ไม่ว่าจะดีหรือห่วย ฮาหรือไม่ฮา แต่ตัวเลขรายได้ของผลงานชิ้นล่าสุดอย่าง “หอแต๋วแตก แหกมว๊ากมว๊ากกก” ซึ่งเข้าฉายไปราวสองอาทิตย์และไต่ไปแตะที่ระดับเกือบๆ 30 ล้านบาท ก็น่าจะบอกอะไรได้บางอย่างว่า ยี่ห้อ “พจน์ อานนท์” นั้น ถึงยังไงก็ยัง “ขาย” ได้ในตลาดหนังบ้านเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาความจริงที่ว่า ในรอบปีที่ผ่านพ้น นอกจากหนังของค่ายจีทีเอชที่ยังพอเก็บรายได้เข้ากระเป๋าได้แบบเป็นเนื้อเป็นหนังบ้างแล้ว หนังไทยที่เหลือ อย่าว่าแต่จะทำเงินได้มหาศาลอะไรเลยครับ เอาแค่ว่าไม่ขาดทุน ก็บุญยิ่งนักแล้ว แต่สิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่นักสำหรับผู้กำกับอย่างพจน์ อานนท์ เพราะเท่าที่ผ่านมา เราแทบจะหาหนังที่ “เจ๊ง” หรือ “ขาดทุน” ของเขาไม่เจอเลย
ในความคิดเห็นส่วนตัว เหตุผลอย่างหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นส่วนสำคัญในสถานการณ์ดังกล่าว คือเรื่อง “ความชัดเจนในตัวเอง” ของพจน์ อานนท์ อย่างน้อยที่สุด ผมเชื่อว่าคนดู พอเห็นปุ๊บ ก็ตรัสรู้ได้ปั๊บว่าพวกเขาจะได้อะไรจากหนังของผู้กำกับคนนี้ และพจน์ อานนท์ก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลง “รสนิยม” ด้านความตลก (ที่เขาคิดว่ามันตลก) ไปไหนเลย ความฮาแบบไม่ต้องอาศัยชั้นเชิงอะไรมาก นอกไปจากคำหยาบ ตลกสังขาร ตลกเจ็บตัว ไปจนถึงความทะลึ่งสัปดนที่วนๆ อยู่แถวโคนขา เปรียบเสมือนเครื่องหมายการค้าของพจน์ อานนท์ ที่คนดูจะใช้ตัดสินใจได้ว่าตนเองพร้อมหรือไม่ที่จะขำขันไปกับตลกในลักษณะนี้
และเท่าที่เห็น ดูเหมือนว่าคนที่พร้อมจะฮาไปกับพจน์ อานนท์ ยังคงมีอยู่เสมอต้นเสมอปลาย ยกตัวอย่างเช่น หนังในตระกูลหอแต๋วแตก สองภาคแรกนั้นเก็บเงินจากคนไทยรวมกันแล้ว 100 กว่าล้านบาท (หอแต๋วแตก ภาคหนึ่ง 51 ล้านบาท, หอแต๋วแตก แหกกระเจิง 56 ล้านบาท) ซึ่งถือว่ารักษามาตรฐานได้ดี ขณะที่สองภาคหลัง แม้คนดูจำนวนหนึ่งจะหนีไป (จะเพราะเริ่มรู้สึกว่าคอยดูหนังซูมหรือโหลดเอาแล้วมันคุ้มค่ากว่า ก็ตามแต่) แต่รายได้ระดับ 33 ล้านกว่าบาท ของหอแต๋วแตก แหวกชิมิ รวมถึงรายได้ล่าสุดของ “หอแต๋วแตก แหกมว๊ากมว๊ากกก” (ถ้าออกเสียงยาก ก็ไม่ต้องพยายามครับ เก็บปากไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า) ก็บอกได้อย่างเด่นชัดว่า หนังของพจน์ อานนท์ ยังจะมีพื้นที่ในโรงฉายต่อไปได้อีกนาน
อันที่จริง ผมก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอะไรนักกับหนังของคุณพจน์ อานนท์ อาจจะมีบ้างที่หยิบแผ่นมาดูเมื่อรู้สึกว่าโลกนี้มันช่าง Bullshit สิ้นดี แล้วการดูหนังตระกูลนี้ ก็มักจะทำให้ได้คิดว่า บางที แทนที่จะซีเรียสไปกับโลกกับผู้คน ก็ฮาบ้าๆ บอๆ ใส่มันบ้างก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็เชื่อว่าวิธีนี้อาจจะไม่เหมาะกับหลายท่าน เพราะมันอาจจะทำให้ท่านเครียดกว่าเดิม เพราะดูแล้วไม่เห็นว่ามันจะฮาตรงไหน...แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็ยังคงรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย เมื่อคุณพจน์ อานนท์ เกริ่นๆ ไว้ว่าจะเลิกทำ “หอแต๋วแตก” แล้ว
ทั้งที่ตามความจริง ผมเชื่อว่าซีรี่ส์นี้ยังขายได้อีกหลายปี บางที มันอาจจะเหมือนกับหนังผีคลาสสิกอย่าง “บ้านผีปอบ” ที่เดินทางไกลไปถึง 10 กว่าภาค และในยุคถัดมา ยังมีคนนำเอาบ้านผีปอบมาทำใหม่ในรูปแบบต่างๆ กันไป ทั้งแบบได้แรงบันดาลใจและผลิตซ้ำหรือรีเมค คิดเล่นๆ นะครับว่า ถ้าหากคุณพจน์ยังอดทนอดกลั้นกับการทำหนังเรื่องนี้ต่อไปอีกหลายๆ ภาค อนาคตข้างหน้ามันอาจจะกลายเป็น “ของเก่า” ที่คนรุ่นถัดไป หยิบเอามาเล่าใหม่ในแบบเดียวกันกับบ้านผีปอบ ก็เป็นได้
ตอนนี้ ผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าคำว่า “หอแต๋วแตก” กลายสถานะเป็นเหมือนกับ “แบรนด์” หรือ “ชื่อยี่ห้อ” ที่ติดหูและติดอยู่ในความทรงจำไปเรียบร้อยแล้ว คนดูจำนวนหนึ่งนั้น ขอแค่เห็นคำว่า “หอแต๋วแตก” แปะหราบนโปสเตอร์ ก็ไม่ลังเลแต่อย่างใดที่จะตีตั๋วเข้าไปดู คิดอีกที คุณพจน์ อานนท์ ก็เจ๋งใช่ย่อยนะครับที่สามารถสร้างและรักษากลุ่มแฟนคลับระดับเดนตายผู้เฝ้ารอจะติดตามผลงอย่างต่อเนื่องได้เหนียวแน่นเพียงนี้ คนทำหนังดีๆ หลายคนอาจจะนึกอิจฉาด้วยซ้ำไป
และการที่มีกลุ่มคนดูจำนวนหนึ่งติดตามผลงานอย่างเหนียวแน่นนี่เอง ทำให้หลายคนเริ่มหันมองหนังของพจน์ อานนท์ ในฐานะของ “หนังคัลต์” (Cult Movie) เพราะองค์ประกอบอย่างหนึ่งของการพิจารณาว่าหนังเรื่องไหน “คัลต์” หรือ “ไม่คัลต์” ก็คือประชาชนคนดู แม้หนังเรื่องหนึ่งๆ จะถูกคนจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ อย่างไรก็ตาม แต่ก็จะยังมีคนจำนวนหนึ่งรักและชอบที่จะดู และสนุกไปกับมันได้อย่างปราศจากเศษเสี้ยวแห่งอคติใดๆ ขณะเดียวกัน การเล่นกับตัวละครประหลาดๆ แบบไม่คำนึงถึงความ “จริง” หรือ “สมจริง” ซึ่งเป็นลักษณะที่มักจะมีในหนังคัลต์ ก็มีอยู่ในหอแต๋วแตก นั่นยังไม่นับรวมถึงการเป็นหนังผีทุนต่ำ ก็ใกล้เคียงมากกับนิยามของความคัลต์
ไม่ว่าจะอย่างไร มองข้ามเรื่องความเป็นคัลต์ที่สุดท้ายก็ถกเถียงกันได้ไม่รู้จบว่ามันเป็นหรือไม่เป็น แต่สิ่งหนึ่งซึ่งหนังตระกูลหอแต๋วแตก “เป็น” แน่ๆ ก็คือ เป็นหนังทำเงินเรื่องหนึ่ง
คนจำนวนหนึ่งอาจมองว่า หนังของพจน์ อานนท์ เป็นหนังไร้สาระ หรือกระทั่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งที่พจน์ อานนท์ ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นคนที่ทำให้วงการหนังไทยตกต่ำ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ “ความเห็น” ที่ไม่อาจทำลายอุดมการณ์ในการทำหนังของพจน์ อานนท์ ได้ อุดมการณ์ในการทำหนังของพจน์ อานนท์ เป็นอย่างไรก็ดูได้จากภาพรวมของงานทั้งหมด สิ่งที่พจน์ อานนท์ ต้องการใส่ลงไปในหนังคือความตลกที่เขาคิดว่ามันตลก ไล่ตั้งแต่ตลกหยาบคายไปจนถึงตลกแดกดันสังคม และเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองสูงส่ง แต่อาจจะมีคำถามบ้างนิดๆ หน่อยๆ เหมือนอย่างเมื่อครั้งหนึ่งซึ่งเขามาออกรายการวิวไฟน์เดอร์ทางช่องซูเปอร์บันเทิง เขาพูดได้น่าคิดมากว่า หลายคนมองว่าหนังของพจน์ อานนท์ ไร้สาระ แต่กับหนังของบางค่ายที่มีฉากอุ้มจระเข้เข้าโรงพยาบาล คนกลับมองว่ามันเป็นหนังดี ทั้งที่ในความเป็นจริง มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่ใครจะนำจระเข้เข้าไปรักษาในโรงพยาบาลซึ่งรักษาคน
จะว่าไป พจน์ อานนท์ ผ่านการทำหนังมาแล้วหลากรูปแบบ คนที่ด่าว่าพจน์ อานนท์ ทำแต่หนังไร้สาระ อาจจะเกิดช้าหรือไม่ก็ปิดหูปิดตาจนมืดบอด และไม่เคยดูหนังอย่าง “18 ฝน คนอันตราย” ซึ่งอัดแน่นด้วยสาระอย่างซีเรียส หรือแม้แต่หนังที่หลายคนเห็นว่ามันเป็นหนังเกย์ๆ เรื่องหนึ่ง อย่าง “เพื่อน...กูรักมึงว่ะ” แต่จะมีใครคิดไหมว่า ในขณะที่บ้านนี้เมืองนี้ แทบจะทำหนังที่เกี่ยวกับ “ด้านมืด” ของตำรวจไม่ได้เลย แต่พจน์ อานนท์ ทำไปแล้ว และไม่ใช่แค่แอบวิพากษ์ระบบตำรวจไว้อย่างบางเบา หากแต่ยังทำให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มีพาร์ทของความเป็นปุถุชนที่ไม่ต่างจากคนทั่วๆ ไปด้วย เครื่องแบบตำรวจมันก็เรื่องหนึ่ง แต่สุดท้าย คุณมันก็มนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีความอ่อนไหวเปราะบางและพ่ายแพ้ต่อแรงปรารถนา ไม่ต่างไปจากมนุษย์มนาคนอื่นๆ
ช่วงหลังๆ พจน์ อานนท์ อาจจะเน้นทำหนังตลกอย่างไร้สาระไปบ้าง จนกระทั่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภาพจำซึ่งอยู่ในหัวของคนส่วนใหญ่ จะประทับตราว่าเขาเป็นผู้กำกับที่ทำแต่หนังตลกไร้สาระ ขณะเดียวกัน ข่าวคราวในวงการบันเทิงที่ออกมา ก็ส่งผลต่อภาพลักษณ์เชิงลบของพจน์ อานนท์ อยู่พอสมควร แต่เชื่อเถอะว่า หนังแบบพจน์ อานนท์ ยัง “ขายได้”
ในปีนี้ พจน์ อานนท์ มีหนังเข้าฉายไป 2 เรื่อง คือ “ปล้นนะยะ 2” กับ “หอแต๋วแตก แหกมว๊ากมว๊ากกก” ซึ่งจากรายได้ของทั้งสองเรื่อง ก็น่าจะส่งผลให้นายทุนยังแฮปปี้ที่จะจ่ายให้พจน์ อานนท์ เปิดกล้องผลงานชิ้นต่อไปได้เรื่อยๆ แน่นอนว่า ในยุคของการโหลดการก็อปเฟื่องฟูอย่างทุกวันนี้ แม้หนังของพจน์ อานนท์ จะเป็นหนังที่หลายคนมองว่าเหมาะแก่การก็อปการโหลดมากที่สุด แต่ประจักษ์พยานด้านรายได้จากการฉายในโรงหนัง ก็น่าจะบอกได้อยู่เลาๆ ว่า คุณจะโหลดก็โหลดไป จะก็อปก็ก็อปไป แต่ในโรงหนัง พจน์ อานนท์ คือ...
“ผู้กำกับที่ฆ่าไม่ตาย!!”