วาระงานประกาศผลรางวัลนาฏราชที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคมนี้ ช่างมาประจวบเหมาะกับข่าว “ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ 5 ” พชร ธรรมมลที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเรื่อง “อากง” รวมถึงเรื่องเก่าสมัย “อ๊อฟ” พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจงที่พูดถึง “พ่อ” บนเวทีนาฏราช ที่เขาบอกว่า รู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ไม่กล้าทวนกระแสคนหมู่มากในหอประชุม จนต้องยอมลุกขึ้นปรบมือให้กับคำพูดของพงษ์พัฒน์ทั้งที่ไม่เห็นด้วย !!
แม้วันเวลาจะผ่านมาหลายปี … วันนี้ ฟลุ๊คมีงานเขียนชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น แต่ต้องฟังหู ไว้หู เพราะนี่คือ ความคิดที่ถูกประมวลขึ้นใหม่หลังจากเวลาผ่านล่วงเลยมาเป็นระยะเวลาหลายปี เพราะบางทีอีกสัก 2-3 ปีผ่านไป เรื่องที่เล่าไว้อาจจะกลายเป็นเรื่องที่เขากลับมาผิดหวังกับจุดยืนที่ไม่กล้าพูดตรงๆอีกก็เป็นได้
ตัวละครในนาฏกรรมชีวิต เรื่อง “อากง” อำพล ตั้งนพกุลนี้มีหลายคน นับเนื่องจาก “ตั๊ก” บงกช คงมาลัย แสดงความเห็นผ่านข้อความในเฟซบุ๊ก ส่งผลให้ตัวละครอื่นเข้ามาโหนกระแสแย้งกลับไม่เห็นด้วย เช่น แดงตัวพ่อในวงการบันเทิงอย่าง “โด่ง” อรรถชัย อนันตเมฆส่ง “จดหมายสอนน้อง” และ ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ คนนี้ก็เข้ามาร่วมวงศ์ไพบูลย์ในหลายเรื่องหลายราว ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายมาตรา 112 , ด่าทอตำรวจ ผู้พิพากษา และกระบวนการทางกฎหมาย สุดท้ายก็แขวะ “ตั๊ก” บงกช คงมาลัยเข้าให้อีกดอก
“คิดเล่นๆว่า ถ้าด่าอากงว่า ตายไปก็ดีแผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น” จะมีคนสะใจและชื่นชมแม้สิ่งที่เพิ่งพูดไปนั้น มันมีแต่คน “จัญไรมาก” เท่านั้นที่พูดได้”
ในช่วงหลัง ถ้อยความต่อเนื่องจากการทวิตของ “ฟลุ๊ค เดอะสตาร์” ออกมาต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก ล่าสุดฟลุ๊คออกมาเปิดใจถึงการทวิตเรื่องการเมืองของเขาว่าสาเหตุที่ทำให้เขากล้าที่จะทวิตข้อความการเมืองอย่างรุนแรงเช่นนั้นเพราะว่าเขาเพิ่งจะขอยกเลิกสัญญากับค่ายเอ็กแซ็กท์ไป โดยฟลุคยอมรับว่าที่ผ่านมาเขาทวิตข้อความเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเป็นระยะๆ อยู่แล้ว แต่สาเหตุที่ทำให้เขาทวิตเรื่องอากงอย่างต่อเนื่องและเผ็ดร้อนขนาดนี้เป็นเพราะขณะที่พิมพ์ข้อความเหล่านั้นเขาอยู่ในอารมณ์ที่โกรธจัด!!
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ใช้พื้นที่สาธารณะในการแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่ “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ขึ้นไปกล่าวถึง”พ่อ” หลังจากได้รับรางวัลนาฏราชในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบท “พ่อ” ในพระจันทร์สีรุ้ง สร้างความซาบซึ้งปลาบปลื้มใจให้แก่ผู้ที่ได้ฟังมากมาย แต่ฟลุ๊คคนนี้กลับสวนกระแสทวิตข้อความไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพงษ์พัฒน์ ก่อนที่เขาจะออกมาร่ายยาวถึงเรื่องดังกล่าวในทำนองว่ารู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ไม่กล้าสวนกระแส จำต้องยอมลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับพงษ์พัฒน์แม้ในใจของเขาจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพงษ์พัฒน์เลยสักนิด
“พ่ออารักษ์” ตามบทบาทของพงษ์พัฒน์ในคราวนั้นเป็น “พ่อตุ๊ดบุญธรรม” ที่เลี้ยงดู “ตะวัน” ซึ่งรับบทโดย “บี้ เดอะสตาร์” บท “พ่อ - ลูก” เรื่องนี้ อาจจะไปเขี่ย “ปม” ที่มีอยู่ในใจของฟลุ๊ค เดอะสตาร์ก็เป็นได้ !! เพราะชีวิตจริงนั้น...พ่อครู “ต้อ” ปัญญา ธรรมมลนั้น เลี้ยงดูฟลุ๊คมาตั้งแต่ยังแบเบาะ พ่อต้อคนนี้แหละที่พาฟลุ๊คเข้ามาวงการเล่นหนัง เล่นละครตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กอยู่ จนมามีเรื่องขัดแย้งก่อนที่ฟลุคจะมาประกวดบนเวทีเดอะสตาร์ 5 หลังประกวดเพิ่งจะเคลียร์เรื่องในใจจนกลับมากอดคอรักใคร่กับเหมือนเดิม (หรือเปล่าไม่รู้)
ที่สำคัญพระเอกในเรื่องดันเป็น “บี้ เดอะสตาร์ 3 ” คนที่ “บอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณภาคภูมิใจในอันดับต้นๆของสมาชิกเดอะสตาร์ ทำไม … จึงคิดว่า เขามีความคิดอย่างนี้ เพราะครั้งหนึ่ง เขาเคยแขวะรุ่นน้อง “โตโน่” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ รุ่นน้องจากเดอะสตาร์ 6 ว่า แต่ดังกว่า !!
โดยไม่ได้หันหลังกลับไปมองว่า สมัยที่ “ฟลุ๊ค” ในเชื่อเดิมว่า “ปรมัติ ธรรมมงคล” นั้นเคยมีผลงานมาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้แตกเนื้อหนุ่มด้วยซ้ำไป
ผลงานภาพยนตร์ เช่น กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้, กระโปรงบาน ขาสั้น เทอม2, ประถม มัธยม เปรี้ยวอมหวาน, คู่กรรม2, CC-J สายฟ้าแลบ, สุริโยทัย ส่วนละครโทรทัศน์นั้น เช่น ลอดลายมังกร, เดือนแรม, บ้านสอยดาว, ไม้ดัด, แก้วจอมแก่น, ผีพยาบาท, เถ้ากุหลาบ, ทีเด็ดครูพันธุ์ใหม่ จิตพิสัยเดือด, กษัตริยา, ชุมทางรัก
หลังจากการประกวดเดอะสตาร์แล้ว ก็มีละคร 2 เรื่องคือ พรุ่งนี้ก็รักเธอ และหัวใจพลอยโจร
โดยเฉพาะเรื่อง “พรุ่งนี้ก็รักเธอ” ถูกกล่าวขานกันมาก เพราะบังเอิญว่า บทกับบุคลิกไปด้วยกันอย่างกลมกลืน
ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ รับบท “ก้องบดินทร์”หรือ “ก้อง” คู่กับ “โอ อนุชิต สพันธุ์พงษ์“ ที่รับบทเป็น “พีรวิชญ์”หรือ “พี” ซึ่งทั้งคู่แสดงเป็นคู่เกย์ที่มีความรักต่อกันได้อย่างสมบทบาท จนเรียกเสียงฮือฮาและเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆ จนอยากให้ฟลุ๊คกับโอสปาร์กรักกันในชีวิตจริง ถึงขนาดมีการตั้ง “แฟนคลับก้อง - พี” ขึ้นมาโดยเฉพาะ
