“แม่ผัว-ลูกสะใภ้” ไม่ได้มีแค่ในละครไทย เมื่อ “โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม” ตลกชื่อดังตะเพิดแม่แท้ๆ ออกจากบ้าน หลังจากให้นอนห้องคนใช้มานานหลายปี ต้นเหตุมาจากภรรยาของโป๊งเหน่งที่ไม่ถูกกับแม่ผัว เมียโป๊งเหน่งอ้างแม่ไม่ชอบขี้หน้ามาตั้งแต่แรก ฝ่ายโป๊งเหน่งหลงเมียมากกว่าแม่จึงหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุ 18 ...ฉายหนังกันคนละม้วน สุดท้าย ปิดฉากซีนสุดท้ายของ “เนรคุณดรามา” ด้วยการขอขมาแม่บังเกิดเกล้าเป็นที่เรียบร้อย
อาศัยอยู่กับนางนัฐกนก วันเพ็ญ หรือ “แม่อ้อย” มาหลายปี ตลกชื่อดัง “โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม” หรือชื่อจริง วลัษณัฏฐ์ ก้องภพฐตารีย์ (ชื่อเดิม พงษ์ศักดิ์ โสภักดี) ในฐานะลูกชายไม่ได้มีชีวิตครอบครัวที่ราบรื่นเมื่อภรรยาสุดรัก “สมญา อยู่พ่วง” ไม่ถูกกับแม่อ้อยถึงขั้นทะเลาะกันทุกวัน ภรรยาโป๊งเหน่งชี้หน้าด่าขึ้นมึงขึ้นกูกับแม่อ้อยต่อหน้าลูกๆ มาหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ปัญหาดังกล่าวเพิ่งจะระเบิดออกมาจนคนในสังคมรับรู้ก็เพราะมีข่าวว่าแม่อ้อยไปอาศัยข้าววัดและซุกหัวนอนที่นั่นมานานสี่เดือนเต็มแล้ว
ที่ผ่านมาแม่อ้อยใช้ชีวิตอยู่กับโป๊งเหน่งและครอบครัวแบบไร้ซึ่งความสุข เพราะถูกลูกชายแท้ๆ ให้ไปนอนที่เรือนคนใช้ซึ่งอยู่หลังบ้านและไม่มีประตูเชื่อมเข้ามาในตัวบ้าน เรือนคนใช้หลังนี้ไม่มีห้องน้ำถ้าจะเข้าห้องน้ำก็ต้องมาเข้าในตัวบ้าน เมื่อตกกลางดึกโป๊งเหน่งต้องล็อกประตูบ้านแม่อ้อยจึงต้องขับถ่ายใส่กระโถนแล้วนำไปทิ้งเอง นอกจากนั้นห้องที่นอนยังเต็มไปด้วยรองเท้าและข้าวของต่างๆ วางระเกะระกะเต็มไปหมด
แม่อ้อยได้เงินจากโป๊งเหน่ง 200 -300 บาทซึ่งเธอต้องเดินออกไปซื้อข้าวกล่องกินเองที่ปากซอยบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้แม่อ้อยเสียใจมากที่สุดคือการที่นางสมญา ภรรยาของโป๊งเหน่งห้ามไม่ให้โป๊งเหน่งเรียกเธอว่าแม่ และยังไม่ให้ลูกๆ ทั้ง 4 เรียกเธอว่าย่าอีกด้วย
และนั่นก็เป็นที่มาของการหลุดปากออกมาว่า “ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แม่” ในครั้งแรกที่นักข่าวโทรศัพท์ไปสัมภาษณ์โป๊งเหน่ง ขณะที่เขาขับรถไปทำงานที่ต่างจังหวัด โป๊งเหน่งบอกว่าที่หลุดปากไปแบบนั้นเพราะกำลังขับรถและรู้สึกเครียดกับข่าวนี้ แต่ภายหลังเขาก็ออกมายอมรับว่าแม่อ้อยคือแม่แท้ๆ ของเขาแต่ไม่เคยเลี้ยงดูเขามานาน 30 กว่าปีแล้ว
แม่อ้อยบอกว่ามีปากเสียงกับลูกสะใภ้มาตลอด ซึ่งทุกครั้งก็ถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และเคยทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นถูกไล่ออกจากบ้านมาแล้ว 5 ครั้ง ครั้งแรกๆ เธอได้หนีไปอาศัยอยู่กับเพื่อนแต่โป๊งเหน่งก็ไปตามกลับมา จนครั้งล่าสุดทะเลาะกันหนักมาก เมียโป๊งเหน่งเอ่ยปากว่า “บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านลูกมึง แต่เป็นบ้านกู” ทำให้แม่อ้อยต้องหนีออกไปขอความช่วยเหลือจากทางสำนักงานเขตคลองสามวา ซึ่ง สนง. เขตคลองสามวาก็พาไปติดต่อที่บ้านพักคนชราบางแค ซึ่งตามกฎในการเข้าพักนั้นคนเป็นลูกจะต้องเซ็นรับรองก่อนถึงจะไปอยู่ได้ แต่โป๊งเหน่งยังไม่ยอมเซ็นให้ แม่อ้อยจึงยังเข้าไปพักอาศัยในบ้านพักคนชราบางแคได้ สนง. เขตคลองสามวาจึงพาไปอาศัยที่วัดพระยาสุเรนทร์ แขวงสามวาตะวันตก ซึ่งเป็นที่ที่แม่อ้อยอาศัยซุกหัวนอนมาได้สี่เดือนเต็มแล้ว
แม่อ้อยบอกว่าสาเหตุที่โป๊งเหน่งยังไม่ยอมเซ็นยินยอมให้เธอไปพักในบ้านพักคนชราบางแคเพราะภรรยาของเขาสั่งห้ามด้วยประโยคที่ว่า “มึงอย่าเซ็น มันเป็นอะไรกับมึง”
ความสัมพันธ์ระหว่างโป๊งเหน่งกับแม่อ้อยระหองระแหงมาตั้งแต่เด็กแล้ว แม่อ้อยเคยออกปากไล่โป๊งเหน่งออกจากบ้านเพราะลูกชายไปขโมยของ และเพราะทะเลาะกันมาเรื่อยๆ นี่เองทำให้โป๊งเหน่งกับแม่ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ แต่ความสัมพันธ์มาถึงจุดแตกหักจริงๆ เมื่อโป๊งเหน่งไปชอบพอกับสมญาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้ 17 ปี ซึ่งทั้งตัวแม่อ้อยและสมญาต่างก็ยอมรับว่าต่างฝ่ายต่างไม่ถูกกัน เมื่อทะเลาะกันมากๆ แม่อ้อยก็ขอให้ลูกชายเลิกกับแฟนคนนี้ แต่ตอนนั้นสมญาตั้งท้องลูกคนแรกได้สามเดือนเศษๆ ทำให้โป๊งเหน่งตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านไปอยู่กับสมญาตั้งแต่นั้นมา
จนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่โป๊งเหน่งได้รับแม่อ้อยกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ในช่วงที่ห่างกันไปก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น โป๊งเหน่งอ้างว่าเมื่อก่อนแม่อ้อยร่ำรวยด้วยการปล่อยเงินกู้และมีห้องเช่า 20 กว่าห้อง ช่วงนั้นแม่อ้อยได้ไปรับเด็กชายคนหนึ่งมาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมโดยไม่ได้เหลียวแลส่งเสียตัวโป๊งเหน่งซึ่งเป็นลูกแท้ๆ เพียงคนเดียวเลย และนั่นก็ทำให้โป๊งเหน่งยิ่งน้อยใจในตัวแม่คนนี้มากขึ้น
สุดท้ายเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ตรงกันในรายละเอียดเพราะเรื่องที่ออกจากปากแม่อ้อยกับลูกโป๊งเหน่งนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ที่แน่ๆ สองฝ่ายต่างก็พูดถึงแต่ในมุมของตัวเอง ลูกชายบอกถูกแม่ทอดทิ้งก่อน ส่วนฝ่ายแม่บอกวันนี้โดนลูกสะใภ้ด่าทอไม่เว้นแต่ละวัน ที่แน่ๆ ต้องยอมรับว่าโป๊งเหน่งหลงเมียมากกว่าแม่ เขาถึงยอมออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยา ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าเขารักเมียมากกว่าแม่ เพราะเมียคนนี้อยู่กับเขามาตลอด 33 ปี เป็นทั้งแม่ ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ทั้งน้องของเขา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขามาตลอด
ภาพการคุกเข่าลงกราบแทบเท้าแม่อ้อยของโป๊งเหน่งในช่วงเช้าของวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมาอาจจะทำให้คนที่ติดตามข่าวโล่งใจกับข่าวนี้มากขึ้น ไม่เพียงแค่โป๊งเหน่งที่มาก้มกราบขอขมา แต่สมญา ภรรยาของโป๊งเหน่งก็มากราบขอขมาด้วย หลังจากปรับความเข้าใจกันได้ แม่อ้อยก็ยอมกลับไปอยู่กับโป๊งเหน่งตามเดิม เนื่องจากยอมรับว่าปรับความเข้าใจกับโป๊งเหน่งและภรรยาได้แล้ว ก็หวังว่าปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายไปได้จริงๆ ไม่ใช่แค่การสร้างภาพเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงเพราะถ้าเป็นเช่นนั้นสักวันเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ก็จะย้อนกลับมาให้ได้ปวดหัวอีกแน่นอน
...............................................
ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 153 วันที่ 17-23 พฤศจิกายน 2555