xs
xsm
sm
md
lg

ป็อบเท่ๆ แบบ “เจสัน มราซ”/บอน บอระเพ็ด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
เจสัน มราซ
2 ซุปตาร์ชื่อเหมือนผู้โด่งดังแห่งยุคแห่ง 2 วงการบันเทิงโลก อย่าง “เจสัน สเตแฮม”(Jason Statham)จากบู๊ลิ้มภาพยนตร์ และ “เจสัน มราซ(Jason Mraz)จากยุทธจักรดนตรี ล้วนต่างเป็น 2 หนุ่มเท่ที่สาวๆเมื่อเจอตัวเป็นๆแล้วแทบกรี๊ดสลบ

แต่ในความเท่ของทั้งสองก็มีจุดต่างกันอย่างเห็นได้ชัดตรงที่หนึ่งคือโล้นโคตรเท่ ส่วนอีกหนึ่งคือไอ้หนุ่มผมยาวโคตรเท่

สำหรับพ่อโล้นเท่เจสัน สเตแฮม ช่วงนี้มีงานชุกไม่ได้ขาด

ส่วนพ่อหนุ่มผมยาวเท่เจสัน มราซนั้น หมอว่างเว้นจากการออกสตูดิโออัลบั้มไปร่วม 4 ปี หลังอัลบั้มชุดที่แล้ว “We Sing, We Dance, We Steal Things”(ปี ค.ศ.2008) ที่มีเพลงสุดดังอย่าง “I’m Yours” สร้างปรากฏการณ์ถล่มทลาย เป็นจุดระเบิดสำคัญที่ทำให้นักร้องหนุ่มมาดเซอร์คนนี้โด่งดังไปทั่วโลก

มาวันนี้เจสัน มราซกลับมาอีกครั้งกลับอัลบั้ม “Love Is A Four Letter Word” ที่บันทึกเสียงในฮอลลีวูด มี“โจ ชิกคาเรลลี”(Joe Chiccarelli)มาเป็นโปรดิวเซอร์ งานเพลงส่วนใหญ่ใน Love Is A Four Letter Word เจสันแต่งขึ้นในสวนหลังบ้านและชายหาดในช่วงที่เขาใช้ชีวิตนิ่งๆ ครุ่นคิดถึงชีวิตและเรื่องราวความรักในมุมมองที่แตกต่าง รวมถึงได้ทดลองเล่นกีตาร์ในลีลาใหม่ๆอีกด้วย

อัลบั้มนี้บันทึกเสียงที่ฮอลลีวูด มีทั้งหมด 12 บทเพลง เปิดตัวกันด้วย “The Freedom Song” บทเพลงที่ลุค เรย์โนลด์ แต่งให้กับเด็กๆที่บาร์ตัน รูจ หลังเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคททารินาถล่ม เพลงนี้มาในอารมณ์สนุกๆ เน้นความหลากหลายแต่กลมกลืน เพราะผสมกลิ่นเร็กเก้ โซล อาร์แอนด์บีเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกล่อม ภาคดนตรีเด่นด้วยทีมเครื่องเป่าที่เล่นแทรกสอด หยอดส่งได้อย่างรื่นหู พร้อมกันนี้ยังมีคอรัสในอารมณ์อาร์แอนด์บีมาร่วมเติมสีสัน ขณะที่เจสันนั้นร้องเพลงด้วยอารมณ์ Feel Good ดังถ้อยคำที่ตอกย้ำในบทเพลง
ปกหน้าอัลบั้ม Love Is A Four Letter Word
Living In The Moment” เป็นป็อบเท่ๆมีท่วงทำนองติดหูง่ายชวนฟัง อินโทรขึ้นนำด้วยเสียงผิวปากพลิ้วๆคู่ไปกับอะคูสติกกีตาร์ตีคอร์ดสบายๆแต่แน่น โทนดนตรีติดกลิ่นเร็กเก้ชวนให้นึกถึงเพลง “I’m Yours” ในอัลบั้มที่แล้ว

The Woman I Love” นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงป็อบเพราะๆ มีเครื่องสายมาเล่นแบ็คอัพรองพื้น ช่วงโซโลฟังสดใสกับเสียงเปียโนเพราะพลิ้ว

I Won’t Give Up” เพลงที่ตัดมาเป็นซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม ซึ่งเพียงไม่นานก็สามารถขึ้นไปครองอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงดิจิตัลของบิลบอร์ดอย่างไม่ยากเย็น

I Won’t Give Up มาแนวช้าๆหวานซึ้งกรีดใจ ดนตรีเน้นอะคูสติกติดกลิ่นคันทรี ในครึ่งหลังเด่นด้วยเสียงร้องประสาน

5/6” เร่งจังหวะขยับขึ้นมากับดนตรีออกลูกขัดๆ ส่วน “Everything Is Sound (La La La)” เป็นบทเพลงที่เจสันบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากความรักที่เขามีต่อกลุ่มผู้ร้องเพลงในภาษาสันสกฤตที่ชื่อ “Kirtan” ซึ่งเขาอยากแต่งเพลงที่มีบทสวดเพื่อที่จะให้คนฟังได้รู้สึกปลดปล่อย จึงได้นำวลีสรรเสริญพระเจ้า “Hallelujah” มาใส่ในบทเพลงของเขาด้วย

