“โจ ธรัช” น้องเขย “จา พนม” เผยเหตุโดน “บุ้งกี๋” ภรรยายอดนักบู๊ทุบหัวเพราะโกรธที่ไปขุดคุ้ยประวัติว่าเป็นหนี้ 140 ล้าน แถมยังโทร.มาเยาะเย้ยด่าขึ้นไอ้-อี บอกพฤติกรรมแปลกๆ ไม่ปกติ ยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด หากไม่มาขอโทษ
เพิ่งจะแต่งงานไปไม่ทันไร ก็มีปัญหาเสียแล้ว สำหรับนักแสดงชื่อดังของไทย “จา พนม ยีรัมย์” หลังภรรยา “บุ้งกี๋ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์” ได้ก่อเหตุใช้มือถือทุบหัว “โจ ธรัช ศุภโชคไพศาล” น้องเขยของนักแสดงยอดนักบู๊ ขณะกำลังจะถ่ายรูปร่วมกันในงานฉลองมงคลสมรส จนอีกฝ่ายต้องไปแจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมานาง “วรรณา โชติวัฒนานนท์” แม่ของบุ้งกี๋ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ทำให้บุ้งกี๋ทำแบบนั้น เพราะไม่พอใจโจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เอารถเอาบ้านของจาพนมไปขาย ในงานบวชของจาพนม ก็เอานักข่าวไปถ่ายภาพ และไปโปรโมตให้คนมาท่องเที่ยววัดที่จาพนมบวช จนสร้างความปั่นป่วนให้กับทางวัด และในวันแต่งงานก็ไปดึงแขนจาพนมลงจากเวที เพื่อที่จะมาถ่ายรูป ทำให้บุ้งกี๋ไม่พอใจจึงบันดาลโทสะก่อเหตุดังกล่าว
คำบอกเล่าของแม่ของบุ้งกี๋ ดูจะเป็นหนังคนละม้วนของโจเลยทีเดียว โดยโจได้เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ไม่ได้มีการดึงจาพนมลงจากเวที แต่เหตุเกิดขณะกำลังถ่ายรูปกันหน้างานก่อนที่พิธีการจะเริ่มขึ้นยังไม่มีการขึ้นเวที แถมพอตีหัวเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็โทร.มาหาน้องสาวของจาพนม ซึ่งเป็นภรรยาของโจขึ้นไอ้ขึ้นอี เยาะเย้ยว่าอายไหมที่ผัวโดนตีหัว!
พร้อมกับแก้ต่างเรื่องขายบ้านขายรถ ว่า เป็นสิ่งที่จาพนมยินยอม และทางบ้านก็รับรู้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนที่บุ้งกี๋จะมาคบกับจาพนม เรื่องนี้ไม่มีใครมีปัญหา มีแต่บุ้งกี๋เท่านี้นั้นที่มีปัญหาอยู่คนเดียว พร้อมกับแฉซ้ำถึงสาเหตุที่ทำให้บุ้งกี๋ไม่ชอบหน้า เพราะไปขุดคุ้ยประวัติธุรกิจโรงแรมของบุ้งกี๋ ว่า โรงแรมถูกอายัดเป็นเงินมูลค่า 140 ล้าน
“ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะเราไม่เคยมีเรื่องทะเลาะอะไรมาก่อน แต่ผมก็พอจะทราบว่าทางเขาไม่ค่อยจะชอบหน้าเรา เพราะเขาก็บอกกับญาติๆ ของผมตั้งแต่ตอนเป็นแฟนแล้วว่าไม่ชอบผม แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องถึงทำร้ายร่างกายกัน”
“วันนั้นผมก็เดินเข้าไปในงาน และก็รอคิวเพื่อที่จะถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว พอถึงคิวผมก็เดินเข้าไปถ่ายรูป ก่อนเข้าก็ยิ้มก็ขออนุญาต พ่อเจ้าสาวอยู่ด้วยผมก็ยกมือไหว้ และก็ขอถ่ายรูป ก็ทำเหมือนคนปกติที่เขาไปงานกันนี่แหละครับ พอจะถ่ายรูปปั๊บน้องเขาก็โวยวายไม่อยากจะถ่ายรูปกับผม จังหวะเดียวกันเขาก็เอาอะไรซักอย่างมาทุบหัวเรา มาตีเรามาด่าเราต่อหน้าคนทั้งหมด เขาก็ด่าผมว่าไอ้โจ ไอ้เหี้ย พูดคำหยาบคายหลายอย่าง”
“วันนั้นก็งงกันหมดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ในงานเสียงดังจอแจๆ ก็เงียบกันหมด ทุกคนก็หันมามองด้วยความตกใจ ผมเองก็ตกใจหันไปมองพี่จา น้องเขาก็หลบไปอยู่หลังพี่จา พ่อของผู้หญิงก็ยังตกใจ รีบเข้ามากันไว้ เพราะคงกลัวจะมีเรื่องกัน น้องที่มาด้วยกันก็พาออกงานไปเลย เหตุการณ์ตรงนี้ทุกคนเห็นหมดว่ามันเป็นยังไง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้บอกไว้ในใบแจ้งความ แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ยังมีการไปปั้นน้ำเป็นตัวหาว่าผมไปว่าเขา”
“ส่วนเรื่องที่บอกว่า ผมไปงานโดยที่ไม่มีการ์ดเชิญ คือ เรื่องนี้ไม่น่าเป็นประเด็นนะครับ เพราะญาติๆ ทุกคนไม่ได้รับการ์ดนะครับ แล้วผมก็เป็นญาติสนิทอยู่บ้านหลังเดียวกันมันไม่น่าเป็นประเด็น มันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว ญาติๆ ก็ไม่มีการ์ดแล้วผมอยู่บ้านหลังเดียวกันไม่มีการ์ดไม่ใช่เรื่องแปลก การไปงานมันเป็นการไปเพื่อแสดงออกถึงความยินดี”
“และผมเองนอกจากจะเป็นญาติสนิทแล้วก็ยังเป็นผู้ร่วมงานในบริษัท ไอยรา เริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 2 องค์บาก 3 ก็ทำงานกับคุณจามาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ในส่วนของการทำงานผมไม่ได้มีปัญหากับคุณจา แววภรรยาผมน้องสาวคุณจา ก็พูดคุยกับพี่ชายในการทำงานมาตลอด ไม่เคยมีปัญหากัน เราทำงานด้วยดีมาด้วยกันตลอด ในฐานะที่ผมเป็นน้องและเป็นคนที่ทำงานร่วมกันมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ไปงานแต่งงานคุณจา”
ยันไม่ไปดึง “จาพนม” ลงมาจากเวทีเพื่อมาถ่ายรูป จน “บุ้งกี๋” บันดาลโทสะ
“ไม่มีครับ ไม่รู้ไปเอามาจากไหน (หัวเราะ) เรื่องนี้มีพยานรู้เห็นหมด เหตุมันเกิดตั้งแต่ตอนที่เขายืนรับแขกหน้างานยังไม่ได้ขึ้นเวที แล้วผมจะไปดึงลงมาจากเวทีได้ยังไง ส่วนสาเหตุที่เขาไม่ชอบผมเรียนตรงนี้เลยว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของบริษัท เพราะน้องเขาเข้ามาช่วงที่ถ่ายหนังเสร็จแล้วหมดโปรเจกต์องค์บาก 3 แล้ว”
“พอหมดโปรเจกต์องค์บาก 3 คุณจาก็เข้าไปคุยกับทางต้นสังกัดขอพักงาน แล้วเขาก็ไปบวชและก็คบกับน้องเขา ส่วนผมพอหมดโปรเจกต์ก็ไม่ได้เจอกับคุณจา เพราะต้องทำงานโพสต์โปรดักชันต่อ ซึ่งตอนนี้คุณจาก็พักงานไป 2 ปีแล้ว เราก็ไม่ค่อยได้เจอกัน กับน้องเขายิ่งไม่ได้คุยอะไรกันแต่จะเจอกันบ้างตามเทศกาลสำคัญเวลาที่ผมกลับไปหาพ่อตาแม่ยาย เวลาเจอกันน้องเขาก็จะยกมือไหว้ก็ทักทายกันตามปกติ”
ส่วนเรื่องที่ “แม่ของบุ้งกี้” ให้ข่าวว่า “โจ” ไปป่วนวัดที่จาพนมบวช เจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่จริง