ความสมบทบาทนี้มีความเป็นไปได้สูงเพราะฟลุ๊คถูกเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดสนิทสนมจาก “พ่อต้อ” มาตั้งแต่ยังเป็นทารก ฟลุ๊คจึงติดลักษณะตุ้งติ้งอ่อนนุ่มมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งตัวฟลุ๊คเองและพ่อเลี้ยงของเขาต่างก็ออกมาประสานเสียงบอกตรงกันว่า “ฟลุคแมนเต็มร้อย” ขนาดพ่อเลี้ยงต้อถึงขนาดบอกว่า เคยพูดกับฟลุ๊คว่าถ้าฟลุ๊คเป็นกะเทยจะกระทืบให้อ่วมเพราะเขารู้ดีว่าการเป็นเพศที่สามในสังคมไทยเป็นเรื่องที่ถูกดูถูกดูแคลนขนาดไหน
เพราะฉะนั้น ฟลุ๊คจึงพยายามกลบบุคลิกนุ่มนิ่มและข้อครหานี้ โดยแสดงผ่านความซ่า เถื่อน รวมถึงการเป็นมือที่ 3 ฉกสาวๆที่มีคนรักอยู่เป็นตัวเป็นตนแล้วจนกลายเป็นเรื่องเป็นราว ราวประหนึ่งว่า “ชายเทียม” ฉกหญิงจาก “ชายแท้” ถึง 2 กรณี
ครั้งแรก เริ่มจากการจีบนักข่าวบันเทิงสาวอย่าง “ต้าร์ แห่งทีวีพูล” เพราะบังเอิญว่าฟลุ๊คไปหยอดคำหวานใส่หลังจากลงจากเวทีเดอะสตาร์ กลายเป็นเรื่องชุลมุนวุ่นรักกันอยู่พักหนึ่ง เพราะฝ่ายสาวเจ้าก็มีหนุ่มในดวงใจเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ในช่วงแรกด้วยบุคลิกนุ่มนิ่มของฟลุ๊คเลยทำให้ตาร์ไม่ปักใจเชื่อว่า ฟลุ๊คจะแมนเต็มร้อย จนเมื่อคบหาเป็นเป็นข่าวกัน ต้นสังกัดของฟลุ๊คก็เลยมีการตักเตือน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า “คิดอย่างไรไปเป็นแฟนกับนักข่าว” (เดี๋ยววันหนึ่งก็โดนแฉหรอก) หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ห่างๆกันไปในฉากหน้า แต่ฉากหลังยังคบหากันอยู่ เพื่อไม่ให้ต้นสังกัดกระเทือนใจ สุดท้ายทั้งคู่มีเรื่องทะเลาะกันอย่างรุนแรงและบอกเลิกกันไปจนฟลุ๊คประชดชีวิตด้วยการกรีดข้อมือตัวเองและบอกคนที่สงสัยว่าเป็นการกระทำของเด็กแนว...แนวไหนเนี่ย!!
รอยแผลเป็นยังไม่ทันจางหายจากข้อมือ ก็ไปฉกคนมีเจ้าของมาอีกจนได้ รายต่อไป ฟลุ๊คก็ดอดไปจีบ “ซาร่า นลินธารา โฮเลอร์” หรือ “ซาร่า เอเอฟ3” โดยบอกว่าไม่รู้ว่าสาวเจ้ากำลังคบหาอยู่กับดีเจเต้ย “ธโนทัย เอื้ออมรรัตน์” แห่งคลื่น 91.5 ฮอตเอฟเอ็ม จนเป็นเหตุให้ฟลุ๊คกับเต้ยเปิดศึกข้อความผ่านทวิตเตอร์กันไปหนึ่งยก ก่อนที่ฟลุ๊คจะออกมาขอโทษและยุติการจีบซาร่า แล้วปิดท้ายการกระทำครั้งนี้ของตัวเองว่า “มันเป็นความซ่าของผมเอง” !!?
ความคิดเห็นทางการเมืองที่ฟลุ๊คแสดงออกมาอย่างเปิดเผยและดุเดือดทั้งหลายทำให้เห็นถึงทัศนคติที่หนุ่มวัย 23 ปีคนนี้มีต่อเรื่องการเมืองอย่างชัดเจน ถึงตอนนี้เชื่อว่ามีหลายคนคงสงสัยว่าเพราะเหตุใดศิลปินคนนี้ถึงมีชื่อเสียงค่อยๆ แผ่วลงทุกทีจนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแบบเห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดงถึงขนาดนี้?
เพื่อสร้างกระแส “ซ่า เถื่อน สไตล์เสื้อแดง หรือว่าแกล้งกลบตุ๊ด” ?!!
................................................................
ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 137 วันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2555
ข้อความจาก fookkub.
