Facebook : teelao1979@hotmail.com
ในหนังสือ “ฉากญี่ปุ่น” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้บรรยายสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศของดินแดนอาทิตย์อุทัย หลังพ่ายแพ้สงครามโลกไว้ว่า “การเศรษฐกิจในญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะญี่ปุ่นได้ถูกทำลายทางเศรษฐกิจจนเกือบสิ้นเชิงในสงครามโลกครั้งที่แล้ว เมื่อเสร็จสงคราม ญี่ปุ่นได้ตั้งตัวขึ้นใหม่จากเถ้าถ่านแห่งการสงคราม แต่ครั้นแล้วญี่ปุ่นก็สามารถที่จะกอบกู้ฐานะทางเศรษฐกิจของคนให้กลับฟื้นดีเหมือนเก่า และยิ่งกว่านั้นยังได้ก้าวหน้าเจริญออกไปกว่าเก่าอย่างประมาณมิได้”
จะว่าไป ถ้อยคำดังกล่าวนี้สามารถอธิบายคุณลักษณะความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน เพราะถึงจะเป็นผู้แพ้อย่างราบคาบในสงคราม แต่ญี่ปุ่นก็ไม่ยอมจำนนในบทบาทผู้ปราชัย และพยายามอย่างถึงที่สุดในการกอบกู้ฟูฟื้นตัวเองขึ้นมา ไม่เพียงในเชิงสังคม การเมือง หรือเศรษฐกิจ แม้กระทั่งในด้านจิตวิญญาณซึ่งดูเหมือนจะล่มสลายไปพร้อมกับควันไฟแห่งสงครามโลก ก็เป็นสิ่งที่สมควรต้องได้รับการ “ยก” ให้ฟื้นคืนจากความตกต่ำเช่นเดียวกัน
ความคิดฝัน ความมุ่งมั่น ที่จะก่อร่างสร้างชาติ สร้างฐานะของตัวเองขึ้นมาใหม่ กลายเป็นกระแสหนึ่งซึ่งล่องไหลอยู่ในสายธารสังคมญี่ปุ่นตอนนั้น ภาพยนตร์ยอดนิยมอย่าง Always : Sunset on the Third Street คือตัวอย่างอันฉายชัดให้เราเห็นภาพของคนญี่ปุ่นที่คุกรุ่นด้วยแรงฝันบันดาลใจ ตึกโตเกียวทาวเวอร์สูงสง่าทอแสงสว่างไสว เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองอันเกิดขึ้นตามมาจากความมุ่งมั่นใฝ่ฝันนั้น
กล่าวสั้นๆ ก็คือว่า วิกฤติชาติหรือบาดแผลอันเหวอะหวะจากการเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกนั้น มีส่วนอย่างสำคัญในการผลักดันให้สังคมญี่ปุ่นเจริญรุดหน้าไปอีกหลายเท่าตัว ความเจ็บปวดคือพลังที่หล่อหลอมให้ผู้คนทะเยอทะยานเพื่อพลิกผันตัวเองไปสู่คืนวันที่ดีกว่าอีกครั้งหนึ่ง ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมจำนน
แน่นอนครับว่า ซีรีย์ญี่ปุ่นที่ผมหยิบยกมานำเสนอในครั้งนี้ ก็สะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณและหัวจิตหัวใจเช่นนั้นของคนญี่ปุ่นได้อย่างถ่องแท้ชัดเจน Nankyoku Tairiku หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Antarctica : The Story of Dogs and Men Who Challenged the Field of God เป็นผลงานฉลองครบรอบ 60 ปีของสถานี TBS ญี่ปุ่น และถือว่าทุ่มทุนสร้างสูงสุดตลอดกาล นำแสดงโดย “ทาคุยะ คิมูระ” พระเอกหมายเลขหนึ่งซึ่งจะต้องแบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ของตัวละครในเรื่อง