“ไม่ครับ ไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น เขาคิดอะไรกันไปเอง ผมไปที่วัดก็ไปหาหลวงพี่ตามปกติ และผมก็ไปกับทีมงานไม่ได้ไปกับนักข่าวไม่เคยพานักข่าวไป ส่วนเรื่องโปรโมตให้คนมาเที่ยวที่วัดที่คุณจาบวชเนี่ยคือ ผมทำนิตยสารฉบับหนึ่งขึ้นมา เพื่อจะโปรโมตหนังองค์บาก 3 จะรวบรวมรูปภาพในหนังเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ ส่วนจะมีภาพในงานบวชหรือเปล่าอันนี้ผมไม่แน่ใจคงต้องไปดูอีกที”
“แต่การทำหนังสือตรงนั้นมันทำขึ้นมาเฉพาะกิจแค่ช่วงโปรโมตหนังเท่านั้น พอหนังออกโรงไปแล้วเราก็เลิกทำ แต่ผมถามหน่อยที่เขาบอกว่าผมไปโปรโมตให้คนมาเที่ยววัดผมจะได้อะไร ถ้าเขาจะบอกว่าผมไปสร้างปัญหา ผมก็อยากจะถามว่าถ้าผมทำแล้วผมได้ประโยชน์อะไร และต่อให้ผมลงในหนังสือว่าฮีโร่ของเราบวชมันเสื่อมเสียตรงไหน ทำไมต้องเอาตรงนี้มาพูด”
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่พูดเลอะเทอะมากเลย ทั้งเรื่องที่วัดและเรื่องงานแต่งงานที่บอกผมดึงลงจากเวที มันไม่มีครับเหตุเกิดตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวทีแล้วมาพูดได้ไง ผมอยากจะให้เขามาพูดแบบนี้ต่อหน้าเลย คนอะไรมาทำร้ายคนอื่นในงานที่ตัวเองเป็นเจ้าสาวคุณว่ามันผิดปกติไหมครับ มันต้องกลับไปดูว่าเขาปกติจริงๆ หรือเปล่า เพราะมันเป็นไปได้ยังไง”
ไม่มีปัญหากับ “จาพนม” ไม่มีปัญหากับทางบ้าน มีแต่ “บุ้งกี๋” ที่มีปัญหา
“ผมกับคุณจาเปิดบริษัท ไอยรา มา 7 ปีแล้วเราทำงานร่วมกันมาตลอด และผมกับน้องสาวคุณจาก็จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ทำงานกันด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่จบองค์บาก 3 ไปแล้ว และคุณจาขอพักผ่อนก็เลยไม่ได้สานงานต่อด้วยกัน ก็พอจบองค์บาก 3 คุณจาก็ไปมีแฟน แต่เวลาที่ต้องดิวงานของบริษัทเราก็ทำงานร่วมกันตามปกติ ขอยืนยันครับว่าผมกับคุณจาไม่มีปัญหาอะไรกัน”
“ส่วนเรื่องที่น้องเขาเอาไปพูดเรื่องที่ผมเอาบ้านคุณจาไปขาย คือ เรื่องบ้านเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่น้องเขาจะเข้ามาคบกับคุณจา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหากับที่บ้าน ไม่มีปัญหากับคุณจา ไม่มีปัญหากับใครเลยแต่มีปัญหากับแฟนคุณจาก็ไม่รู้เขากับแม่เขาออกมาพูดเพื่ออะไร บ้านหลังนี้ราคา 9 ล้านเป็นบ้านที่ผ่อนอยู่นะครับไม่ได้ซื้อเงินสด ผู้ใหญ่เป็นคนดาวน์ให้แต่คุณจาไม่อยากอยู่อาจจะไม่ชอบเรื่องทำเล ซื้อแล้วไม่ชอบทำเลก็ไปอยู่ที่อื่น เขาก็ให้ผมเข้าไปดูแลผมก็เข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น และก็รับเงินจากต้นสังกัดสหมงคลฟิล์ม เสี่ยเจียงเบิกจ่ายมาให้เพื่อผ่อนบ้าน เดือนละ 4-5 หมื่นบาท”