"ผมไม่กล้าสวนกระแสในงานนาฏราช"
กล่าวถึงข้อความในทวิตเตอร์ ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีคนเอาข้อความของผมไปตีความว่าผม เป็นผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ทวิตเตอร์เป็นการโพสต์ที่จำกัดข้อความการส่งสารจึงเป็นไปได้ลำบากและอาจผิดพลาดและไม่ครบถ้วนสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดได้ง่าย เป็นความผิดและเบาปัญญาของผมเองที่ไม่ระมัดระวังเรียบเรียงและโพสต์ข้อความทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นในเจตนาของผม ทั้งที่เจตนาแท้จริงของผมนั้น เพียงต้องการแสดงความรู้สึกเสียใจและให้มุมมองต่อสังคมว่า เดือนนี้เมื่อสองปีที่แล้วมีคนกลุ่มนึงซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกันเสียชีวิตกลางเมืองหลวง
นั้นคงพอตอบคำถามของท่านที่สงสัยว่าเรื่องผ่านมาสองปีแล้วทำไมถึงหยิบมาพูดนะครับ และตอบคำถามสำหรับท่านที่อ่านแค่บางทวิตที่รีทวิตส่งต่อกันไม่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้นนะครับ ก่อนหน้านี้ผมตัดสินใจปิดทวิตเตอร์ของผมอย่างถาวรเพื่อจำกัดความบานปลายของเรื่องนี้ แต่เมื่อได้สติคิดไตร่ตรองผมว่าการหลบหลีกนี้คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ข้อสงสัยของท่านที่ตามทวิตที่มีต่อตัวผมยังคงมีอยู่ จึงอยากจะขอชี้แจงถ้าท่านรำลึกได้ว่าผมก็เป็นคนไทยพอๆกับท่านเราคงเป็นญาติกันมาในชั่วอายุคนนึงเมื่ออดีตของต้นตระกูลเรา ก็ได้โปรดเปิดใจให้ผมบ้างนะครับ
ในตอนต้นของทวิตเรื่องนี้ ผมได้กล่าวถึงความรู้สึกและมุมมองของผมว่า ตัวผมเองเกิดความรู้สึกสามอย่างเมื่อถึงเดือนนี้ คือ ตกใจ เสียใจ และผิดหวังในตัวเอง กับเหตุการณ์ในเดือนนี้เมื่อสองปีที่แล้ว ว่าตกใจที่คนไทยห่ำหั่นกันจนถึงแก่ชีวิต เพียงเพราะ ความคิดที่แตกต่างกัน ตกใจที่มันเกิดขึ้นในเมืองหลวงซึ่งคนส่วนใหญ่ต่างก็มีการศึกษาสูง เสียใจกับการที่ได้รู้จักด้านมืดของผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเราที่มีอำนาจแต่กลับเพิกเฉยปล่อยให้เหตุการณ์นี่เกิดขึ้น อย่างที่สามที่เป็นประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือความรู้สึกผิดหวังในการกระทำของตัวเองที่ไม่หนักแน่นและไม่มีจุดยืนไม่ซื่อสัตย์ต่อความคิดของตน ยืนขึ้นปรบมือตามผู้คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานนั้น..
ตรงนี้เองครับที่ผมไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน กล่าวถึงงานนาฏราชเมื่อสองปีที่แล้วนะครับนี่คือคำพูดของคุณพงษ์พัฒน์ครับ
“พ่อ เป็นเสาหลักของบ้านนะครับ บ้านของผมหลังใหญ่นะครับ ใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคนนะครับ ผมเกิดมาในบ้านหลังนี้ก็สวยงามมากนะ สวยงามและอบอุ่น แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้ บรรพบุรุษของพ่อ เสียเหงื่อ เสียเลือด เอาชีวิตเข้าแลกกว่าจะได้บ้านหลังนี้ขึ้นมานะครับ จนมาถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน และก็ดูแลความสุขของทุก ๆ คนในบ้าน ถ้ามีใครซักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ และก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน ผมจะเดินไปบอกกับคน ๆ นั้นว่า “ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน”
จากเนื้อหาข้างต้นในแง่ที่ว่า ใครไม่รักพ่อ เนรคุณต่อบรรพบุรุษ ก็ไม่สมควรอยู่ในบ้านในแผ่นดินนี้ที่เรียกว่าประเทศไทยนี้ ผมเห็นด้วยกับคุณพงษ์พัฒน์ทุกประการครับ แต่ประเด็นนึงที่มันเป็นความจริงในวันนั้น16 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเกิดขึ้นข้างนอกหอประชุมที่จัดงานนาฏราชในขณะนั้นคือ คนเสื้อแดงและทหารปะทะต่อสู้ห่ำหั่นกันจนถึงแก่ชีวิตไปแล้วจำนวนมากในช่วงเดือนเมษายนปีเดียวกันนั้น จากการพูดเชิงเปรียบเทียบของคุณอ๊อฟทำให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าใครสักคนในประโยคนี้
" ถ้ามีใครซักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ และก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน"
ใครคนนั้นที่คุณอ๊อฟพูดถึงคือคนเสื้อแดง ตรงนี้เองที่มันค้านกับความรู้สึกผม ว่า คุณจะตัดสินทุกคนว่าเค้าคิดอะไรได้อย่างไร ถ้าคุณไม่ไช่ตัวเขาไม่ได้เปิดสมองเขาดูความคิดเขา ผ่าหัวใจเค้าดู อาจมีหรืออาจไม่มีคนอย่างว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงตอนนั้น แต่มันถูกต้องหรือ ที่ไปตัดสินเหมารวมว่าทุกคนในกลุ่มเสื้อแดงเป็นอย่างไรคิดอย่างไร
“ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ"
ตรงนี้เช่นกันที่ผมมองว่าทุกคนเข้าใจตรงกันว่าคุณอ๊อฟกำลังสื่อสารกับคนเสื้อแดง กำลังบอกว่าถ้าเกลียด ไม่รักพ่อก็ออกไปซะ หากว่าคนที่ตายตอนนั้นเค้าดันตอบได้ว่าเค้าก็รักพ่อเหมือนกันละครับ?
การที่ผมทวิตเรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจาบจ้วงหรือปองร้ายสถาบันอันสูงสุดของประเทศเราแต่อย่างไร เพียงแค่ความต้องการของผมนั้นเพียงแค่จะบอกสังคมว่า สองปีที่แล้วมีคนไทยตาย ด้วยฝีมือคนไทยด้วยกันบนแผ่นดินที่เรายืนอยู่ด้วยกันนี้ ต้องการย้ำเตือนว่าเป็นการไม่ถูกต้องและไม่ยุติธรรมต่อคนตาย ที่เราไปตัดสินเขาด้วยความคิดของเราเอง ผมจึงบอกว่าเสียใจที่วันนั้นไม่มีความกล้าพอที่จะสวนกระแสไม่ลุกขึ้นปรบมือ เพราะ แม้ในมุมที่ดีของข้อความที่คุณอ๊อฟพูดเรื่องความรักพ่อความรู้สึกต่อพระเจ้าแผ่นดินของคุณอ๊อฟที่น่าเคารพคารวะยิ่งนั้น มันปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกด้านอีกมุมคือกำลังมีคนที่สูญเสีย พ่อและแม่ที่สูญเสียลูก ภรรยาที่สูญเสียสามี ลูกที่สูญเสียพ่อแม่เค้าเหล่านั้นก็เป็นคนไทยพอๆกับเราๆท่านๆ
ผมจึงคิดว่าในมุมนี้ผมไม่อยากลุกขึ้นปรบมือเพราะนอกจากผมจะปรบมือให้กับความจงรักภักดีของคุณอ๊อฟความรักที่มีต่อพ่อความซาบซึ้งใจที่คนไทยมีต่อพระเจ้าแผ่นดินแล้ว อาจมีคนคิดว่าผมกำลังละเลยที่จะให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต ผมกำลังเหมารวมและเหยียบย้ำซ้ำเติมเขาเหล่านั้นด้วยการลุกขึ้นปรบมือ ผมอาจจะเป็นคนที่ชอบคิดไปไกลเอง หากคุณอ๊อฟพูดในวาระอื่นที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่คนไทยกลุ่มหนึ่งกำลังโดนตั้งข้อหาไม่จงรักภักดี ทั้งด้วยผังล้มเจ้าและวาทะกรรมมากมายจนสุดท้ายเขาเหล่านั้นถึงแก่ชีวิต ผมจะยืนขึ้นปรบมือโดยสดุดีและไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆที่จะแสดงความภูมิใจและความจงรักภักดีเช่นกัน แต่ยิ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปมีการพิสูจน์ว่าผังล้มเจ้าเป็นเรื่องโอละพ่อ และข้อหาต่างๆต่อคนเหล่านั้นจับต้องไม่ได้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกเสียใจกับการกระทำในวันนั้น
ผมไม่ได้ต้องการจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับใครหรือต้องการจะห่ำหั่นกับผู้ใด ที่บอกว่าตนรักและต้องปกป้องสถาบันด้วยการมาตัดสินผมว่าไม่จงรักภักดี ไม่รักพ่อ คุณจะรู้หัวใจผมได้อย่างไร ผมจะรักพ่อน้อยกว่าคุณหากผมไม่ได้ประกาศออกไปว่าผมรักพ่อเหมือนที่คุณประกาศอย่างนั้นหรือครับ
ขอกราบขอโทษคุณพงษ์พัฒน์นะครับที่ได้กล่าวถึงมากมายในบทความนี้
สุดท้ายที่อยากจะฝากถึงผู้ที่ได้อ่านข้อความของผมว่ากี่ชีวิตแล้วที่ถูกสังเวยไปเพราะข้อหาลมๆ ข้อหาไม่จงรักภักดี ขอให้คิดให้เยอะๆสำหรับคนที่คอยจ้องจะจับผิดและคอยสงสัยคนอื่นว่าจงรักภักดีหรือไม่ แค่คุณตัดสินคนอื่นด้วยความคิดของคุณ ชวนเค้าทะเลาะไปเรื่อยเรื่องสถาบัน นั้นก็คือคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายดึงฟ้าลงต่ำและเป็นฝ่ายเริ่มกระบวนการทำร้ายสถาบันอย่างแท้จริงแล้ว