Everything Is Sound (La La La) เป็นอีกหนึ่งเพลงป็อบเท่ๆอวลเสน่ห์ในแบบฉบับเจสัน มราซ เพลงนี้ขึ้นต้นมาด้วยเสียงอะคูสติกกีตาร์เล่นล้อไปกับเสียงร้องพลิ้ว จากนั้นตามมาด้วยภาคดนตรีโจ๊ะๆ มีไลน์เครื่องเป่าสนุกๆมาคอยเติมเป็นสีสันอันชวนฟัง
ปกหลังอัลบั้ม Love Is A Four Letter Word
บทเพลงในครึ่งแรกของอัลบั้มผ่านไป เข้ามาสู่โค้งของช่วงครึ่งหลังที่มีบทเพลงช้าๆเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น “93 Million Miles” บทเพลงแห่งอุดมคติที่ว่าด้วยทุกที่ในโลกล้วนคือบ้านเราทั้งหมด เพลงนี้มาในอารมณ์คันทรี เพราะ และล่องลอย

ส่วน “Frank D. Fixer” นี่คือแทรคกระชับปล่อยมาคั่นอารมณ์เพลงช้าในช่วงครึ่งหลัง เป็นเพลงที่เจสันได้แรงบันดาลใจมาจากคุณปู่ของเขา ช่วงท้ายของเพลงนี้ที่ดนตรีทิ้งช่วงทำท่าเหมือนจะจบ แต่ไม่จบเพราะมีเสียงฮาร์โมนิก้าอันหวานเศร้าโหยหวนมาส่งสานปิดท้าย

จากนั้นถึงคิวของเพลงช้า 2 เพลงติด คือ “Who’s Thinking About You Now?”, “In Your Hands” ซึ่งแต่ละเพลงมีภาคดนตรีที่ฟังแล้วอารมณ์แตกต่างกัน

เพลงแรกออกอารมณ์เศร้า ไลน์เครื่องสายที่เล่นรองรับเป็นแถวสองนั้นช่วยสร้างอารมณ์ดื่มด่ำได้ดีทีเดียว ส่วน“In Your Hands” ออกช้าเนิบล่องลอย

มาถึงอีกหนึ่งบทเพลงป็อบเพราะๆเท่ๆ กับ “Be Honest”(Feat. Inara George) ที่มาในแนวสดใส หวานเพราะละมุน เป็นอะคูสติกบอสซ่าสุดเท่ ติดกลิ่นแจ๊ซบางๆร่วมด้วยเสียงร้องประสานที่แม้จะใส่มาไม่มาก แต่เด่นได้ใจ เพลงนี้ฟังแล้วชวนให้ขยับโยกตัวตามดีแท้

แล้วก็มาถึง “The World As I See It” ที่ขึ้นต้นมาแบบช้าๆเหงาๆ ก่อนจัดแน่นใส่มากับดนตรีโจ๊ะๆจังหวะปานกลาง มีไลน์เครื่องสายเล่นแน่นๆแบ็คอัพรองพื้น ปิดท้ายอัลบั้มได้เท่ไม่หยอก

สำหรับอัลบั้ม Love Is A Four Letter Word ทางของเพลงส่วนใหญ่ถือเป็นการเดินตามรอยความสำเร็จในชุดที่แล้ว มีการใช้เครื่องเป่า เครื่องสายมาช่วยสร้างสีสันไม่ต่างกัน ส่วนที่ดูเด่นออกมาก็คือ เจสันสามารถนำดนตรีในหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็น ป็อบ คันทรี ป็อบร็อก เร็กเก้ โซล อาร์แอนด์บี มาผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืนชวนฟัง บางเพลงมีถึง 3 แนวในเพลงเดียวกัน

อย่างไรก็ตามหากพูดถึงเรื่องของความมัน ความสนุก และความเป็นป็อบ ดูจะเป็นรองชุดที่แล้วอยู่พอสมควร ส่วนที่มีให้ฟังเยอะในชุดนี้ก็คือเพลงช้าๆซึ้งๆ หวานเศร้าอันละมุนละไม

ขณะที่เนื้อหาในชุดนี้ เจสันไม่ได้มุ่งเน้นไปเฉพาะเรื่องราวความรักใสๆของคนหนุ่มสาวๆเท่านั้น แต่เขามองไปกว้างไกลกว่านั้น มองไปถึงความรักที่สวยงามในเชิงอุดมคติ เป็นความรักที่มนุษย์มีให้กับโลก รวมถึงความรักในความเป็นจริงที่มีทั้งผิดหวัง สมหวัง

นอกจากนี้เจสันยังสื่อความหมายอันสวยงามของ A Four Letter Word ผ่านหน้าปกอัลบั้มที่แม้จะดูแสนเรียบง่ายแต่ว่าแฝงความหมายอันลึกซึ้ง กับคำว่า “Love” ที่ใช้รูปทรงเรขาต่างฟอร์ม ต่างสี มาเรียงร้อยเป็นคำว่ารัก ที่เดาได้ไม่ยากว่าเจสันต้องการสื่อถึงอะไร

แต่ประทานโทษ!!! ไอเดียนี้อาจจะใช้ไม่ได้ในสังคมบ้านเรา เพราะคนไทยในยุคนี้ พ.ศ.นี้ หาได้รักกันเหมือนเมื่อครั้งแต่เก่าก่อนไม่

ที่สำคัญคือยิ่งมีกลุ่มคนพยายามออกมาบิดเบือนด้วยการตอกย้ำสร้างวาทกรรม“ปรองดอง”มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความแตกแยกมากขึ้นเท่านั้น
*****************************************

เจสัน มราซ จะมาแสดงคอนเสิร์ตในบ้านเรา ในชื่อ “เจสัน มราซ ทัวร์ อีส อะ โฟว์ เล็ตเตอร์ เวิร์ด ไลฟ์ อิน แบงคอก” วันที่ 16 มิ.ย. 55 ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี บัตรราคา 1,000/ 2,000/ 3,000/ 3,500 และ 4,000 บาท โดยบัตรมีจำหน่ายที่บูธไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา
กำลังโหลดความคิดเห็น