“ก็เอาเงินตรงนั้นมาผ่อนได้ประมาณ 4 ปีได้ จังหวะนั้นก็ถ่ายหนังองค์บาก 3 เสร็จคุณจาก็ขอพักงาน จากนั้นคุณจาก็บอกยกบ้านให้ผม ยกให้ผมตั้งแต่ก่อนน้องเขาจะเข้ามาแต่ผมไม่อยากได้เพราะตอนนั้นผมซื้อบ้านของผมแล้ว พอน้องเขาเข้ามาเขาก็อยากจะดูแลทุกอย่างของคุณจา ผมก็ให้เขามาดูแลเองแต่เขาก็ไม่ผ่อนบ้านติดหนี้ธนาคาร 3-4 เดือนแบงก์ก็จะมายึด และเขาก็พยายามจะขายแต่มันไม่ได้ขายง่ายๆ เพราะบ้านติดไฟแนนซ์ประมาณ 7 ล้าน”
“สุดท้ายเขาก็โอนกลับมาให้พ่อแม่ที่สุรินทร์เป็นภาระกลับมาให้ที่บ้าน ผมถึงกับขนาดไปคุยกับเสี่ยให้ช่วยหาคนมาซื้อหน่อยหรือช่วยรับซื้อคืนหน่อย เพราะดอกเบี้ยมันแพงมากจ่ายไปเดือนละ 5 หมื่น เป็นเงินต้นแค่หมื่นกว่าบาท แต่เสี่ยก็ไม่รับซื้อคืนและก็หาคนมาซื้อต่อยาก”
“พ่อกับแม่ก็มาปรึกษาผมว่าจะทำยังไงดี เพราะขายก็ขายไม่ได้ ต่อให้ขายได้ก็ไม่คุ้มกับเงินที่ส่งไปแล้วแต่เงินตรงนั้นคุณจาเขาไม่ได้สนใจหรอก ไม่ใช่ว่าดูถูกว่าเงินน้อยนะครับแต่เขาทำงานมันได้เงินเยอะกว่านั้น ฉะนั้น เงินล้านสองล้านเขาไม่สนใจหรอก จะขายก็ขายไปเลยขาดทุนก็ไม่เป็นไรแต่เขาไม่อยากผ่อนเขาไม่เอาบ้านหลังนี้แล้ว เขายกบ้านหลังนี้ให้น้องสาวตั้งแต่แรกพอเราไม่เอาเขาถึงยกให้พ่อกับแม่”
“สุดท้ายที่บ้านก็ตัดสินใจยกให้แววก็แล้วกัน ผมก็เลยตัดสินใจจะรับภาระแทนผมจะผ่อนเอง แต่ผมบอกเลยว่าผมจะผ่อนเองแล้วค่อยปล่อยขาย เพราะผมคงไม่ไหวหรอกมันแพงไปและผมจะเอาเงินมาแบ่งให้ และพอดีผมมีเพื่อนที่ทำอสังหาริมทรัพย์เขาก็มาช่วยขายบ้านให้ และผมก็สามารถขายบ้านได้เอาไปจ่ายไฟแนนซ์แล้วเหลือเงิน 2 ล้านกว่าบาท แต่ผมก็ผ่อนไปก็ล้านกว่าบาทแล้ว ผมก็ต้องเอาเงินตรงนั้นมาชดใช้สิ่งที่ผมผ่อนไป ไหนจะจ่ายค่านายหน้า 3 แสน และผมยังแบ่งเงินให้ที่บ้าน 4 แสนมันไม่น้อยนะ”
“ซึ่งเรื่องนี้คุณจาก็รู้เรื่องหมดทุกอย่าง เขาก็ยังเซ็นมอบอำนาจมาให้ไม่งั้นผมก็คงจะไปขายไม่ได้ เขาก็ยินยอมให้ขาย ตัวคุณจาเขาไม่สนใจเลย เพราะเขายกให้แล้วเงินล้านสองล้านที่เขาผ่อนมาแล้วเขาไม่สน เขายกให้จะเอาไปขายเอาไปทำอะไรก็เอาไป แต่คนที่เขาไม่รู้เขาอยากจะได้หรือเปล่า คิดว่า ได้เงินมา 8-9 ล้าน มากมายมหาศาลหรือเปล่า ? ทางบ้านเองก็รับรู้เรื่องนี้ตลอด ผมขายได้เท่าไหร่เหลือเท่าไหร่ผมก็บอก ทุกคนโอเคหมดไม่มีใครมีปัญหากับเรื่องนี้ แล้วเขาจะพูดอะไรอีก”
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของเขานะครับ เรื่องบ้านเนี่ยเขาเป็นคนออกมาพูดไม่ใช่ที่บ้านก็มาพูดนะครับ เรื่องรถนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของเขา รถนี่เป็นรถที่ผมผ่อนนะครับ ถ้าอยากรู้เรื่องบ้านผมจะเล่าให้ฟัง เอารถตู้ก่อนรถตู้เป็นชื่อของบริษัท ไอยราฟิล์ม ผมก็เอาเงินบริษัทไปดาวน์ไปผ่อน ส่วนรถกะบะเป็นรถของญาติที่ผมไปซื้อดาวน์ต่อจากญาติมา ซึ่งรถกะบะนี่เป็นรถผมนะครับ ผมใช้เงินผมผ่อนเองดาวน์เองเป็นรถส่วนตัวของผมนะครับ แต่พอทำหนังผมก็เอารถกะบะมาใช้ในกองเพื่อขนของ รถตู้ก็เอามาใช้ในช่วงถ่ายทำ”
“พอทำหนังเสร็จรถตู้ไม่ได้ใช้ผมก็เอาไปขาย เพราะคุณจาจะพักงานเราไม่มีหนังต้องถ่ายต่อ ผมก็เอารถตู้ไปขายเพื่อเอาเงินเข้าบริษัท เพราะบริษัทต้องมีภาระค่าใช้จ่ายต้องทำอะไรอีกหลายอย่างก็ขายไปได้แค่เงินดาวน์กลับคืนมา 1 แสน ก็เอาเงินเข้าบริษัท ส่วนรถกระบะผมก็ขายซึ่งตรงนั้น มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผมเพราะรถผม เรื่องนี้ทางบ้านก็รับรู้หมด แต่ที่มันมีปัญหาเพราะเขาไม่รู้หรือเปล่า เขาคิดว่าเราซื้อรถเงินสดหรือเปล่า”
“ผมจะบอกว่า คุณจาเขาไม่ได้มาสนใจกับเรื่องตรงนี้เลย เขาไม่สนใจกับเรื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ ไอ้เงิน 2-3 แสนเนี่ย เรื่องเงินแค่นี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะค่าตัวของคุณจาเรื่องหนึ่งมันตั้งเท่าไหร่ ไหนจะเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากหนังอีก แล้วมาพูดกันเรื่องเงินแสนสองแสนกันเพื่ออะไร มันทำให้ผมดูเป็นคนไม่ดีไปเลย”
ไม่ชอบเพราะไปขุดประวัติ “บุ้งกี๋” รู้ความจริงว่าธุรกิจโรงแรมของบุ้งกี๋โดนธนาคารอายัด 140 ล้านบาท
“ผมก็คิดว่าทำไมเขาไม่ชอบผม ทั้งที่เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย ก็พูดตรงๆ นะว่า มันมีอยู่ประเด็นหนึ่ง คือ คุณจาเขาเป็นคนมีชื่อเสียงก็จะมีคนเข้ามาหาเยอะ ผมในฐานะที่เป็นผู้จัดการดูแลคุณจาก็ต้องตรวจสอบทุกคนที่เข้ามาหาคุณจา อย่างน้องเขาเนี่ยเข้ามาแรกๆ ในฐานะแฟนคลับ เขามาขอลายเซ็นมาขอถ่ายรูป”
“ช่วงนั้นผมไปถ่ายหนังอยู่ที่ระยอง และน้องเขาก็มีโรงแรมที่ระยอง ผมก็ไปเปิดห้องที่โรงแรมให้ลูกน้องไปนอนน้องเขาก็ไปสนิทสนมกับคนในกองถ่ายก็เลยขอตามมาเที่ยวกองถ่าย พอตามมาเที่ยวก็เลยเอาข้าวเอาน้ำมาให้คนในกองถ่ายก็เริ่มสนิทกับทีมงานบ้างก็เลยมีโอกาสได้เข้ามาคุณจาเลยถึงตัว”
“ตอนแรกๆ ที่เข้ามาเขายังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ พอเริ่มสนิทก็มีการชวนไปวัดกัน พี่เลี้ยงคุณจาที่เป็นลูกน้องผมก็ไปด้วยก็กลับมารายงานให้ฟัง ผมก็เอ๊ะใครเหรอ ก็พูดตรงๆ ว่าใครที่มาใกล้ชิดกับคุณจาเราก็ต้องสกรีนเราก็ต้อง ผมก็เชคประวัติและสืบว่าเป็นไงมาไง ก็เชคชื่อบริษัทเขาก็เลยเจอว่า โรงแรมเขากำลังโดนอายัดมูลค่า 140 ล้านบาท”
“เราก็สังเกตพฤติกรรมเขา เวลามาเขาก็จะมาพูดว่ามีที่ตรงนั้นตรงนี้ มีนี่มีนั่น ผมก็มีการศึกษาก็พอจะมองออกเอ๊ะคนเราทำไมมาคุยกันเรื่องนี้ก็ถึงได้ไปเช็กและก็เจอ ผมก็เอาข้อมูลนี้ปรินต์ออกมาให้ที่บ้านก็บอกให้ที่บ้านช่วยดูหน่อย และก็บอกผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้าง ขอยืนยันนะครับว่า ผมไม่ได้โกรธเขา แต่เป็นเรื่องปกติที่เคยทำแบบนี้อยู่แล้ว ผมบอกด้วยความเป็นห่วงแต่ผมก็ทราบว่าเรื่องนี้ถึงหูเขา ซึ่งเขาก็อาจจะโกรธผมเรื่องนี้ คิดว่า น่าจะเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้น้องเขาไม่พอใจผม แต่หลังจากที่คุณจาเริ่มสนิทกับน้องเขามากขึ้น คุณจาพอใจผมก็ไม่ยุ่งเพราะครอบครัวเราจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวกัน”
