ไม่รู้ว่าจะเป็นข่าวที่สร้างความยินดีให้กับเหล่าแฟนๆ ของ The Beatles รึเปล่า ? เมื่อมีทายาทคนหนึ่งของสมาชิก 4 เต่าทอง ออกมาให้ข่าวถึงแผนการร่วมมือฟอร์มวงของเหล่าบรรดาทายาท The Beatles แม้จะไม่ใช่แผนการที่ถึงขั้นเป็นรูปธรรมแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
เจมส์ แม็คคาร์ตนีย์ ลูกชายของ พอล แม็คคาร์ตนีย์ เป็นคนเอ่ยปากถึงโอกาสการรวมวง The Beatles รุ่นที่ 2 ระหว่งการให้สัมภาษณ์กับ BBC เมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา โดยนักดนตรีหนุ่มวัย 34 ปี ที่ตามรอยเท้าบิดาก้าวเข้าสู่วงการเพลง ได้กล่าวว่าเขาและลูก ๆ ของสมาชิก The Beatles อาจตัดสินใจมาร่วมเล่นดนตรีกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทั้ง ฌอน เลนนอน (ลูกของ จอห์น เลนนอน), แดนนี แฮร์ริสัน (ลูกของ จอร์จ แฮร์ริสัน) และ แซค หรืออาจจะเป็น เจสัน สตาร์กี (ลูกชายของ ริงโก สตาร์) ก็ได้
“ผมว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ แซค ต้องการนัก เพราะฉะนั้นบางทีอาจเป็น เจสัน ที่อยากจะมีส่วนร่วมมากกว่า , ดูเหมือนว่า ฌอน ก็จะเห็นด้วย, แดนนี ก็น่าจะเห็นด้วย ผมเองยินดีอยู่แล้ว” แม็คคาร์ตนีย์ คนลูกกล่าว
เมื่อถามถึงโปรเจกต์วงดนตรีลูก ๆ ของ The Beatles ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ หรือเป็นเพียงควมฝันลมๆ แล้งๆ เจมส์ แม็คคาร์ตนีย์ กล่าวให้ความหวังแฟน ๆ ว่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน "หวังว่านะ, ผมไม่รู้เหมือนกัน คุณต้องรอดูไปก่อน ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของพระเจ้า, ถ้าทุกอย่างเอื้ออำนวย ผมว่านะมันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้”
ย้อนดูงานดนตรี ทายาท 4 เต่าทอง
The Beatles วงดนตรีที่ประกอบไปด้วย สมาชิก 4 คน จากเมืองลิเวอร์พูล ได้เปลี่ยนแปลงวงการดนตรีไปตลอดกาลหลังพวกเขาออกผลงานเมื่อปี 1962 และแม้จะมีอายุวงถึงเพียงปี 1970 เท่านั้น แต่ “สี่เต่าทอง” ได้สร้างตำนานไว้มากมาย ทั้งเพลงฮิต Love Me Do, Yellow Submarine และ Let it Be กับอิทธิพลทางดนตรีที่ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
ความยิ่งใหญ่ของ The Beatles นั้น อาจเรียกพวกเขาว่า เป็น “วงดนตรีอันดับ 1 ตลอดกาล” แห่งวงการดนตรีก็คงไม่ผิดนัก เป็นความยิ่งใหญ่ที่เป็นร่มเงาปกคลุมเหล่าทายาททุกคน โดยเฉพาะที่เลือกเดินในเส้นทางสายดนตรีเหมือนกับบิดา ที่ต้องยอมรับการเปรียบเทียบ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ดูเหมือนว่าลูกๆ หลายของคนสี่เต่าทอง ยังสมัครใจจะเดินในเส้นทางสายนี้
พอล แม็คคาร์ตนีย์ ที่กินเนสส์บุ๊กบันทึกชื่อว่าเป็น “นักดนตรีและนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป๊อป” มีทายาท 4 คน ลูกสาวคนโต ฮีทเธอร์ แม็คคาร์นีย์ ที่เป็นลูกบุญธรรมเคยออกเดตกับศิลปินดังอย่าง บิลลี ไอดอล แต่ตัวเธอเองกลับไปประสบความสำเร็จกับงานศิลปะประเภทงานปั้น และปัจจุบันใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ที่อังกฤษ