ตัวเนื้อหานั้นได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีหลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่นานาชาติกำลังตื่นตัวเรื่องการเดินทางไปสำรวจดินแดนขั้วโลกใต้ที่ไม่เคยมีใครเข้าไปถึง และแม้ว่าจะเพิ่งบาดเจ็บจากสงครามมาหมาดๆ แต่ญี่ปุ่นกลับเป็นชาติเดียวที่มีความตั้งใจจะเข้าร่วมในการสำรวจนี้ โดยมีนักธรณีวิทยาอย่าง “คุระโมจิ” (ทาคุยะ คิมูระ) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพสังคมที่เพิ่งล่มสลายจากสงคราม นำมาซึ่งอุปสรรคนานัปการที่ทีมสำรวจจะต้องเผชิญ ดังนั้น กว่าจะได้เดินทาง กว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอย ก็เล่นเอาทีมงานเกือบท้อ ต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือด้านงบประมาณจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งในตอนนั้นพากันมองว่า ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ซึ่งก็เข้าใจได้ไม่ยาก เนื่องจากบ้านเมืองที่ย่อยยับจากสงคราม ยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมากหลาย อย่างไรก็ตาม สำหรับคุระโมจิที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ภารกิจนี้ลุล่วง เขามองว่าการไปสำรวจแอนตาร์กติก มันไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ได้ออกไปท่องโลกพบเห็นสิ่งแปลกใหม่ แต่การฝ่าฟันความหนาวอย่างหฤโหดเพื่อนำธงญี่ปุ่นไปปักลงยังดินแดนแอนตาร์กติก จะเป็นทั้งการกอบกู้ความรู้สึกมีศักดิ์ศรีและมีความภาคภูมิให้ฟื้นคืนมา รวมทั้งยืนยันถึงคุณค่าของคนญี่ปุ่นให้ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกด้วยว่าคนญี่ปุ่นมีศักยภาพไม่น้อยหน้าไปกว่าคนชาติอื่นๆ
แต่ไม่ว่าจะยากหรือง่ายอย่างไร สุดท้ายแล้ว ภารกิจนี้ก็ได้เดินหน้า สมาชิก 11 ชีวิตของทีมสำรวจวิจัยเดินทางสู่ขั้วโลกใต้ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม พร้อมกับสุนัขลากเลื่อน 19 ตัว และสุนัขเหล่านี้นี่เองที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของหนังที่ต้องบอกเลยครับว่า ถ้าใครรักสุนัขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นี่คือซีรีย์สำหรับคุณ!! เพราะตลอดภารกิจดังกล่าว เราจะได้เห็นทั้งวีรกรรมความแกร่งและความน่ารักของสุนัข ไม่ต่างไปจากวีรกรรมของม้าศึกในหนังชิงออสการ์เรื่อง War Horse ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก
กล่าวในภาพรวม แม้จะรู้สึกว่าวิธีการนำเสนอของซีรีย์ดูจะจงใจ “บิลท์” อยู่สักหน่อยในหลายฉากหลายตอน แต่คิดว่านั่นคงเป็นเพราะเป้าหมายหลักของละครมุ่งที่จะสะท้อนให้คนดูเกิดความรู้สึกซาบซึ้งตราตรึงและดึงพลังงานความฝันอันดีงามของตัวเองออกมาให้ได้ ดนตรีประกอบที่โหมประโคมแบบหวังผลเพื่อให้เกิดความปีติฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด ก็หนุนส่งเนื้อหาของซีรี่ย์ได้อย่างดีเยี่ยม ราวกับเสียงปี่สก็อตต์ในหนัง Brave Heart ที่ปลุกขวัญกำลังใจของเหล่าทหารให้ห้าวหาญฮึกเหิม ไม่ว่าหนทางแห่งชัยชนะจะน้อยเพียงใดก็ตาม
และจะว่าไป ทีมงานสำรวจวิจัยในเรื่องนี้ ก็ไม่ต่างไปจากทหารสก็อตแลนด์ในหนัง Brave Heart สักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะไม่ว่าจะมองในเชิง “ต้นทุน” ก็ไม่ถือว่ามาก แถมต้องลำบากลำบนดิ้นรนหาทุนรอนเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่า สภาพดินฟ้าอากาศที่จะต้องเผชิญในสถานที่จริง ก็แทบไม่ต่างอะไรกันเลยกับสมรภูมิรบที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะยืนหยัดอยู่ได้สักกี่น้ำ
ความยอดเยี่ยมของ Nankyoku Tairiku จึงไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นการเชิดชูความฝัน การทำให้คนดูผู้ชมรู้สึกอย่างลึกซึ้งถึงพลังของความฝันและความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการทำสิ่งดีๆ ผ่านเรื่องราวของคนตัวเล็กๆ แต่มีฝันอันยิ่งใหญ่และไม่ย่อท้อต่อการทำฝันนั้นให้เป็นจริง ผมเชื่อนะครับว่า ใครที่มีความฝันบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ ซีรีย์เรื่องนี้จะทำให้คุณคิดถึงความฝันนั้นและถึงขั้นลุกขึ้นมาลงมือทำ
และความจริง จากวันนั้นถึงวันนี้ วันเวลาผ่านมา 50 กว่าปี เรื่องราวของคุระโมจิและทีมงานของเขา ยังคงถูกเล่าขานในฐานะผู้ทำคุณให้กับชาติบ้านเมือง ไม่ใช่แค่ในเชิงชื่อเสียงของญี่ปุ่นที่ขจรขจายไปทั่วโลก หากแต่สำหรับคนญี่ปุ่นเอง หลังจากจมจ่อมอยู่กับความสูญเสียหดหู่สิ้นหวังจากพิษของสงคราม เรื่องราวนี้ก็เปรียบเสมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งซึ่งทำให้หัวใจของพวกเขาฟูฟ่องพองโตขึ้นมาด้วยความปลาบปลื้ม พลังและความหวังของคนทั้งชาติถูกปลุกให้ตื่น เช่นเดียวกับเรื่องราวของเหล่าสุนัขลากเลื่อนที่เติมเต็มความสุขให้ผู้คนมาตราบจนทุกวันนี้ และถ้าเข้าใจไม่ผิด ญี่ปุ่นถึงกับสร้างอนุสาวรีย์รำลึกวีรกรรมของสุนัขเหล่านั้นด้วย
สุดท้าย นอกเหนือไปจากการเชิดชูความฝัน ทำให้คนดูรู้สึกถึงพลังแห่งความมุ่งมั่นในด้านดีงามแล้ว ซีรีย์เรื่องนี้ยังได้แฝงประเด็นเกี่ยวกับคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไว้อย่างแยบยล สำหรับคนที่ได้ดู จะพบว่า ตลอดทั้งซีรีย์จะมีเสียงบรรยายอยู่เป็นระยะๆ และตอนใกล้จะจบ เสียงบรรยายนั้นเน้นย้ำคำว่า “อิคิรุ” (Ikiru) ซ้ำๆ หลายรอบ ราวกับจะตอกย้ำความหมายบางอย่าง มันทำให้ผมนึกไปถึงหนังเก่าคลาสสิกของปรมาจารย์ภาพยนตร์อย่าง “อากิระ คุโรซาว่า” เรื่อง Ikiru อันถือเป็นหนึ่งสุดยอดหนังดีในดวงใจนักดูหนังทั่วโลก โดยในเรื่องนั้น คุโรซาว่าได้กล่าวถึงตัวละครตัวหนึ่งซึ่งรับราชการมาจนถึงวัยกลางคนแล้วพบว่าตนเป็นโรคมะเร็ง เรื่องราวถัดจากนี้ นอกจากความว้าวุ่นกระวนกระวายใจกับการที่ได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายจนนำไปสู่การใช้ชีวิตแบบคนซวนเซเสียหลัก สำมะเลเทเมา ก็ยังถือเป็นจุดเปลี่ยนให้เขากลับมาตั้งคำถามต่อคุณค่าความหมายของการมีชีวิตด้วยเช่นกัน
ในความหมายตรงตัว “อิคิรุ” นั้นแปลว่า “มีชีวิตอยู่” อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาบริบทของเรื่องราว ทั้งในหนังเรื่องดังกล่าวของคุโรซาว่าและในซีรีย์ชุดนี้ เราจะพบว่า เนื้อหาของคำว่า “มีชีวิตอยู่” หรือ Ikiru ซึ่งทั้งหนังและซีรีย์พยายามบอกกล่าวกับคนดูนั้น กินขอบเขตความหมายกว้างไกลมากไปกว่าเพียงแค่การมีลมหายใจหรือร่างกายที่เคลื่อนไหวได้ไปวันๆ
แล้วอะไรคือความหมายที่แท้จริง ของ Ikiru?
เราอาจจะมีคำตอบอันหลากหลายในแบบของตัวเอง แต่สำหรับซีรีย์เรื่องนี้ ใช่หรือไม่ว่า ความคิดความฝันและความมุ่งมั่นที่จะบรรลุในฝันนั้น คือแก่นสารที่จะเข้ามาช่วยเติมเติมคุณค่าของคำว่า Ikiru ให้มีความงามสมบูรณ์?