เผยธุรกิจครอบครัวของ “บุ้งกี๋” เป็นโรงแรมขนาดกลาง
“โรงแรมของน้องเขาจะเป็นโรงแรมขนาดกลางอยู่แถวๆ นิคมอุตสาหกรรม แล้วก็เหมือนให้เช่าเป็นรายเดือนด้วยเหมือนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เป็นโรงแรมที่ผมหาได้ถูกที่สุดในละแวกนั้น เพราะผมเช่าให้ทีมงานนอนเราต้องเช่าจำนวนมากเปิดทีก็หลายสิบห้องทีมงานเราเป็นร้อย และอยู่นานก็ต้องหาที่ถูกที่สุด แต่ผมกับคุณจาไม่ได้พักที่นี่”
“จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องความจนความรวยหรอก แต่มันเป็นเรื่องที่ใครมาใกล้ชิดกับจาเราก็ต้องเช็กประวัติเราก็ทำตามหน้าที่เรา แต่พอทางครอบครัวทราบเรื่องเขาก็แล้วแต่พี่จา เราก็โอเคก็แล้วแต่พี่จาเขาก็ต้องรู้เองเห็นเอง ซึ่งหลังจากนั้นพอเขาคบกันผมก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก”
“และการที่ผมโดนตีหัวมันไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน ไม่เกี่ยวกับใครอะไรทั้งนั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ซึ่งผมโดนทำร้ายผมต้องแจ้งความมันเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ผมจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะนอกจากเขาจะไม่ขอโทษแล้ว พอวันรุ่งขึ้นหลังจากตีหัวผมแล้ว เขาโทรศัพท์มาเยาะเย้ยภรรยาผม ทั้งที่ผมไม่เคยคุยโทรศัพท์กับเขาแต่เขาไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน”
“เขาโทร.มาด่าขึ้นไอ้ขึ้นอีเลยนะครับ แล้วก็ส่งข้อความเข้ามาอีก พิมพ์มาว่าสะใจหัวเราะฮ่าๆ เป็นไงอายไหมผัวตัวเองโดนตีหัว หลักฐานเหล่านี้ผมมีทั้งหมดและได้ส่งให้ตำรวจไปแล้ว ผมถึงบอกว่ามันไม่ปกติแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาบ้า เขาดูละครมากเกินไปหรือเปล่า คนดีๆ เขาไม่ทำกันแบบนี้”
“ที่ผ่านมา ผมไม่เคยไปขัดขวางอะไรเขาเลย คือถ้ามีเรื่องกันคุณเชื่อไหมครับเขาไม่ได้แต่งงานกันหรอก แต่นี่ผมไม่ได้ไปยุ่งอะไร เขาอยากเข้าดูแลจัดการทุกอย่างให้คุณจาผมก็โอนให้เขาจัดการ เขาได้ดูแลเงินของคุณจาทั้งหมด ตั้งแต่คุณจาหยุดพักงาน”
แต่ภาพที่ออกไปเหมือนแฟน “จา พนม” รวย เป็นลูกเจ้าของโรงแรม จาสบายแล้วได้ภรรยารวย
“ก็เป็นแค่ภาพครับ เท่าที่ผมรู้โรงแรมโดนอายัด 140 ล้าน มาที่กองก็แต่งตัวเหมือนชาวบ้านใส่กางเกงขาสั้นหิ้วปิ่นโตมาผมก็ยังมองว่าใคร แต่ตรงนั้นก็ไม่เป็นไรครับเป็นเรื่องของเขาสองคน แต่เรื่องของผมคือผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเพราะผมก็ทำงานมีหน้ามีตาจู่ๆ มาทุบหัวผมต่อหน้าคนมากมายได้ไง แต่ถ้าเขาขอโทษผมก็โอเคอยู่แล้ว แต่ต้องมาบอกเหตุผลด้วยนะว่าทำไปเพราะอะไร และต้องขอโทษจริงจังและจริงใจด้วย”