ส่วน แมรี แม็คคาร์นีย์ ลูกสาวโดยสายเลือดคนแรกของ พอล ประกอบอาชีพช่างภาพตามรอยมารดา ลินดา สำหรับลูกสาวคนที่สาม สเตลลา แม็คคาร์ตนีย์ ที่ใครๆ ก็รู้จัก เธอเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ลูก” The Beatles ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คงจะได้
แต่ที่ตามรอยบิดา ก็คือ เจมส์ แม็คคาร์ตนีย์ วัย 34 ปี ที่เคยฝากฝีมือการเล่นกีตาร์และกลองในอัลบั้ม Flaming Pie กับ Driving Rain ของพ่อ และ Wide Prairie ของแม่มาแล้ว รวมถึงร่วมเล่นดนตรีในโอกาสต่างๆ อยู่เป็นระยะ
จนได้มีโอกาสออกผลงานเดียวเป็นอีพีที่มีชื่อว่า Available Light เมื่อปี 2010 กับเพลงที่เขาเขียนเอง และบอกว่าเป็นงานที่ได้รับอิทธิพลมาจากทั้ง "Nirvana, The Cure, PJ Harvey, Radiohead รวมถึง The Beatles" ต่อมายังออกอัลบั้มรวมเพลง The Complete EP Collection ที่ทางนิตยสาร Rolling Stone ชมว่าเพลงเปิดอัลบั้ม Angel เป็นงานแนวป๊อป ที่สดใสดี
แดนนี แฮร์ริสัน ลูกชายของ จอร์จ แฮร์ริสัน ก็เป็นอีกคนที่เดินไปสู่เส้นทางสายนักดนตรีอาชีพ หนุ่มวัย 33 ปี เริ่มต้นอาชีพนักดนตรีด้วยการมีส่วนร่วมในการทำอัลบั้ม Brainwashed ของพ่อให้เสร็จหลัง จอร์จ เสียชีวิตลงในปี 2001
จากนั้นเขาจึงทำงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2006 ได้ก่อตั้งวง thenewno2 กับเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก ที่ แดนนี รับหน้าที่เล่นกีตาร์ และร้องนำ ออกอัลบั้มชุดแรก You Are Here ในปี 2008 และมีกำหนดออกงานชุดที่ 2 ในปีนี้ นอกจากนั้นหนุ่ม แดนนี ก็ยังมีส่วนร่วมในเกมแนวดนตรี The Beatles: Rock Band ด้วย
ทายาทของ ริงโก สตาร์ (ชื่อจริง ริชาร์ด สตาร์กี) ที่ชื่อ แซค สตาร์กี ก็เป็นนักดนตรีอาชีพที่ทำงานอย่างต่อเนื่องคนหนึ่ง กับการตีกลองเหมือนกับบิดา ที่ผ่านมาเขาเคยร่วมงานกับวงดัง ๆ มาแล้วมากมาย อาทิ Oasis, The Icicle Works, Iron Maiden, The Waterboys, ASAP, The Lightning Seeds, Ringo Starr & His All-Starr Band, Johnny Marr and the Healers และ The Semantics เป็นต้น
และที่เป็นเรื่องเป็นราวที่สุด ก็คือ การทำงานกับ The Who ถึงขั้นได้ชื่อว่าเป็น “สมาชิกอย่างไม่เป็นทางการของ The Who” กันเลยทีเดียว เพราะ แซค ทั้งร่วมทัวร์คอนเสิร์ต และเล่นเพลงในห้องอัดให้กับ The Who ที่ถือว่าเป็นวงรุ่นราวคราวเดียวกับ The Beatles มาตลอดในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา และยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ที่ถือว่าพอจะมีชื่อให้แฟนเพลงจดจำได้มากกว่าใคร ก็เห็นจะเป็นลูกชายของ จอห์น เลนนอน โดยเฉพาะ ลูกชายคนโต จูเลียน เลนนอน ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงของ The Beatles ทั้ง Lucy in the Sky with Diamonds, Hey Jude และ Good Night แต่เขากลับมีปัญหาบาดหมางกับบิดา หลัง จอห์น หย่าร้างกับแม่ของเขา จนทำให้พ่อลูกไม่ได้พูดคุยกันนานหลายปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อ จูเลียน ก้าวเข้าสู่วงการเพลงก็ถือว่าพบกับความสำเร็จอยู่บ้าง โดยเฉพาะกับอัลบั้มชุดแรก Valotte