แม้การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 14 หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า "บอลยูโร 2012" จะเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายกันไปแล้ว ทว่าศึกเรื่องการถ่ายทอดสดฟุตบอลรายการนี้ระหว่าง "จีเอ็มเอ็ม แซท" กับ "ทรู วิชั่นส์" ที่เปิดฉากกันมาตั้งแต่ก่อนบอลเตะนั้น ถึงตรงนี้ต้องบอกว่ายังไม่จบครับ
จากรูปเกมที่ผ่านไป แม้ช่วงต้นๆ ดูเหมือนว่าจีเอ็มเอ็ม แซท จะดูได้เปรียบทรูฯ อยู่นิดๆ ในฐานะเจ้าของสิทธิ์ แต่กระนั้นโดยรวมต้องบอกว่าสะบักสะบอมทั้งคู่
แต่ถึงตอนนี้ที่เป็นช่วงท้ายเกม กลายเป็นแกรมมี่ฯ ในฐานะเจ้าของสิทธิ์เสียด้วยซ้ำไปที่ดูจะเจ็บตัวมากกว่าไปแล้ว
ล่าสุดกับข่าวที่ว่ากันว่าแกรมมี่ฯ ได้ส่งคนไป(พยายาม)เจรจากับทางยูฟ่าฯ (อีกครั้ง) เพื่อขอให้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสัญญารายละเอียดของการถ่ายทอดสด นัยว่าก็เพื่อให้คนที่รับสัญญาณดาวเทียมไม่ว่าจะกล่องไหนๆ ก็ตาม รวมไปถึงสมาชิกทรูฯ สามารถชมฟุตบอลรายการนี้ได้ งานนี้แทนที่หลายคนจะมองว่าเป็น "ความดี-ความชอบ" กลายเป็นว่าจะยิ่งตอกย้ำให้คนรู้สึกไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก
ผิวเผินกรณีที่เกิดขึ้นอาจจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของแกรมมี่ฯ กับ ทรูฯ ขณะที่หลายคนโดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบดูบอลอาจจะรู้สึก "รำคาญ" หากแต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้รำคาญไม่ได้ครับ
เพราะคนที่ต้องรับผลกระทบไปเต็มๆ ก็คือคนดูทีวีทั่วๆ ไปอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละ
ลองถอยออกมามองในฐานะ "ผู้บริโภค" ที่ไม่ได้เชียร์ทีมใดทีมหนึ่งเป็นพิเศษก็ต้องบอกว่าได้เห็นมุมมองอะไรหลายต่อหลายอย่างเลยทีเดียว
โดยเฉพาะกับบทสรุปที่ว่า ไม่มี(นัก)ธุรกิจ(หน้า)ไหน(สักคน)ที่มันจะจริงใจกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง! จริงๆ
ว่าไปแล้ว นอกจากแกรมมี่กับทรูฯ แล้ว บรรดาฟรีทีวีช่องที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลรายการนี้อย่าง ช่อง 3 ช่อง 5 และช่อง 9 เองก็สมควรถูกต่อว่าอยู่เหมือนกัน
เพราะแทนที่จะพากันส่งเสียงเป็นสัญญาณในการช่วยปกป้องสิทธิ์ของคนดูบ้าง แต่นี่พวกกลับพากันเงียบนิ่งเฉย กินนิ่มๆ จากผลประโยชน์ที่ได้รับมาซะอย่างนั้น
เข้าเรื่องที่อยากจะบอกเล่ากันดีกว่า
ขอถามท่านผู้อ่านหน่อยครับว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีรายการทีวีรายการไหนในบ้านเราบ้างมั้ยครับที่ท่านรู้สึกว่าดูได้ทุกเพศทุกวัย เนื้อหาไม่มีพิษมีภัย ดูกันได้ไม่มีเบื่อ?
สำหรับผม หนึ่งในคำตอบของคำถามนี้ก็คือรายการที่มีชื่อว่า "ทุ่งแสงตะวัน" ครับ
เพิ่งจะมีการฉลองครบรอบ 15 ขวบไปไม่นาน มาวันนี้ทุ่งแสงตะวันมีอายุครบ 20 ปีเต็มเป็นที่เรียบร้อย
ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับกับการที่รายการทีวีรายการหนึ่งจะมีอายุยืนยาวนานยืนยงขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาของรายการที่ออกไปในเชิงสารคดี แถมยังเป็นสารคดีที่เกี่ยวกับเด็กซึ่งยากเหลือเกินในการหาโฆษณาอุดหนุนต่างจากรายการบันเทิงวาไรตี้หรือเกมโชว์ทั้งหลาย
เท่านั้นยังไม่พอช่วงเวลาเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่รายการออกอากาศนั้นก็หาได้เป็นช่วงเวลาไพร์มไทม์แต่อย่างใด
แต่ทุ่งแสงตะวันก็ยังอยู่ได้ และผมก็เชื่อว่าจะอยู่ได้อีกนานอย่างแน่นอน
ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ช่อง 3 ในปี 2535 ทุ่งแสงตะวัน เคยออกอากาศผ่านช่อง 11 มาก่อนครับ ซึ่งแน่นอนว่าบุคคลสำคัญที่ทำให้รายการนี้อยู่ได้อย่างมั่นคงเป็นรายการโปรดของใครหลายต่อหลายคนก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่ต้องบอกว่าสวยทั้งกาย สวยทั้งใจ แถมน้ำเสียงก็สวยอีกต่างหากอย่าง "พี่นก นิรมล เมธีสุวกุล" หนึ่งในคณะกรรม บริษัท ป่าใหญ่ครีเอชั่น จำกัด ผู้ผลิตรายการทุ่งแสงตะวันรวมถึงรับหน้าที่เป็นพิธีกรด้วยนั่นเอง
“พี่ไม่อยากให้เราเฟ้อ ยิ่งใช้เงินเยอะ เราก็ต้องทำงานเยอะเพื่อสนองความต้องการที่มากขึ้น พี่ว่ามันเหนื่อย” เป็นคำพูดถึงแนวทางในการทำงานที่ทำให้รายการทุ่งแสงตะวันอยู่ได้ท่ามกลางการแข่งขันกันที่ค่อนข้างจะดุเดือดของแต่ละช่องแต่ละสถานีที่พี่นกเคยให้สัมภาษณ์ผ่าน www.tv4kids.org เมื่อครั้งที่รายการทุ่งแสงตะวันออกอากาศครบรอบ 15 ปี
แน่นอนว่าแนวทางดังกล่าวจะตีความไปอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากสองคำอย่าง "พอเพียง"
ผมเองดูรายการนี้มาตั้งแต่เด็กๆ อาจจะไม่ถึงขนาดเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่จะต้องลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อติดตามดูกันทุกๆ วัน แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ดูสิ่งหนึ่งที่ได้รับเหมือนๆ กันไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาร่วม 20 ปีเข้าไปแล้วก็คือความรู้สึกสบายตา สบายใจอย่างบอกไม่ถูกต่อเรื่องต่างๆ ที่ถูกนำเสนอผ่านกิจกรรมของเหล่าเด็กๆ ทั้งหลาย
ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะผมเองก็เป็นเด็กบ้านนอกครับ เพราะฉะนั้นดูรายการนี้เมื่อไรก็เลยค่อนข้างที่จะอินกับเรื่องราวของเด็กๆ ที่ถูกนำมาเสนอผ่านหน้าจอเป็นพิเศษ
เขียนถึงรายการทุ่งแสงตะวันก็เพราะเขาจะมีงานฉลองครบรอบ 20 ปีในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายนนี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ รัชโยธิน
งานนี้นอกจากคอนเสิร์ต "กว่า...20 ปี ทุ่งแสงตะวัน" ที่ได้ผู้ใหญ่ใจดี ศุ บุญเลี้ยง, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ, พจนาถ พจนาพิทักษ์ มาร่วมสร้างความสุขด้านเสียงเพลงแล้ว ในงานยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นนิทรรรศการ-พิพิธภัณเด็กเล่น, การเล่านิทานประยุกต์ประกอบหนังตะลุง โดยนักเขียน นักเล่านิทาน "บัวไร", การแสดงของเด็กๆ จากโรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจคลองเตย, การออกร้านจากกลุ่มชุมชนเครือข่าย อาทิ กลุ่มคนเฒ่าคนแก่ จ.เชียงราย การจำหน่ายสินค้าที่ได้มาจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่ทางรายการเคยไปถ่ายทำ และอื่นๆ อีกมากมาย
ใครสนใจอยากจะจูงลูกจูงหลานไปร่วมงาน หาซื้อบัตรกันได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ครับ
หรือว่าจะเข้าไปดูรายละเอียดอื่นๆ กันได้ที่ https://www.facebook.com/Tung20
ท้ายสุดหลายคนอาจจะเปรียบเด็กว่าเป็นเสมือนกับผ้าขาว แต่สำหรับผมเวลาดูรายการทุ่งแสงตะวันคราใด ผมกลับมีความรู้สึกว่าเด็กๆ ไม่ใช่ผ้าขาว แต่เด็กคือ "กระจกเงา" ครับ
เป็นกระจกที่สะท้อนให้ผู้ใหญ่อย่างผมเองหรือท่านผู้อ่านเองได้ตระหนักว่า ยิ่งเราโต ยิ่งเรามีอายุมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ความคิดที่บริสุทธิ์ เจตนาเดียงสาที่ไร้ซึ่งมารยาเล่ห์เหลี่ยมก็ยิ่งจืดจางหายไปมากยิ่งขึ้นเท่านั้นโดยที่ราเองก็มิอาจจะทันได้รู้ตัว
ส่วนจะถูกแทนที่ด้วยอะไร ลองส่องกระจกพิจารณากันเองเถิดครับ