xs
xsm
sm
md
lg

The Cabin in the Woods : พิสูจน์มาแล้ว “ดู-ไม่ดู” ที่นี่มีคำตอบ/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: ** อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ดูเหมือนว่า พลานุภาพด้านการตลาดที่สาดใส่ประชาชนคนไทยจะได้ผล เพราะทันทีที่พีอาร์มงคลเมเจอร์ ซึ่งดูแลหนังต่างประเทศแห่งค่ายใบโพธิ์ ปล่อยโฆษณาชิ้นหนึ่งออกมา ก็กระตุกเปลือกตาของคอหนังสยองขวัญให้เบิกอ้าขึ้นมาทันที

เพราะโฆษณาชิ้นดังกล่าวนั้น ไปฉุดมือคนดังๆ ในแวดวงหนังมากหน้าหลายตา ไล่ตั้งแต่ นนทรีย์ นิมิบุตร, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล หรือแม้กระทั่งนักเขียนบทหนังสยองขวัญอย่าง เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ พากันมายืนถือป้ายที่เขียนข้อความต่างๆ เช่น “คุณเบื่อหรือยังกับหนังสยองขวัญที่เดาตอนจบได้” หรือ “คุณเบื่อหรือยังกับหนังสยองขวัญที่ทำได้ก็แค่ให้คุณตกใจ” ฯลฯ ซึ่งสุดท้าย ไม่ว่าจะเขียนอะไร แต่ทุกข้อความบนแผ่นป้าย ล้วนสื่อความหมายไปในทำนองซูฮกว่าหนังเรื่องนี้จะเป็น “บิ๊กเซอร์ไพรส์แห่งปี” ของคนดูผู้ชม

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองลงไปยังเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวโฆษณาหนังชิ้นดังกล่าว มันก็ย่อมไม่คลาดเคลื่อนไปจากที่รายการ Viewfinder ตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า เอาเข้าจริง แทบทุกคนดังซึ่งปรากฏตัวในโฆษณาชิ้นนั้น ต่างก็เป็น “ขุมพลัง” ของสหมงคลฯ แทบทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คนส่วนหนึ่งเหล่านี้ต่างมีความเกี่ยวข้องกับค่ายหนังใบโพธิ์ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

คำถามก็คือ หรือว่านี่จะเป็น “การตลาดแหกตา” ประชาชนคนไทย คล้ายๆ กับนโยบายประชานิยมลมๆ แล้งๆ จากปากนักโกงเมือง?

ในเบื้องต้น ผมยังคงมองโลกในแง่ดีครับว่า บรรดาผู้กำกับคนดังที่พากันมาสรรเสริญ หรือ “โปร” หรือ “อวย” หนังเรื่องนี้ อันที่จริง ก็มีเครดิตที่ดีในสายตาคนดูหนัง แม้บางครั้งอาจจะทำหนังเหลวๆ เป๋วๆ บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่งานขยะ ดังนั้น การที่พวกเขาจะเอา “ชื่อเสียง” ของตัวเองมาเสี่ยงกับหนังเรื่องหนึ่ง เพียงเพราะเห็นว่ามันเป็นหนังของค่ายซึ่งให้ปัจจัยดำรงชีพแก่ตน มันคงเป็นความโง่ที่จะทำแบบนั้น สรุปสั้นๆ หนังมันต้องมีความดีความชอบบ้างล่ะ พวกเขาถึงกล้าทำกันถึงขั้นนี้ นั่นยังไม่ต้องพูดถึง “ปวีณ ภูริจิตปัญญา” (ผู้กำกับบอดี้ ศพ#19) และ “บรรจง ปิสัญธนะกูล” (ผู้กำกับชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ) ที่ดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวดองอะไรกับค่ายใบโพธิ์ (?) ก็ยังลงมาเล่นมุกนี้กับเขาด้วย

แล้วมันถือเป็น “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ขนาดนั้นจริงหรือเปล่า?

ด้วยเนื้อเรื่องคร่าวๆ ที่พอจะเล่าได้ The Cabin in the Woods มีจุดศูนย์กลางของเรื่องราวอยู่ที่กลุ่มหนุ่มสาวนักศึกษา 5 คนที่หวังจะใช้ช่วงเวลาวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างรื่นเริงในกระท่อมร้างกลางป่าเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่า การสัญจรสู่กระท่อมแห่งนั้น จะนำพาประสบการณ์สุดสยองขวัญสั่นประสาทมาสู่ตัวเอง

ฟังจากพล็อตเรื่อง อ้าว!!! นี่มันหนังประเภท “ลากวัยรุ่นไปเชือด” ซึ่งเคยฮิตมากเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้วนี่นา แล้วมันจะเซอร์ไพรส์ได้ไง?

