางเอกสาวที่จะมารับบทเป็น "อังศุมาลิน" โดยนักแสดงหน้าใหม่อย่าง "ริชชี่ อรเณศ ดีคาบาเลส" แต่ถึงตอนนี้กระแสของหนังไทยเรื่องนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นมาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีการปล่อยเพลงโปรโมต "ฮิเดโกะ" ซึ่งขับร้องโดยนักร้องชาวญี่ปุ่น "ยูซูเกะ นามิกาว่า" ออกมา ก่อนที่จะกระหึ่มอีกครั้งด้วยน้ำเสียงของ "ณเดชน์ คูกิมิยะ" พระเอกของเรื่อง
เท่าที่ฟังมาดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่ต้องการจะดูหนังเรื่องนี้ก็คือกลุ่มสุภาพสตรีครับ และเหตุผลหลักที่ดูก็เพราะจะไปดู "ณเดชน์" นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องผิดอะไร เพียงแต่อยากจะบอกว่าหนังผลงานจากค่าย M๓๙ เรื่องนี้มีส่วนที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือตัวของผู้กำกับอย่าง "เรียว กิตติกร" เจ้าของผลงาน อาทิ โกลคลับ เกมส์ล้มโต๊ะ, อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม, ดรีมทีม, เมล์นรก หมวยยกล้อ, เรา สองสาม คน ฯ
ผมเชื่อนะครับว่า "คู่กรรม" ในมือของผู้กำกับคนนี้น่าจะมีอะไรที่น่าสนใจอยู่และหวังว่าจะทำรายได้ให้ได้เยอะๆ ปลุกตลาดหนังไทยของเราขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากนี้ก็ยังหวังด้วยครับว่าบรรดาสาวๆ เองก็คงจะไม่หลับหูหลับตาเชียร์หนังเรื่องนี้เพียงเพราะความน่ารัก+ความหล่อของตัวพระเอกเพียงอย่างเดียว
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เห็นแล้วมันรู้สึกอิจฉาเฟ้ยยยย...
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศhttp://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
พิจารณาจากตัวเลขที่มีแต่เพิ่มขึ้นๆ (วันแรก 21 ล้านบาท วันที่สอง 23 ล้านบาท และวันที่สามได้มาอีก 29 ล้านบาท) สิ้นสุดวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคมนี้จำนวนตัวเลข 100 ล้านบาทก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกหรือว่ายากเย็นอะไรเลยครับ
ว่ากันถึงรายได้ที่ออกมานับตั้งแต่ที่ผมได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีการฉายให้สื่อมวลชนชมไปเมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างไร
"พี่มาก พระโขนง" อาจจะไม่ใช่ "หนังดี" ในความรู้สึกของใครหลายๆ คน หากแต่ในความรู้สึกของผมโจทย์ที่ตั้งไว้ว่าจะทำหนังเรื่องนี้โดยใช้ "ตลก" นำหน้านั้นถือเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย
การตีความใหม่ ทั้งการให้ "พ่อมาก" ของเรากลายเป็น "พี่มาร์ค" การเพิ่มตัวละครผองเพื่อนอย่าง "เเดอะ แก๊งค์" เข้ามาเป็นตัวเดินเรื่องหลัก เหล่านี้ว่าไปแล้วดูจะสุ่มเสี่ยงเหลือเกินที่จะขัดกับความรู้สึกของการให้ความเคารพกับ "ตำนาน" เรื่องราวความรักของคนกับผีที่คนไทยเรารู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แถมในแบบฉบับ "โรแมนติก" ของพี่ "อุ๋ย นนทรีย์" อย่าง "นางนาก" เมื่อปี 2542 ก็สร้างมาตรฐานไว้เสียจนสูงลิบลิ่วทั้งในเรื่องของรายได้และเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อีกต่างหาก
ระหว่างที่ดูหนัง เห็นการปล่อยมุกแบบสุดติ่งเรียกว่าไม่สนยุคสมัย ทั้งเหี้ย, ทั้งนาก ร้านยาดอง(ปั่น) ที่มีโคโยตี้ มีสาวๆ นั่งดริงค์ เอาตัวละครมาเล่นเกมบอกใบ้ทายคำ ฯ เหล่านี้ก็อดที่จะกังวลไม่ได้ครับว่าหากหนังจบแบบ "เอาไม่อยู่" แล้วละก็ดูไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างแน่นอน
แต่พอถึงบทสรุปสุดท้ายก็โล่ง เพราะถึงจะเป็นการจบที่โดยส่วนตัวอาจจะไม่ถึงกับขนาดประทับจิตฝังอยู่ในหัวใจแต่ก็เป็นการลงที่สวยงามและ "เอาอยู่"
ที่ผมชอบมากๆ ก็คือการดำเนินเรื่องของหนัง เพราะแม้จะเน้นเอาฮาเป็นหลักถึงขั้นหลุดโลกทว่าหนังก็ยังคงไว้และให้เกียรติกับความรักระหว่างแม่นาคกับพ่อมากในแบบที่เรารับรู้กันมา (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ถึงตอนนี้จะมีสักกี่คนกันที่รับทราบจริงๆ ว่าเรื่องราวนั้นมีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงไร) ไม่ได้เอามาปูยี้ปู้ยำแบบไม่สนใจไยดีเรื่องราวเล่าขานอะไรกันเลย
แน่นอนครับว่าเรื่องของ "การโปรโมต" รวมถึงการใช้สื่อโฆษณาเป็นเครื่องมือในการสร้าง "กระแส" ยังคงถือเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่นำมาในเรื่องของความนิยมอันส่งผลไปถึงเรื่องของตัวเลขรายได้ ทว่าในมุมกลับกันหากของที่นำออกมาขายไร้ซึ่ง "คุณภาพ" แล้ว ผมว่าต่อให้การตลาดเก่งแค่ไหนก็ไม่แน่หรอกครับว่าผลที่ออกมาจะออกดอกประสบความสำเร็จเสมอไป
ได้ยินหลายคนบอกว่า "พี่มาก พระโขนง" รายได้ดีเพราะมีการโปรโมตที่ดีแถมยังเข้าสูตรหนังไทยที่ว่าทำอะไรก็ได้ขอให้มีตลก มีผี มีกะเทย เอาไว้ก่อน ประเด็นนี้ก็คงจะส่วนหนึ่ง แต่มันมีหนังไทยกี่เรื่องแล้วล่ะครับที่ทำมันครบสูตรที่ว่าแล้วเจ๊งไปแบบไม่เป็นท่าแถมยังถูกด่าเละ!
"จีทีเอช" อาจจะไม่ใช่ค่ายหนังที่ทำหนังออกมาแล้วดีที่สุด หากแต่ถึงตอนนี้ก็ต้องยอมรับครับว่าค่ายหนังค่ายนี้ส่วนใหญ่ทำหนังออกมาแล้วน่าผิดหวังน้อยที่สุด
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีโอกาสแวะเวียนไปที่โรงหนังเมเจอร์ ปิ่นเกล้า เห็นคนมาดู "พี่มาก พระโขนง" กันอย่างคับคั่งก็ให้รู้สึกชื่นใจแทนผู้ผลิตทั้งค่ายหนัง นักแสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้กำกับอย่างคุณ "โต้ง บรรจง" ที่ว่ากันว่าเจ้าตัวนั้นทุ่มเทเวลาให้กับการเก็บรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ของหนังเรื่องนี้เป็นเวลานานกว่า 2 ปี
และในระหว่างที่ยืนเข้าคิวซื้อตั๋วชมภาพยนตร์(ด้วยความรู้สึกว่าทำไมสถานการณ์เฉพาะกิจแบบนี้โรงหนังเองไม่เปิดช่องขายตั๋วเฉพาะเรื่องไปเลย เพื่อที่ว่าคนที่ต้องการดูหนังเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ "พี่มาก พระโขนง"(ซึ่งก็รวมถึงผมด้วย 555)จะได้ไม่ต้องเสียเวลามายืนต่อคิวทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการดูหนังเรื่องดังกล่าว) ก็เห็นการโปรโมตหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่จะเข้าฉายในสัปดาห์นี้อย่าง "คู่กรรม"
อาจจะเริ่มต้นไม่ดีนักในก่อนหน้ากับเสียงวิจารณ์การจับผิดภาพนิ่งโปรโมตหนังที่ถูกปล่อยออกมา รวมทั้งตัวของนางเอกสาวที่จะมารับบทเป็น "อังศุมาลิน" โดยนักแสดงหน้าใหม่อย่าง "ริชชี่ อรเณศ ดีคาบาเลส" แต่ถึงตอนนี้กระแสของหนังไทยเรื่องนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นมาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีการปล่อยเพลงโปรโมต "ฮิเดโกะ" ซึ่งขับร้องโดยนักร้องชาวญี่ปุ่น "ยูซูเกะ นามิกาว่า" ออกมา ก่อนที่จะกระหึ่มอีกครั้งด้วยน้ำเสียงของ "ณเดชน์ คูกิมิยะ" พระเอกของเรื่อง
เท่าที่ฟังมาดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่ต้องการจะดูหนังเรื่องนี้ก็คือกลุ่มสุภาพสตรีครับ และเหตุผลหลักที่ดูก็เพราะจะไปดู "ณเดชน์" นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องผิดอะไร เพียงแต่อยากจะบอกว่าหนังผลงานจากค่าย M๓๙ เรื่องนี้มีส่วนที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือตัวของผู้กำกับอย่าง "เรียว กิตติกร" เจ้าของผลงาน อาทิ โกลคลับ เกมส์ล้มโต๊ะ, อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม, ดรีมทีม, เมล์นรก หมวยยกล้อ, เรา สองสาม คน ฯ
ผมเชื่อนะครับว่า "คู่กรรม" ในมือของผู้กำกับคนนี้น่าจะมีอะไรที่น่าสนใจอยู่และหวังว่าจะทำรายได้ให้ได้เยอะๆ ปลุกตลาดหนังไทยของเราขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากนี้ก็ยังหวังด้วยครับว่าบรรดาสาวๆ เองก็คงจะไม่หลับหูหลับตาเชียร์หนังเรื่องนี้เพียงเพราะความน่ารัก+ความหล่อของตัวพระเอกเพียงอย่างเดียว
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เห็นแล้วมันรู้สึกอิจฉาเฟ้ยยยย...
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศhttp://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |