เอเอฟพี - “เมอริล สตรีพ” เคยเรียกเขาว่าเป็น “พระเจ้า” ซึ่งดูเหมือนว่า “ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน” จะยิ่งใหญ่ในระดับนั้นจริง ๆ เมื่อพูดถึงงานแจกรางวัลออสการ์ รวมถึงเมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่เขาสามารถพิสูจน์ถึงพลังการผลักดันให้หนังได้เกียรติยศสูงสุดในวงการภาพยนตร์อีกครั้ง และเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว
ผู้อำนวยการสร้างคนดัง และผู้ก่อตั้งบริษัท The Weinstein Company สามารถคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว จากผลงานเรื่อง The Artist ที่เขาได้สิทธิ์จัดจำหน่ายในสหรัฐฯ หลังจากปีก่อนก็คว้าออสการ์ได้จาก The King's Speech เช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น The Weinstein Company ยังอยู่เบื้องหลังหนังดัง The Iron Lady ที่ส่งให้ เมอริล สตรีพ คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ด้วยบทอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ รวมถึง My Week with Marilyn ที่ มิเชล วิลเลียมส์ ได้ชิงรางวัลในสาขาเดียวกันด้วย
บริษัทยังรับจัดจำหน่าย Undefeated สารคดีเกี่ยวกับทีมอเมริกันฟุตบอลปลายแถว ที่พยายามดิ้นรนกับโค้ชคนใหม่ ผู้ชนะรางวัลในสาขาหนังสารคดียอดเยี่ยม
“ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ทำงานได้ยอดเยี่ยม วิธีที่เขามองหนัง, มองคนดู, วิธีที่เขาฉายหนังในจังหวะที่เหมะสมที่สุด เขาทำได้อย่างเชี่ยวชาญจริง ๆ” มิเชล ฮาซานาวิเชียส ผู้กำกับ The Artist กล่าวถึงการทำงานของ ไวน์สตีน “ผมว่างบประชาสัมพันธ์ของหนัง (The Artist) ในสหรัฐฯ อาจจะมากกว่าทุนสร้างด้วยซ้ำไป”
ย้อนหลังไปก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน กับพี่ชาย บ็อบ ไวน์สตีน ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Miramax Films ขึ้น กับการตั้งชื่อบริษัทตามแม่ มิเรียม และพ่อ แม็กซ์ จนต่อมาเขาทั้งสองขายบริษัทให้กับ Disney แต่ก็ยังนั่งบริหารอยู่ถึงปี 2005 จึงตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่ขึ้น
ตลอดชีวิตการทำงาน 30 ปี พี่น้องไวน์สตีนเป็นเจ้าของผลงานที่คว้ารางวัลจากสถาบันต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นออสการ์ หรือที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ อาทิ Shakespeare in Love, Pulp Fiction, Pret a Porter, The English Patient และ Gangs of New York, The Reader เป็นต้น นอกจากนั้นยังเคยเป็นผู้อำนวยหนังฮิตอย่าง Lord of the Rings และ Inglorious Basterds
สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ไวน์สตีน มากที่สุดก็คือพลังในการดันหนังให้ได้รับรางวัลออสการ์ อย่างเมื่อปีก่อนที่เขาเปิดฉาย The King's Speech แบบจำกัดโรง ก่อนจะเพิ่มโรงฉายขึ้นเรื่อย ๆ สร้างกระแสปากต่อปาก ด้วยแผนการตลาดอันทรงพลัง จนส่งให้หนังแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนไปสุกงอมที่การคว้ารางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในเดือน ก.พ.
แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคู่ชิงรางวัลในปีนั้นอย่าง The Social Network ที่เลือกเปิดตัวฉายด้วยโรงจำนวนมาก จนทำเงินได้มากมาย แต่กระแสกลับซาลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายนอกจากรางวัลแล้ว The King's Speech ก็ยังทำเงินไปได้มากกว่า The Social Network ด้วย
ซึ่ง The Artist ก็ใช้แนวทางเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มโด่งดังจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ จน The Weinstein Company ได้สิทธิ์การจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ มาครอง และเปลี่ยนให้หนังฝรั่งเศสที่ได้รับความสนใจอยู่ในตลาดหนังอาร์ทเฮาส์ กลายเป็นหนังกระแสหลักที่ครองใจได้ทั้งคนดูและนักวิจารณ์
ส่วนเหล่านักแสดงโดยเฉพาะพระเอก ฌอง ดูจาร์แด็ง รวมถึงผู้กำกับ มิเชล ฮาซานาวิเชียส ก็ได้โชว์ตัวออกงานในพรมแดงของเทศกาลหนังทั่วโลกแทบนับครั้งไม่ถ้วน
เครี ไบเบิล นักวิเคราะห์บ็อกซ์ออฟฟิศจาก Exhibitor Relations ยังมองว่าหลังจากนี้ The Artist ซึ่งทำเงินไป 76 ล้านเหรียญฯ รวมถึงในสหรัฐฯ 28 ล้านฯ น่าจะมีรายได้เพิ่มอีกเท่าตัวหลังคว้าออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |