xs
xsm
sm
md
lg

“คุณอดัม” ลูกไม้ใต้ต้น "ท่านมุ้ย"?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คลุกคลีกับกองถ่ายหนังมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะบินไปร่ำเรียนวิชาการเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ที่ออสเตรเลีย รวมทั้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาหลากหลายอาชีพ ทั้ง ผู้กำกับ, เจ้าของ - พิธีกรรายการอินเทอร์เน็ตทีวี, วิทยากรพิเศษ, จัดรายการวิทยุ วันนี้ "คุณอดัม“มร.ว. เฉลิมชาตรี ยุคล พร้อมแล้วกับการรับหน้าที่กำกับภาพยนตร์เต็มตัวในหนังเรื่องของของตนเอง

"นัดคุย" ขอพาไปรู้จักกับแนวความคิด รวมถึงหนัง "ตำรวจปืนโหด" พร้อมกับอีกหนึ่งบทบาทในฐานะการเป็นทายาทของ "ท่านมุ้ย" หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ของเขาคนนี้


“กับหนังเรื่องแรกก็เข้าไปคุยกับเสี่ยเจียง(สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ)เอง บอกลุงเจียงครับ ผมอยากทำหนัง เขาก็บอกเรื่องไรวะ ก็ให้แกอ่านบท พอแกอ่านเสร็จก็บอกโอเค ลื้อไปทำมา ก็ง่ายๆ ครับ ผมกับลุงเจียงเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เขาเห็นผมมาตั้งแต่เด็กๆ ท่านก็เอ็นดูผมเป็นลูกหลานคนนึง"

"กับความรู้สึกเป็นผู้กำกับครั้งแรกก็ปกตินะ ผมว่าไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนก็เหนื่อยกันหมด ผมว่าไม่ว่าจะเป็นกรรมกรแบกหามเหล็กหรือผู้บริหารทุกคนเหนื่อยเท่ากันหมด ทุกคนทำงานภายใต้เวลา24ชั่วโมง ผมทำมาหมดแล้วทุกตำแหน่งในวงการหนังผมว่าไม่แตกต่างกันครับ ทุกคนทำงานหนักหมด แม้ครั้งนี้ผมจะขึ้นเป็นผู้กำกับครั้งแรกผมก็ต้องเหนื่อย ครั้งที่สองที่สามหรือครั้งที่ยี่สิบผมว่าผมก็ยังต้องเหนื่อยอย่างนี้เท่าเดิม ผมเลยมองว่ามันปกติ"

เลือกแนวแอ็กชั่นดราม่าใน "ตำรวจปืนโหด" เหมือนกับจะตามรอย "มือปืน" ในปี พ.ศ.2526 ของคุณพ่อ?
"เลือกทำแนวแอ็กชั่นดราม่าเพราะผมอยากทำสิ่งที่ผมชอบในวัยเด็ก ผมชอบดูหนังแอ็กชั่นมาตั้งแต่เด็กๆ ผมรู้สึกรักและโตมากับมัน กับเรื่องนี้เรียกว่าได้เห็นอะไรเก่าๆ ดีกว่าครับ ทำไมต้องแหวกคอกเห็นอะไรใหม่ๆ ด้วย ผมบอกเลยว่างานผมพยายามหาอะไรที่มันเก่าๆ หนังแฟนฉันได้เงินครั้งแรกในโลกโดยที่ไม่ได้พูดถึงอะไรใหม่เลย พูดถึงแต่สิ่งเก่าๆ"

"เราพยายามมองหาสิ่งเรียบง่ายแล้วเล่ามันด้วยความตั้งใจในมุมมองที่เขาพยายามมอง หนังผมไม่ได้หาอะไรใหม่ๆ แต่หามุมมองที่เหมาะและลงตัวกับตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง ถ้าผมมัวแต่ไปแสวงหาอะไรใหม่ๆแล้วลืมมองอะไรที่มันใช่มันก็คงไม่ถูกต้อง ผมอยากทำหนังที่ผมรู้สึกสนุกไม่ได้ทำหนังเพื่อจะให้มองว่ามันดูใหม่ ผมพยายามทำหนังแบบเก่าๆ แต่เอามาเล่าในเวลาปัจจุบัน"

ด้วยวัยเพียง 27 ปี หลายคนเลยมักจะมองว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรง?
"ผมมองว่าผู้กำกับเป็นอาชีพนึงนะครับ ต้องเลิกคิดเรื่องของไฟแรง ผมว่าการทำงานกำกับหนัง หนึ่งต้องเลิกติสต์แตก ต้องเลิกใช้ความไฟแรงเป็นตัวนำ ต้องใช้คำว่าอาชีพเป็นตัวนำ ผู้กำกับเป็นอาชีพเหมือนคนส่งไปรษณีย์ เขาต้องมีไฟแรงทุกวันไปส่งไปรษณีย์รึเปล่าล่ะ มันก็ไม่ใช่นะ แต่เขามีความรับผิดชอบทุกๆ วันในการไปส่งไปรษณีย์ ทำไมผู้กำกับไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในฐานะผู้กำกับทำไมต้องใช้ไฟทำงาน"

"ถ้าวันนึงฝนตกแล้วไฟมอดงานจะเป็นยังไงครับ ทีมงานคนอื่นๆ ก็เดือดร้อนสิ เราต้องทำงานเป็นอาชีพและทำงานอย่างมืออาชีพนั่นคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ ผมเป็นผู้กำกับอายุน้อยที่สุดก็ว่าได้ อายุแค่ 27 ปี ฉะนั้นผมต้องทำงานอย่างมืออาชีพเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ต้องมีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย ทำงานหนัก ผู้กำกับควรเลิกอารมณ์ติสต์ครับ ศิลปะถูกสอดแทรกลงไปในงานที่เราทำ แต่การทำงานคือความรับผิดชอบครับ"

คุณพ่อได้ช่วยเหลือหรือแนะนำอะไรบ้างมั้ย?
"เรื่องนี้ท่านพ่อไม่ได้ช่วยอะไรครับ ท่านพ่อก็ยุ่งมากของท่าน เอาจริงๆ เรื่องนี้ก็มีคนช่วยเยอะมาก อย่างท่านพ่อเองถ้าจะช่วยคงเป็นเรื่องของความคิดที่ปลูกฝังผมมาตั้งแต่เด็กๆ พอผมมาทำหนังของตัวเองก็นำความคิดของท่านพ่อมาใช้ในหนังของผม ท่านพ่อจะมีความคิดที่เป็นตรรกะที่ผู้กำกับไทยไม่มีความรู้มาก่อน ท่านพ่อก็จะมีอะไรที่เหนือชั้นมาก เวลาที่ท่านทำงานท่านก็จะเรียกผมและลูกน้องคนอื่นๆ ของท่านมาสอน สอนในหน้างานเลย แต่ท่านก็ไม่เคยสร้างกรอบว่าจะต้องทำเช่นนี้เช่นนั้น"

"นอกจากนั้นก็มีอาจารย์อีกหลายๆ คนมาช่วย เขาช่วยเพราะเขาเห็นผมมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่เคยร่วมงานกับท่านพ่ออยู่แล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้กำกับในประเทศไทยเห็นผมมาตั้งแต่อนุบาล บางท่านเห็นผมตั้งแต่ยังเป็นทารก เพราะฉะนั้นทุกคนมองผมเห็นผมมาตลอด พอมีงานเขาก็มาช่วย ผู้ใหญ่ในวงการใจดีกับผมเสมอ ทุกคนมองว่าผมเป็นเด็กคนนึง ทุกคนรู้ว่าผมทำหนังไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือหวังเอากำไรอะไร พอเขารู้อย่างนี้เมื่อเขามีโอกาสเขาก็ยินดีที่จะมาช่วย ทุกคนให้คำปรึกษาดีๆ ตลอดทำให้ปัญหาต่างๆ ผ่านพ้นไปได้"

มีวิธีการทำงานอะไรที่เรารู้สึกว่าเหมือนหรือต่างไปจากคุณพ่อบ้าง?
"การทำงานของผมกับท่านพ่อแตกต่างกันไหมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่เวลาที่เราดูหนังเราก็ชอบดูเรื่องเดียวกัน ผมว่าผู้กำกับส่วนใหญ่ก็มีความชอบความคล้ายไม่ต่างกันมาก ทุกคนรักหนังเหมือนกัน ถ้าไม่รักหนังทำหนังไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วการทำงานหนังต้องเจอเรื่องติ๊งต๊องทุกวัน ไปทำอาชีพอื่นสามารถทำรายได้ได้มากกว่า ไปทำอ็อกเหล็กทองเหลือง ขายเสื้อผ้าคนอ้วนทางอินเตอร์เน็ตยังมีรายได้มากกว่าทำหนังเลย ผู้กำกับคนมองว่าเท่ห์ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นงานที่ทำอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา ต้องทนเสียงบ่นเสียงด่า จิปาถะต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา"

ไม่ปฏิเสธหากคนจะมองว่านามสกุล "ยุคล" จะทำให้ตนเองมีโอกาสมากว่าคนอื่นๆ
"ก็ถือเป็นโชคดีของผมครับที่ผมมีภาษีดีกว่าคนอื่นๆ เขาเห็นผมมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนเห็นผมเหมือนลูกเหมือนหลาน แม้กระทั้งลุงเจียงเองก็สอนผมมาตั้งแต่เด็กๆ จนถึงตอนนี้ เขาจะสอนว่าการทำหนังที่ดีจะทำยังไงในด้านของธุรกิจ แล้วลุงไม่หวงวิชาความรู้เลย สอนผมหมดเปลือก เรียกว่าทุกคนช่วยสอนผมหมดครับ”

“หลายคนถามว่ากดดันไหมทำงานภายใต้ชื่อว่าลูกท่านมุ้ยผมบอกเลยว่าผมไม่ได้สนเรื่องนั้น หน้าที่ของผมคือทำครับ คนจะจับตาดูหรือว่าอะไรผมไม่ได้สนใจ ผมไม่ชอบมองอะไรในสิ่งที่ผมเอื้อมไม่ถึง ผมองแต่เรื่องปัจจุบันรอบตัวผมเท่านั้น แค่นี้ผมก็ปวดหัวแล้ว ทำไมผมจะต้องไปมองสิ่งที่คนอื่นคาดหวังในตัวผมอีก มันเป็นเรื่องที่จับต้องไมได้"

"สิ่งที่ผมจับต้องได้คือตอนนี้ผมมีทุนในการทำหนังอยู่ ผมจะใช้มันยังไงให้คุ้มค่าให้หนังออกมาดี นี่คือสิ่งที่ผมจับต้องได้ ซึ่งผมต้องโฟกัสกับมัน ผมจะไม่มองเรื่องของความคาดหวัง การยอมรับ ผมมองตัวงาน ผมมีความสุขในการทำงานไหม แล้วเราสามรถทำให้งานเดินหน้าไปได้อย่างไรมากกว่า"

มองว่าตัวเองจะไปได้ไกลขนาดไหนในอาชีพผู้กำกับ?
"ก็ทำไปเรื่อยๆ ครับ มีเรื่องอะไรก็เอามาเล่า ผมมีความสุขกับการได้เล่าเรื่อง"







กำลังโหลดความคิดเห็น