@@@@@@@@@@@@@@@
ข้อความจากทวิตเตอร์ @fookkub
“ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งให้จำเลยของกระบวนการกฎหมาย ระยำ อัปรีย์และจัญไร 3 คำนี่มอบให้ตำรวจ ผู้พิพากษาและบรรพบุรุษที่สร้างระบบนี้ อากงตายแล้ว”
“ส่ง sms (ในกรณีที่ส่งจริง)=ไม่ให้ประกันตัว ตายในคุก,อ้างสถาบัน+ความมั่นคง ก่อม็อบ,รัฐประหาร,ล้อมปราบประชาชนจนเสียชีวิต=…….รักประเทศไทยจัง”
“คนไทยควรปกป้องสถาบันด้วยการทำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้เป็นสากล ไม่ขัดหลักสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ แค่นั้นก็จะไม่มีใครมีปัญหากับกฎหมายนี้อีก”
“ตราบใดที่คนไทยและต่างชาติบางคนยังมองว่า มันขัดหลักสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ก็ย่อมทำให้เกิดคำถามและมุมมองที่ไม่ดีต่อสถาบันเรื่อยไป…”
“พวกที่ปกป้องสถาบันโดยการไม่แตะกฎหมายนี้ระยะสั้น ท่านดูเท่ แต่ระยะยาวท่านทำให้ภาพลักษณ์สถาบันไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมโลก มันดียังไง?”
“ผมก็ไม่สนุกที่ฝรั่งมาวิพากษ์วิจารณ์สถาบันไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าสรุปจะไม่แก้กฎหมายนี้ เรามาปิดประเทศกันดีกว่าครับ..ยิ่งปิดเร็วก็ยิ่งดี”
“ไทยเรามีเอกลักษณ์ กลับไปนุ่งโจงกระเบนกันเถอะ เอาเกวียนเอาเสลี่ยงกลับมา และปกป้องสถาบันด้วยกฎหมายตราสามดวงครับ ไม่มีใครปริปากเรื่องสถาบันแน่”
“บางอย่างที่เป็นความเฉพาะตัวของไทยที่ถูกยกเลิกไป ก็เพื่อพัฒนาสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม เริ่มสิ่งใหม่ที่คนหมู่มากยอมรับกันมิใช่หรือ…”
“เราจะไล่ทุกคนที่คิดต่างออกไปจากประเทศได้จริง ๆ หรือครับ หากวันนึงคุณเป็นคนส่วนน้อยที่คิดต่าง จะเดินออกนอกประเทศเองมั้ยครับ…”
“วันนี้ที่ผมเป็นเดือดเป็นร้อน ไม่ใช่เพราะกฎหมายห้ามไม่ให้คนด่าทอสถาบัน แต่เพราะกฎหมายนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ทำให้มนุษย์คนนึงชีวิตยิ่งกว่าพัง”
“ตื่นสักทีเถอะ ท่านที่หาว่าคนที่จะแก้ ม.112 จะแก้เพื่อด่าทอสถาบัน คิดซะบ้างว่าเค้าทำเพื่อคนดวงซวยอย่างอากง คนที่โดนใส่ร้าย คนที่มีโอกาสสู้น้อย”
“เรื่อง “อากง” ไม่ใช่เรื่อง การเมือง แต่เป็นเรื่อง สิทธิมนุษยชน”
“พูดกันตรงไปตรงมาสำหรับคนไทยรักสถาบันแล้ว..กรณี อากง เป็นผลดีหรือผลเสียมากกว่าต่อสถาบัน ? ปล่อยไว้แบบนี้ดีแล้วกับสถาบันที่รักยิ่ง จริงหรือ?”
“กรณี อากง เป็นโอกาสอีกหนึ่งครั้งที่เราจะได้เห็นระดับ จริยธรรม ของคนไทย…”
“คิดเล่น ๆ ว่าถ้าด่าอากงว่า “ตายไปก็ดีแผ่นดินไทยจะได้ดีขึ้น” จะมีคนสะใจและชื่นชมผม แม้สิ่งที่พึ่งพูดไปนั้นมันมีแต่คน “จัญไรมาก” เท่านั้นที่พูดได้”
“ผมโดนสั่งระงับ การแสดงความเห็นทางการเมืองจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในครอบครัว^~^ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ เพราะนี่ไม่ใช่คำสั่งครั้งแรก…”
@@@@@@@@@@@@@@@
"จดหมายถึงตั๊ก จากพี่โด่ง อรรถชัย อนันตเมฆ ผ่านเฟซบุ๊ก Attachai Anantameak :Poppy
เรื่อง..... ตั๊กคงไม่รู้
ตั๊ก คงไม่เข้าใจเรื่องอากง มันไม่ใช่อย่างที่ตั๊กแสดงความคิดออกมา ตั๊ก รู้ไหมว่าอากงไม่ใช่คนเสื้อแดง .... ?????? ตั๊กรู้ไหม ว่าอากงรักในหลวงเหมือนตั๊ก.....??????? (ที่บ้านอากงมีหลักฐานมากมายที่พี่เห็นในภาพอาจมากกว่าที่บ้านตั๊กซะด้วยซ้ำ)
ตั๊กรู้ไหมว่า อีมี่ โทรศัพท์ มือถือ ที่ใช้เป็นหลักฐานมัดอากงนั้น มันปลอมได้ ( มาบุญครองทำซ้ำขายมากมาย )
ตั๊กรู้ไหมว่า อากงส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นดังกล่าวไปยังเลขาฯอภิสิทธิ์ ตั๊กคิดไหมว่า หากใครสักคนต้องการส่งข้อความหมิ่นเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สถาบัน เขาจะส่งไปยังเลขาฯ "ส่วนตัว" นายกฯเพื่ออะไร ตั๊ก.... แล้วตั๊กคิดว่า เบอร์โทรศัพท์ ของเลขาฯ "ส่วนตัว" ของนายกฯนี่มันหามาส่งกันง่าย ๆ หรือ แม้แต่ในศาลก็ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าอากง รู้เบอร์นายสมเกียรติ " เลขาฯส่วนตัว " นายกฯนั่นได้อย่างไร
ตั๊กรู้ไหมว่า กระบวนการพิจารณาของศาลไทย เป็นระบบกล่าวหา ที่จำเลยต้องพิสูจน์เองว่า "ไม่ได้ทำ" ไม่ใช่อัยการต้องพิสูจน์ ว่า "จำเลยทำ" ดังนั้น บางเรื่องที่ยังมีข้อสงสัย หากอากงพิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่ได้ทำ ศาลก็อาจใช้ดุลยพินิจ ตัดสินให้ติดคุกได้
ตั๊กรู้ไหม ว่า จากระบบกฎหมายดังกล่าว หากตั๊กตกที่นั่งเดียวกับอากง ตั๊กก็คงลำบาก
ตั๊กรู้ไหมว่า หากศาลยังไม่ตัดสินถึงที่สุด ตามกฎหมายยังถือว่า อากงบริสุทธิ์ และ อากงติดคุกอยู่ในฐานะคนบริสุทธิ์ จนตาย ( ยังมีคนที่ติดอยู่ในคุกในสภาพนี้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไม่มีวาสนา ) ตั๊กรู้ไหม ว่า การรับสารภาพของอากง เป็นสิ่งที่ทนายแนะนำ เพราะ จะทำให้ติดคุกน้อยกว่าการยืนหยัดต่อสู้ความจริง
ตั๊กเข้าใจเรื่องการประกันตัวไหม รู้เรื่อง เขาให้กำนันเป๊าะ วัฒนา อัศวเหม ประกันตัว ไหม
กระบวนการยุติธรรมไทยปัจจุบัน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมาก เปิดช่องให้ ผู้มีอำนาจ ผู้มีวาสนา ผู้ถือกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐ มากมาย ด้วยคำว่า ดุลยพินิจ ซึ่งบ่อยครั้ง ดุลยพินิจ ทางราชการ กับ ดุลยพินิจ ของประชาชนไม่ตรงกัน ในกรณีของอากง ศาลใช้ดุลยพินิจ ว่า กลัวอากงหลบหนี จึงไม่ให้ประกัน ในขณะเวลาเดียวกัน สนธิ ลิ้มทองกุล ศาลให้ประกันทั้งที่อัตราโทษ 85 ปี มากกว่า อากง ถึง 70 ปี ( อากงโทษจำคุก 15 ปี )
เราคงไม่ตำหนิดุลยพินิจของศาล .... ( เพราะห้ามวิจารณ์ )
แต่ถามจริง ๆ ในดุลยพินิจของตั๊ก ใครมันจะอยากหนีมากกว่ากัน ระหว่างคนที่มีโทษจำคุก 85 ปี กับ 15 ปี
และถ้าหาก เหตุการณ์นี้ ตกมาที่ตั๊กและญาติมิตรในอนาคต ตั๊กจะทำอย่างไร
แท้จริง ประเด็นของอากง มันเกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่า " อากงผิดจริงหรือไม่ " ไม่ใช่ เรื่อง " หมิ่นสถาบัน " อย่างที่ตั๊กเข้าใจ
ตั๊กรู้ไหมว่าการเมืองมันเป็นเรื่องสกปรก ตั๊กเคยรู้หรือไม่ ว่าตลอดเวลามีคน ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ ทางการเมือง ในการใส่ร้ายฝ่ายตรงกันข้าม ตั๊กเคยได้ยิน เรื่อง ที่คนตะโกนในโรงหนัง ว่า " ปรีดี ฆ่าในหลวง " ไหม ( ไปหาอ่านได้ตามเว็บไซต์ต่างๆ พิมพ์ในกูเกิลก็น่าจะมี ) ตั๊กคิดว่าพวกที่ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ กับ อากง ใครเป็นภัยต่อในหลวงมากกว่ากัน ถ้ารักในหลวง ตั๊กควรทำอย่างไร
สุดท้าย อยากให้ตั๊กรู้ว่า คนที่ออกมาต่อสู้เรื่องอากง ไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดง แต่มีนักวิชาการ อาจารย์ มากมาย ที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ตั๊กรู้ไหมว่าพวกเขาไม่ได้มาต่อสู้เพียงเพื่ออากง แต่เขามาต่อสู้เพื่อ ตั๊ก และ ครอบครัวด้วย
แท้จริงพวกเขามาต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของคนไทย ต่อสู้เพื่อมนุษย์ทุกคนที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกฎหมายไทยที่ยังมีข้อบกพร่อง จนอาจเป็นเครื่องมือของใครต่อใครที่มีอำนาจ ซึ่งในที่สุด เมื่อสังคมมีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม ทุกคนก็จะได้รับประโยชน์ แม้แต่ ตั๊ก ครอบครัวของตั๊ก ลูกของตั๊กในอนาคต สามีตั๊ก คนที่ตั๊กรัก แม้แต่คนเสื้อทุกสี ก็จะได้รับประโยชน์ จากการต่อสู้ของพวกเขาในครั้งนี้
อยากให้ตั๊กได้รู้ว่า ตั๊กคือคนหนึ่งที่พวกเขาออกมาต่อสู้เพื่อ ....
พี่รู้จักตั๊ก เชื่อว่าแท้จริงแล้ว ตั๊กมีจิตใจที่ดี ตรงไปตรงมา และ เป็นคนรากหญ้า เชื่อว่าที่ตั๊กโพสต์ออกมาแบบนั้น ก็เพราะ ตั๊กไม่รู้ ดังนั้น ตั๊กต้องขจัดความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ โดยด่วน ตั๊กไม่ใช่คนโง่ แต่ที่ตักไม่รู้ พี่วิเคราะห์ว่าเพราะตั๊ก " ไม่ฟัง " และ การไม่ฟังอาจเกิดจาก " อคติ "
เราเป็นดารา มีชีวิต มีอาชีพวันนี้ได้ แท้จริงก็เพราะประชาชน เราเป็นคนของประชาชน ต้องรักประชาชน ประชาชนทุกคน มีบุญคุณกับตั๊ก "ไม่เว้นแม้แต่อากง" พี่เชื่อว่า ในช่วงชีวิตอากง อากงและครอบครัว ต้องเคยสนับสนุนตั๊กบ้าง ไม่มาก ก็ น้อย
น้าทอม ดันดี เคยพูดว่า " ข้าวชามน้ำจอก ที่ชาวบ้านให้เรากิน เราอย่าลืมบุญคุณ "
แค่ขจัดอคติที่มีกับประชาชน รับฟังพวกเขาบ้าง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว หวังว่าตั๊กคงได้อ่านที่พี่เขียน และทบทวนสิ่งที่ตัวเองคิดให้ดี เชื่อพี่ รักประชาชน กตัญญูต่อประชาชน รับใช้ประชาชน อยู่ข้างประชาชน แล้วจะเจริญอย่างมีเสรีภาพ ครับ
“พี่โด่ง"