เอาล่ะ ก่อนจะไปสู่ประเด็นที่ว่าเซอร์ไพรส์หรือไม่ ผมคิดว่า สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตก่อนสิ่งอื่นใด ก็คือ ในช่วงหลังๆ มานี้ จะเป็นเพราะฮอลลีวูดหมดมุก หรือเกิดอารมณ์โหยหาคืนวันอันเก่าก่อนก็ตามที แต่เราจะเห็นว่า มันมีความพยายามที่จะนำเอาบรรยากาศเก่าๆ ของหนังสยองขวัญยุค 80 และ 90 มาใช้ในหนังสยองขวัญยุคใหม่หลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะแม้แต่ The Ward ที่เอาชื่อของเทพหนังสยองยุค 90 อย่าง จอห์น คาร์เพนเตอร์ มาขาย ก็ไปไม่ถึงไหน เพราะผู้กำกับเองก็แสดงความล้าแรงด้านฝีมือ ไปพร้อมๆ กับสังขารที่ร่วงโรย

นั่นยังไม่ต้องพูดถึงการกลับมาของเจ้า “นิ้วเขมือบ” อย่าง เฟรดดี้ ครูเกอร์ ใน Nightmare on Elm Street หรือแม้แต่หนังอย่าง 11-11-11 (กำกับโดย ดาร์เรน ลีน) ที่หยิบยืมบรรยากาศกลิ่นอายหนังสยองยุค 80-90 มาใช้ ก็กลายเป็นหนังที่ดูกันในวงแคบๆ ขณะที่ของทางฝั่งบ้านเราเอง ก็มีความพยายามเช่นนั้น ดังจะเห็นได้จาก “แก๊งค์ตบผี” ของธนิตย์ จิตนุกูล ที่ลากเอาสไตล์หนังแบบสยึ๋มกึ๋ยมารีเมค แต่ “แก๊งค์ตบผี” ก็ไม่อาจ “ตบทรัพย์” ไปจากคนดูได้

เหนืออื่นใดนะครับ ผมคิดว่า เมื่อพูดถึงหนังสยองขวัญยุค 90 เป็นไปไม่ได้ที่เราจะละเลยไม่เอ่ยถึงผู้กำกับคนนี้ “แซม ไรมี่” คนยุคหลังๆ อาจจะรู้จักเขาในนามของคนทำหนังไอ้แมงมุมอย่างสไปเดอร์ แมน แต่ถ้าคุณเติบโตมาก่อนหน้านั้นสักสิบกว่าปี คุณคงไม่ลืมว่า เขาคนนี้นี่แหละที่ให้กำเนิดหนังสยองขวัญรสชาติแปลกประหลาดอย่าง Evil Dead ที่กลายเป็น “ผีอมตะ” สมกับชื่อเรื่องในภาษาไทยมาจนถึงทุกวันนี้

สไตล์หนังสยองของ แซม ไรมี่ นั้น รวมเอาความ “โหด มัน ฮา” เข้าไว้ด้วยกัน มันคือความสยองขวัญแบบที่ไม่มีในหนังพวก The Sixth Sense หรือ The Others ซึ่งมุ่งเน้นนำเสนอด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง แต่หนังสยองของ แซม ไรมี่ ถ้าเป็นยุคนี้ เราคงใช้คำว่า “ไม่แคร์สื่อ” กับเขาได้ เพราะดูเหมือนหนังของเขาจะไม่กดดันกับอะไรเลยชนิดที่เรียกว่า ฉีกไวยากรณ์หนังสยองขวัญส่วนมาก ที่ถ้าเคร่งเครียดแล้ว จะมาฮาไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันอาจจะทำให้ไปทำลาย Mood & Tone (อารมณ์และบรรยากาศ) โดยรวมของหนังได้ แต่หนังของเขา บทจะโหดก็เล่นเอาแทบคลั่ง บทจะลุ้นก็ได้ลุ้น และบทจะ “รั่ว” ก็รั่วให้ได้ฮาหน้าตาเฉย

หนังของแซม ไรมี่ เรื่องล่าสุด อย่าง Drag Me to Hell ที่เพิ่งฉายในบ้านเราเมื่อราวสองปีก่อน จริงๆ ก็คือ แซม ไรมี่ ก็อปปี้บรรยากาศและกลิ่นอายแบบหนังยุคเก่าๆ ของตัวเองมานั่นแหละครับ

กล่าวเกริ่นมาเยิ่นยาวถึงเพียงนี้ ก็เพียงเพื่อจะบอกนั่นแหละครับว่า The Cabin in the Woods นั้นรับอิทธิพลมาเต็มๆ จากหนังยุค 90 และบรรยากาศภาพรวมไปจนถึงรายละเอียดต่างๆ ก็ชวนให้นึกถึง Evil Dead อย่างปฏิเสธได้ยาก

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความเหมือนก็มีความต่าง เพราะในขณะที่ Evil Dead นำเสนอเนื้อหาแบบชั้นเดียวที่เกาะเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นซึ่งพาตัวเองไปตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้วต้องต่อสู้หนีตาย แต่ The Cabin in the Woods ต่อเติมโครงสร้างด้านเนื้อหาลงไปอีกหนึ่งชั้นด้วยการหยิบเอาวัฒนธรรมเรียลิตีแบบสมัยใหม่มาแทรกแซมวิพากษ์วิจารณ์ด้วย พร้อมกับเนื้อหาที่ตีแผ่ความหยาบช้าของมนุษย์บางจำพวกที่เสพสำราญบนความทุกข์ของผู้อื่น

และก็ถึงประเด็นสำคัญ...มาดูกันว่า ที่เขาบอกว่า “เดาไม่ได้” นั้น จริงหรือเปล่า?

เห็นด้วยครับว่า หนังนั้นมีการพลิกอยู่ตลอดเวลา แม้จะพลิกอย่าง “ตั้งใจหัก” แต่ก็ทำให้นักคาดเดาอาจจะงงไปหน่อยหนึ่งว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ผมว่าความชอบธรรมอย่างหนึ่งซึ่งหนังมี และมันไปช่วยหนุนให้ “การหัก” นั้น เป็นที่ยอมรับได้ ก็คือ ตัวเรื่องและอารมณ์ของหนังที่ไม่เรียกร้องต้องการความสมจริงหรือเหตุผลอันหนักแน่นมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น ถ้ามันจะมีการพลิก หรือมีรายละเอียดที่ก่อให้เกิดคำถามว่า “มันเป็นไปได้ยังไง” จึงเป็นสิ่งที่ไม่เกินไปกว่าจะยอมรับได้ หนังมีการพลิกไปพลิกมาแบบให้เรา “เดา” และ “ลุ้น” อยู่เรื่อยๆ เฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ช่วงระยะหลังจากสถานการณ์เริ่มชุลมุนวุ่นวายเป็นต้นไป

และกับข้อความบนแผ่นป้ายที่ว่า “ไม่ได้ทำให้แค่ตกใจ” อันนี้ก็แน่นอนครับ เพราะหนังมีหลากรสหลายอารมณ์ นอกจากทำให้ผวา ยังมีอารมณ์ขันแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ขนาดที่ว่า สถานการณ์กำลังเครียดๆ อยู่ หนังทำให้เราหัวเราะออกมาซะอย่างงั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่เป็น “ทาง” ของหนังแนวนี้ครับ ว่าเขาไม่ได้

สรุปสุดท้าย ในความรู้สึกของผมที่ดูหนังสยองยุค 80-90 มาพอสมควร ผมไม่ตื่นเต้นมากนักกับสิ่งที่ปรากฏในผลงานชิ้นนี้ แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่เติบโตมากับหนังสยองซึ่งเน้นความจริงซีเรียส หลอนเอาเป็นเอาตาย ประเภท “ผี” หรือ “ตัวร้าย” ตามไปหลอนถึงเตียงนอนที่บ้าน และคุณ...กำลังรู้สึกตันๆ กับหนังแนวดังกล่าว The Cabin in the Woods จะทำให้คุณรู้สึกแตกต่างออกไป

มันอาจไม่ใช่ “หนังสยองขวัญที่ดีที่สุด” ที่เอาเข้าจริง ก็วัดไม่ได้ว่า “ดีที่สุด” มันอยู่ตรงไหน แต่ถ้าจะพูดให้ถูก มันคือหนังสยองขวัญสไตล์ “โหด มัน ฮา” ที่สนุกที่สุด นับตั้งแต่ Drag Me to Hell เป็นต้นมา

และ...แนะนำเป็นพิเศษ ใครที่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับหนังสยองขวัญยุค 80-90 นี่คืองานที่จะทำให้คุณหวนกลับไประลึกนึกถึงความหลังกับหนังซึ่งเคยหลอนอยู่ในอดีตเหล่านั้น...









กำลังโหลดความคิดเห็น