“คำต่อคำ” ของหนุ่มปลื้มที่เบียดตารางงานสุดแน่นให้เราได้นั่งคุยถึงสิ่งที่เขาตั้งใจทำและกำลังไปได้สวยขณะนี้ ด้วยน้ำเสียงฉะฉานและมั่นใจ “ตอนนี้ผมทำหลายอย่างครับ นอกจากช่วยงานเป็นเลขานุการส่วนตัวให้คุณพ่อแล้ว ผมยังมีธุรกิจส่วนตัวของผมเอง ที่ตอนนี้กำลังดันอยู่ ก็คือ แบรนด์ VRZO ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า ร้านอาหาร และรายการในยูทิวบ์ รวมทั้งธุรกิจอย่างอื่นอีก แต่ผมไม่อยากให้คนไปโฟกัสมาก เพราะผมถือว่าทำงานสุจริต แต่ด้วยความที่ผมเกิดมาในครอบครัวนักการเมือง ความสุจริตของผมอาจจะโดนกลั่นแกล้งได้ แต่ผมถือคติว่าสองสิ่งที่ชีวิตเราหนีไม่พ้นก็คือความตายกับภาษี (หัวเราะ) ผมมั่นใจว่าทุกอย่างที่ผมทำนั้นถูกกฎหมายและมีความสุขกับมัน ผมเพียงแค่ไม่อยากให้ใครมาจ้องจับผิดเท่านั้นเอง”
:: สร้างชื่อด้วยตัวเองกับ VRZO
แน่นอนว่า คนส่วนใหญ่รู้จักหนุ่มปลื้มว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่ตอนนี้เขากำลังเป็นที่รู้จักจากกลุ่มวัยรุ่น ด้วยการรับหน้าที่พิธีกรในรายการ VRZO ซึ่งออกฉายผ่านทางยูทิวบ์ เป็นรายการที่ออกไปถามความเห็นของคนในสังคมกับประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น และกลายเป็นรายการวัยรุ่นในยูทิวบ์ที่ดังที่สุดในประเทศ มีหลายตอนที่ยอดคนดูหลักล้าน!
“VRZO มันมาจากภาษาอังกฤษ We Are So..... คือเราจะ So Cool, So Hot หรือ So อะไรก็ว่าไป ซึ่งผมทำกับเพื่อนผม เนื่องจากพวกเราเป็นพวกที่ทำอะไรก็ทำสุดๆ ไม่มีกั๊ก จุดเริ่มต้นจริงๆ ของ VRZO คือ แบรนด์เสื้อผ้าก่อน แล้วมาใช้เป็นชื่อรายการในภายหลัง
จุดเริ่มต้นรายการมันค่อนข้างซับซ้อนนะ เริ่มจากที่ผมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตให้กับน้องๆ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ทั้งเรื่องความรัก เรื่องเรียน ปัญหาวัยรุ่นต่างๆ แล้ววันหนึ่งมีน้องมาแย้งผมว่า เรื่องที่พี่ปลื้มบอกมามันผิด! ไปปรึกษาพี่อีกเว็บไซต์หนึ่งมา เขาบอกว่าต้องทำอย่างนี้ ผมเลยตามเข้าไปดูในเว็บไซต์นั้น ซึ่งคนที่ตอบคำถามไม่มีตัวตน รูปโปรไฟล์ที่ใช้ก็เป็นรูปการ์ตูน แล้วคำตอบที่ให้น้องๆ มันเป็นคอมเมนต์ในแนวชักจูงที่แย่มาก ซึ่งผมไม่ชอบการสอนแบบชักจูง เวลาผมแนะนำใครผมจะแนะนำแบบกว้างๆ ให้คนฟังไปคิดเอง คิดได้ก็ดี คิดไม่ได้ก็คิดให้หนักกว่าเดิม แต่ผมจะไม่บอกว่าสิ่งนี้ดีสิ่งนั้นเลว ผมเบื่อพวกกูรูทางอินเทอร์เน็ต จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้มาทำรายการ อยากเป็นไกด์ให้วัยรุ่นว่าสังคมจริงๆ เขาคิดอย่างไรกัน
ผมทำรายการมาเพื่อให้เด็กๆ รู้ว่าสังคมเรามันสีเทา ไม่ได้ขาวแต่ก็ไม่ได้ดำ จริงๆ เนื้อหาของรายการค่อนข้างหนักเลยนะ แต่ถ้าผมทำให้ซีเรียส มันก็จะเป็นเหมือนรายการของกระทรวงศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม ที่อยากให้เด็กดู แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ดู ผมเลือกที่จะทำรายการให้สนุก เหมือนนิทานอีสป ทำให้เด็กอยากรู้ อยากดูว่าสุดท้ายแล้วผลมันจะเป็นอย่างไร
พวกเราทำมาประมาณ 2 ปี คนพูดถึงเรื่อยๆ อย่างแฟนเพจ VRZO ตอนนี้ก็มีประมาณ 350,000 แล้วครับ แต่สิ่งที่เราพอใจ ไม่ใช่จำนวนตัวเลข แต่คือกลุ่มแฟนของเราสร้างปรากฏการณ์ในเฟซบุ๊ก พอตอนใหม่มาก็จะมีแฟนเอาไปแชร์กันเยอะมาก ผมว่าที่รายการเราดังได้ ก็เพราะกลุ่มแฟนเหล่านี้ที่ช่วยกันแชร์ครับ ตอนแรกไม่คาดคิดว่าจะได้รับความสนใจมากขนาดนี้ ทำตอนแรกคิดแค่ว่าจะแค่เป็นไกด์ให้น้องๆ เท่านั้น แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นหนึ่งในรายการวัยรุ่นที่ดังที่สุดในไทยไปแล้ว”
:: อดีตเด็กน้อยที่โตเกินวัย
ถ้ายังจำกันได้ในสมัยเด็กหนุ่มปลื้มได้ฉายาว่า “ใบมีดโกนน้อย” ซึ่งมาจากฉายาของผู้เป็นพ่ออย่าง “ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง” ด้วยการกล้าแสดงความคิดเห็นทางการเมืองตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าหนุ่มน้อยคนนั้นโตเกินวัย
“ตอนเด็กๆ ผมงงว่าทำไมผมถึงคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง ตอนโตมาผมถึงรู้ว่า อ๋อ...ความคิดผมไปไกล ผมไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่คนเก่ง เพียงแต่เวลาผมมองอะไรผมจะมองไกล มองกว้าง หลายมิติ ผมมักจะมองอะไรนอกเหนือจากภาพที่มันสื่อออกมา สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครปลูกฝัง แต่ผมอยู่ในสังคมแบบนี้ อย่างตอนอายุ 5 ขวบ ผมไปงานกับคุณพ่อ เวลามีผู้ใหญ่เอาลูกกวาดมาให้ผม ยิ้มใส่ผม ไม่ได้หมายความคนๆ นี้เป็นคนดี ผมต้องมองให้ลึกกว่านั้น ผมต้องมองว่าคนนี้อยากได้อะไรจากพ่อผม หรืออยากรู้ความลับอะไรหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในสภาวะแวดล้อมแบบนั้น พอผมอายุมากขึ้น ความคิดพื้นฐานของผมจึงโตขึ้นไปด้วย”
แต่ปลื้มก็บอกว่าเขาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่มองโลกด้วยความเป็นจริงมากกว่า “ผมไม่ใช่คนขวางโลก และไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเลย ผมมองโลกในแง่ มุมที่กว้าง และมักจะมองในข้อดีของมันเสมอ ผมแค่ไม่หลอกตัวเอง เพื่อความปลอดภัย ผมว่าทุกคนมีเหตุผลในการกระทำ ผมไม่เคยดูถูกตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจนะ เพียงแต่ผมเป็นคนละเอียด ก่อนจะทำอะไรสักอย่างต้องคิดเยอะ
ตั้งแต่เด็กที่ผมจำความได้ผมก็ไม่ใช่เด็กขี้อาย ผมเป็นคนตรงๆ มาตั้งแต่เด็ก คิดอะไรผมพูดอย่างนั้นเลย การพูดตรงๆ ผมว่าดีที่สุด ไม่ใช่ว่าพูดตรงแล้วจะดูหล่อ ดูเท่ ที่ผมพูดตรงๆนั้นเป็นเหตุผลเกี่ยวกับตัวเองล้วนๆ สมมติว่าผมเฟรกให้ตัวเองดีสุดยอด มีคนชอบเยอะแยะ แต่พอมีคนชอบก็ย่อมมีคนเกลียด เป็นสัจธรรมโลก ฉะนั้น จะเฟรกไปเพื่ออะไร ยังไงก็มีทั้งคนรักและคนเกลียดเราอยู่ดีแหละ”
:: ปลื้มกับรถสปอร์ตเจ้าปัญหา?
เมื่อประมาณปีที่แล้ว ปลื้มเป็นข่าวอีกครั้งกับภาพของเขาที่ถ่ายคู่กับรถสปอร์ตสุดหรูราคาหลายล้าน ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์แบบสมถะของผู้เป็นพ่อ ทำให้เขาถูกโจมตีจากนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและบางสำนัก ถึงแม้ข่าวนี้จะผ่านมานาน แต่เขาก็ยังยินดีตอบข้อสงสัยของใครหลายคน
“ตอนนั้นถึงขนาดมีคนเขียนข่าวโจมตีว่า ปลื้มขับรถสปอร์ต ผมเลยเขียนบอกในเฟซบุ๊กเลยว่า มาดูสิ มาดูเลย ผมก็ไม่เคยจะลบรูปอะไรอยู่แล้วนะ ผมถือคติว่า ถ้าผมทำอะไรผิด พ่อผมทำอะไรผิด ผมจะไม่กล้าออกจากบ้าน ซึ่งเหตุการณ์อย่างนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ผมอาจจะเคยทำผิดในเรื่องส่วนตัว แต่ผมไม่เคยทำผิดต่อสังคม ดังนั้น เรื่องรถของผมถึงไม่รู้สึกผิด เพราะว่าผมภูมิใจ
ผมมีความฝันตั้งแต่เด็ก ว่าอยากมีรถเป็นของตัวเอง และรถที่จะมีก็ไม่ใช่รถที่อยู่ๆ จะซื้อมาขับ แต่ต้องเลือกรถที่อยากได้ที่สุด ผมเลยเริ่มเก็บเงินเองตั้งแต่อยู่ ม.3 ทำงานพิเศษช่วงวันเสาร์อาทิตย์ และช่วงปิดเทอม ไปขายของ และทำงานที่สวนสัตว์ ผมทำงานไปจนถึงมัธยมปลาย ตอนนั้นตู้สติกเกอร์ดังมาก เด็กต้องถ่ายรูปสติกเกอร์ ผมก็ไปทำ เอาตู้สติ๊กเกอร์ไปวางตามห้างสรรพสินค้า อันนี้เป็นจุดแรกที่ทำแล้วได้เงินเยอะ
หลังจากนั้น ผมก็เปลี่ยนไปทำร้านอาหารกับเพื่อนๆ พี่ๆ ผมเก็บเงินมาเรื่อย จนกระทั่งตอนอยู่มหาวิทยาลัยปี 4 ผมก็สามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เพื่อจะมาดาวน์รถที่ผมชอบได้ ซึ่งเป็นรถมือสองของเต็นท์รุ่นพี่ ทุกวันนี้ผมยังผ่อนอ้วกแตกอยู่เลยครับ (หัวเราะ) แต่ผมอยากได้ มันเป็นความสุขของผม
พ่อผมเป็นคนสมถะ ผมก็มีความสมถะของผม แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างผมต้องเหมือนพ่อ เพราะผมมีความชอบของผม และผมไม่เคยอายอยู่แล้ว ผมพร้อมจะอวดรถของผม เพราะผมซื้อมาด้วยเงินของผมเอง ถ้ามีใครโจมตี ผมจะบอกตลอดเลยว่า มาดูได้เลย และเรื่องของผมก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ หลายคนเก็บเงิน เวลาอยากจะได้อะไรสักอย่าง”
:: มีคนรักย่อมมีคนเกลียด
ด้วยความเป็นทายาทนักการเมือง ปลื้มจึงถูกจับจ้องและเป็นเป้าถูกโจมตีตั้งแต่เด็ก เมื่อมีคนรัก ย่อมมีคนเกลียด ซึ่งเขาบอกว่า เจอมาเยอะจนเป็นความเคยชิน
“เรื่องมีคนเกลียด โอ้ยเยอะแยะครับ แต่จะมีมากช่วงเลือกตั้ง ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นผู้ใหญ่ที่ผมไม่รู้จัก เข้ามาทำแย่ๆ ใส่บ้าง โทรศัพท์ ส่งจดหมาย ส่งข้อความมาข่มขู่ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียส มันเป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมือง ซึ่งบางครั้งก็จ้างมาทำให้ผมเสียขวัญเล่นก็มี แต่ผมยังไม่เคยเจอใครเข้ามาทำร้าย และผมก็ไม่กลัวด้วย เพราะผมถือว่าผมไม่ได้สร้างศัตรูกับใครในเรื่องการใช้กำลัง ผมไม่ได้สร้างความเคียดแค้นให้ใคร ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาเหตุผลอะไรไปกลัวคนโรคจิตที่จ้องจะทำให้เราประสาทแดกเล่น
เรื่องนี้ผมชินแล้ว ผมถือว่าคนพวกนี้เป็นหนึ่งในร้อยก็แล้วกัน อีก 99 คน เจอผมแล้วแสดงออกว่าชอบผม รักพ่อผม รักครอบครัวผม ผมก็มองว่าแฟร์นะ ผมเดินมาถูกทางแล้ว หรืออย่างมีน้องๆ มาบอกผมว่า ยึดเราเป็นไอดอล ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ”
:: ไอดอลของปลื้ม
“พ่อผมครับ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เอาพ่อเป็นไอดอล แล้วจะเอาใครเป็นไอดอลล่ะ เราต้องมองคนใกล้ตัวเราก่อนสิ ที่เรามาถึงจุดนี้ เป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ก็เพราะคนในครอบครัวผม คนอื่นก็มีครับ หลายคนด้วย ผมมองว่าเราไม่จำเป็นต้องมีไอดอลแค่คนเดียว อย่างเช่น ท่าน ว.วชิรเมธี ก็ถือเป็นไอดอลของผม ท่านมีความคิดที่สุดยอดมากและใช้ได้จริง เคยนิมนต์ท่านมาเทศน์ออกรายการ VRZO ด้วยครับ”
:: อนาคตกับงานการเมือง
ปลื้ม บอกว่า หลังจากรายการ VRZO ประสบความสำเร็จ มีหลายคนชวนเขาไปเป็นพิธีกรรายการอื่นๆ แต่เขาปฏิเสธ เพราะสาเหตุที่เขาทำรายการนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะอยากจะเข้าวงการบันเทิง แต่ทำเพื่อวัยรุ่นมากกว่า สำหรับสิ่งที่เขาอยากทำในอนาคตก็คือการเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยการทำงานการเมือง
“ผมรักรัฐศาสตร์ ผมอยากทำงานด้านรัฐศาสตร์ แต่ผมเกลียดการเมือง ผมไม่ได้อยากเล่นการเมือง เล่นการเมืองคือการทำให้นักการเมืองมีความสุข มีผลประโยชน์ เป็นการใช้หลักจิตวิทยา เพื่อทำให้เราหรือกลุ่มของเราเจริญงอกงาม ก้าวหน้าทางด้านอาชีพ
ถ้าเลือกได้ผมอยากทำงานในกระทรวงที่มีจุดบกพร่องเยอะ อย่างกระทรวงศึกษาธิการ หรือกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นกระทรวงที่ได้เงินสนับสนุนน้อยที่สุด (หัวเราะ) ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เด็กคืออนาคตของชาติ ผมไม่หวังให้คนรุ่นผมสบายหรอก มันไม่ทันแล้ว เพราะนักการเมืองรุ่นเก่าที่ทุเรศๆ ยังอยู่กันเต็มเลย ผมอยากปลูกฝังให้เด็กคิดได้ถึงระบบที่มันควรจะเป็น คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อย่างน้อยให้การศึกษาของไทยเจริญถึงระดับหนึ่ง เพื่อให้อนาคตเราดีขึ้น
ส่วนเรื่องวัฒนธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากทำ เพราะผมว่าตอนนี้วัฒนธรรมไทยเริ่มอ่อนแอ ผมไม่อยากให้ประเทศเราเป็นเหมือนประเทศอื่นๆ ที่วัฒนธรรมตายแล้ว ผมคิดว่าสองสิ่งนี้สำคัญกับประเทศชาติมากนะ”
.......................................
ที่มา FLASH GUY ฉบับ 229 โดย ประวิชญา สุวรรณกุล