ที่ขึ้นไปติดอันดับอัลบั้มขายดีประจำสัปดาห์ ที่ 20 ในอังกฤษ และ 17 ในสหรัฐฯ ส่วนซิงเกิล Too Late For Goodbyes นั้นขึ้นไปติดถึงอันดับ 5 ของชาร์ต US Hot 100 กันเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นผลงานก็ดูจะได้เสียงตอบรับที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังทำงานเพลงออกมาเรื่อยๆ และเพิ่งจะมีอัลบั้มชุดล่าสุด Everything Changes เป็นผลงานอัลบั้มชุดแรกในรอบ 13 ปีออกมาเมื่อปีก่อนนี่เอง หลายคนมองว่า จูเลียน ดูมีแววที่จะประสบความสำเร็จมากกว่านี้, เขาเขียนเพลงได้ ร้องเพลงดี แต่ที่แน่ๆ นามสกุล เลนนอน อาจจะทั้งช่วยให้เขาเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว และในเวลาเดียวกันก็ครอบงำอาชีพทางดนตรีของหนุ่มคนนี้เอาไว้ด้วย
และในช่วงที่ชื่อของ จูเลียน เริ่มจะเงียบๆ ไปจากวงการดนตรีก็มีชื่อของ ฌอน เลนนอน เข้ามาแทนที่ ทายาทของ จอห์น กับ โยโกะ โอโนะ ได้ใช้ชีวิตกับพ่อ 5 ปีก่อนที่ศิลปินเอกแห่งโลกดนตรีจะจบชีวิตด้วยการฆาตกรรมโดยแฟนคลับของตัวเองในปี 1980 ซึ่งเมื่อโตขึ้น ฌอน ก็ได้เข้าสู่แวดวงดนตรีตามผู้เป็นพ่อ
อันที่จริงแล้วอาจพูดได้ว่าลูกชายคนที่สองของ จอห์น เลนนอน ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการดนตรีตั้งแต่ยังมีอายุน้อยมาก ฌอน ได้โอกาสมีส่วนร่วมในงานเพลงของแม่ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เมื่อโตขึ้นก็ได้ทำงานกับ Cibo Matto, Dopo Yume, The Ghost of a Saber Tooth Tiger, มาร์ค รอนสัน, รูฟัส เวนไรท์ และ The Flaming Lips นอกจากนั้นยังได้โอกาสออกอัลบั้มเดี่ยว 3 ชุด ชุดล่าสุดเผยแพร่ไปเมื่อปี 2006 แต่หากจะพูดถึงที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็ต้องเป็นงานเพลงชุดแรก ที่คำว่า “ลูกชาย จอห์น เลนนอน” ยังน่าสนใจและขายได้ในตลาดเพลง
จะเห็นว่า ทายาทของ The Bealtes แต่ละคนล้วนมีประวัติทางงานเพลงกันมาคนละไม่น้อย ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง รวมถึงการได้ทำงานกับศิลปินชื่อดังมากมาย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าโอกาสมากมายที่เข้ามาในชีวิตของพวกเขา ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นเพราะสถานะอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นพ่อนั่นเอง และในเวลาเดียวกันการย่างก้าวเข้ามาในวงการดนตรี พวกเขาแต่ละคนก็ยากที่จะสลัดคำว่า “ลูก The Bealtes” ให้หลุดไปได้ง่ายๆ
“เจมส์ แม็คคาร์ตนีย์” เองก็ยอมรับในข้อที่ว่าพวกเขามีจุดได้เปรียบ ในการเริ่มต้นอาชีพ ณ วงการดนตรี และก็พร้อมหากจะต้องถูกเปรียบเทียบกับ พ่อ ผู้ยิ่งใหญ่เป็นตำนาน แม้จะยอมรับว่าความจริงแล้วเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยก็ตาม ... “ผมถือว่าเป็นเกียรตินะครับ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเก่งเท่าท่าน หรือ The Beatles หรอก แต่มีอิทธิพลทางดนตรีบางส่วนที่ได้รับมา” เจมส์ กล่าว
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7”ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |