ตามธรรมเนียมทุกสิ้นปี ต้องมีการตั้งฉายาให้แก่เหล่าดาราและนักการเมือง แต่ปีนี้ … สมาคมนักข่าวบันเทิงยังไม่มีวี่แววที่จะสร้างสีสันให้แก่วงการเหมือนอย่างเคย “ซูเปอร์บันเทิง - สุดสัปดาห์” จึงขอปาดหน้าเค้กยก “เสก โลโซ” เป็นบุคคลแห่งปีของวงการที่ “พูดจริง” กับทุกเรื่อง แต่เป็น “ความจริงในเรื่องเลว” ทุกกรณี วันนี้ เสกสรร ศุขพิมายยอมรับว่า “ทำ” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ยาเสพติด, เจ้าชู้, ทำร้ายร่างกายอดีตภรรยา แกรมมี่ต้นสังกัดประกาศตัดหางปล่อยวัด ไม่นับญาติกับ “ร็อกเกอร์ขี้ยา” อีกต่อไป
เรื่องของเสกกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ส่งท้ายปียาวนานถึงสองสัปดาห์กว่าๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะยอมเปิดบ้านย่านวัชรพลเพื่อแถลงข่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
โดยตลอดการแถลงข่าว เสกในสภาพกึ่มๆ ตาลอย นั่งคีบบุหรี่พ่นควันฉุยพร้อมกับพูดวกไปวนมา เรียบเรียงคำประหลาดๆ แต่พอจะจับใจความสำคัญได้ว่ายอมรับว่าตัวเขาเอง “ทำผิดจริงทุกข้อกล่าวหา”
แต่สิ่งหนึ่งที่เสกพยายามย้ำตลอดเวลาที่แถลงข่าวก็คือ “ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ผมโกหกใครไม่เป็น” ก่อนจะยกชื่อของ แหม่ม คัทลียามาอ้าง โดยเปรียบเทียบการพูดจริงของเขากับการโกหกเรื่องท้องของฝ่ายหลังหน้าตาเฉย การ “ไม่โกหก” ของเสกเป็นวิถีของคนดีจริงหรือ ลองมาดูสิ่งที่เสกทำว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่ง Here of The Year 2011 ขนาดไหน
เสพยาเสพติด
“ยาเสพติดเป็นสิ่งที่ไม่ดีล้านเปอร์เซ็นต์” นี่เป็นคำกล่าวของเสกเอง ในขณะที่ยอมรับว่าเสพยาเสพติดเจ้าตัวยังยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเสพโดยอ้างว่าตัวเอง “เอาอยู่” จึงเสพ ก่อนที่จะยกตรรกะแปลกๆ ว่าที่ใช้ยาเพราะเขาเป็นศิลปิน แล้วจึงยกนามของศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง “จอห์น เลนนอน” กับวงโอเอซิสว่าศิลปินเหล่านั้นก็ใช้ยา ซึ่งเขาเองก็เป็น”อาร์ติสท์” เหมือนคนเหล่านั้นจึงใช้ยาเพื่อการผลิตงาน
ถึงจะดูไม่มีสติ แต่เสกก็พยายามย้ำตลอดว่า “มันเป็นสิ่งไม่ดี” และ “น้องๆ อย่าเลียนแบบ” แต่เสกไม่เคยกล่าวขอโทษแม้แต่คำเดียวถึงการใช้ยาเสพติดของเขา อีกทั้งเขายังไม่ได้รับปากว่าจะเลิกยาเสพติดแต่อย่างใด พูดเพียงแต่ว่าจะปรับปรุงแก้ไข ซึ่งพอถามเจาะไปว่าจะปรับปรุงเรื่องอะไร เขาก็ตอบวกไปวนมาเป็นเครื่องบ่งบอกว่าความคิดที่จะเลิกใช้ยาเสพติดไม่เคยอยู่ในหัวของเสกเลยแม้แต่น้อย
เจ้าชู้
เสกบอกว่าตัวเองเป็นนักรัก ด้วยความที่เป็นนักรักนี่เองทำให้เขาจีบผู้หญิงไม่เลือก ขนาดเลขาฯส่วนตัวของเขาที่ชื่อ “อ้อม” เสกก็อ้างว่าเป็นแฟนของเขาคนหนึ่ง เสกบอกว่าเวลาเขาจีบใคร หรือไปสอยผู้หญิงคนไหนเขาก็บอกอดีตภรรยาหมดทุกครั้ง ก่อนที่จะพูดสิ่งที่ฟังดูแย้งกันเองว่าภรรยาของเขาจับได้ทุกครั้ง เสกพยายามจะบอกว่าการจีบผู้หญิงไม่เลือกของเขาเป็นหนึ่งในวิถีนักรัก ซึ่งเป็นเรื่องที่เขายอมรับว่าเป็นความผิดล้านเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกับเรื่องการเสพยา
เสกพูดว่าที่ผ่านมาเขามี “เมียสาวๆ” มากมาย เป็นการยืนยันถึงความมักมากของเขาเป็นอย่างดี ถึงแม้หน้าตาจะไม่หล่อแต่ชื่อเสียงในฐานะร็อกเกอร์เบอร์หนึ่งของเมืองไทย บวกกับเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เสกมีเสน่ห์ในสายตาของผู้หญิง และถ้าเสกเกิดถูกใจปิ๊งปั๊งใครเข้า เสกจะแปลงร่างเป็นพ่อบุญทุ่มซื้อรถซื้อของให้ทันที ทั้งน้องอ้อม เลขาฯส่วนตัว และน้องป่าน ปรางค์ฉัตรที่เสกพยายามจะบอกว่าคือภรรยาของเขาก็ล้วนแต่ได้รถยนต์คันหรูจากเขามาแล้วทั้งสิ้น
ทำร้ายร่างกาย
“มีอยู่แล้ว” เป็นคำแรกที่เสกเอ่ยออกมาหลังจากที่ถามถึงเรื่องการทำร้ายร่างกาย เสมือนจะพยายามบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่เสกไม่ยอมพูดเรื่องที่เขาทำร้ายร่างกายกานต์ กลับนำเรื่องที่กานต์เคยใช้เศษแก้วมาบาดตัวเขามาพูด แล้วเปลี่ยนประเด็นไปสู่เรื่องที่อดีตภรรยาพยายามจะขอหย่ามาแล้วหลายครั้งในอดีต ซึ่งที่ผ่านมาเสกก็จะไกล่เกลี่ยและให้ผู้ใหญ่ของแกรมมี่ช่วยพูดประนีประนอมมาตลอด จนมาถึงช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาที่กานต์ทะลักจุดเดือดทนต่อไปไม่ไหว ต้องลุกขึ้นเดินหน้าหย่าแบบจริงจังเด็ดขาดจึงได้รับสถานะอดีตภรรยามาครองสมใจ
อกตัญญู
ไม่ใช่เรื่องที่นักข่าวถาม แต่จู่ๆ เจ้าตัวก็เปิดประเด็นความบาดหมางระหว่างเขากับแกรมมี่ บริษัทต้นสังกัดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เสกบอกว่าแกรมมี่ส่งคนมาสะกดรอยตามเขา และดักฟังโทรศัพท์ของเขา แต่ไม่ยอมพูดชี้ชัดลงไปว่าเกิดเหตุอะไร อย่างไร เขาบอกเพียงแค่ว่าขอให้แกรมมี่มาคุยกับเขาแบบเปิดอก ก่อนที่เขาจะแสดงท่าทีว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งนี้เป็นจำนวนเงินถึงพันล้านบาทเลยทีเดียว
จากนั้นก็เป็นมหกรรมเพ้อเจ้อของเสกที่บอกว่าไปเล่นคอนเสิร์ตก็มีคนของแกรมมี่มาดักล้อมหน้าล้อมหลังจนเขาต้องยิงปืนขู่ แต่เขาก็มีทหารและตำรวจที่คอยคุ้มกันอยู่ แล้วก็อ้างชื่อคนใหญ่คนโตจากแวดวงนั้นแวดวงนี้ไปทั่ว ทั้งที่มีชื่อและนามสกุลและมีแต่ชื่อลอยๆ ก่อนที่จะพูดขู่ว่าถ้าแกรมมี่ไม่ยอมมาเจรจากับเขาอย่างจริงใจ เขาก็คงจะต้องจบกับแกรมมี่อย่างแน่นอน
ไม่รอให้เรื่องเย็น แกรมมี่เปิดโต๊ะแถลงข่าวในช่วงบ่ายของวันถัดไป โดยมี “กริช ทอมมัส” กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจเพลงของบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ออกมาพูดถึงกรณีของนักร้องคนดังว่า “เสก โลโซ” พ้นสภาพการเป็นศิลปินในสังกัดของแกรมมี่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่เสกบอกเรื่องการส่งคนไปติดตามและดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งเมื่อดูจากรูปการแล้วคาดว่าคนส่วนใหญ่ก็คงจะต้องคิดเหมือนกับที่กริช ทอมมัสพูด นั่นคือ เสก “คิดไปเองหรือเปล่า?”
ประเด็นนี้ไม่สำคัญว่าบริษัทจะกดขี่หรือเอาเปรียบต่อตัวศิลปินจริงหรือไม่ แต่การที่นายเสกสรร ศุขพิมายกลายเป็น เสก โลโซ อย่างเช่นทุกวันนี้ได้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเกิดจากความแข็งแรงของค่ายเพลงที่ชื่อแกรมมี่ เพราะเมื่อฝีมือการประพันธ์เพลงของเสกมาเจอกับการประชาสัมพันธ์ระดับเทพของแกรมมี่ ชื่อเสียงของเสก โลโซจึงดังกระฉ่อน ทั้งนี้ไม่รวมรายได้ที่มาจากการจำหน่ายซีดีและการแสดงคอนเสิร์ตซึ่งเป็นเงินมหาศาลจนทำให้เสกมีบ้าน มีรถ และมีเงินมากมายไปหว่านโปรยให้สาวๆ หากไม่ได้สังกัดค่ายใหญ่เช่นนี้ เสกคงไม่มีทางที่จะมีรายรับขนาดนั้น นี่เป็นสิ่งที่เสกเองก็ตระหนักดีเพราะเขาก็กล่าวถึงในการแถลงข่าวยอมรับผิด
ฉะนั้น การออกมาพูดถึงสังกัดตัวเองในทางลำเลิกบุญคุณจึงเป็นเรื่องที่คนดีๆ ไม่คิดที่จะทำอย่างแน่นอน และเมื่อเสกรีเควสต์ แกรมมี่จึงสนองด้วยการฉีกสัญญา ตัดหางปล่อยวัด แม้จะดูเหมือนแกรมมี่ออกตัวช้าเกินไปต่อเรื่องนี้ แต่ข้ออ้าง “รอให้หลักฐานชัดเจนว่าเสพยาเสพติดจริง” ก็พอจะรับฟังได้ เพราะเมื่อเสกออกมาพูดด้วยตัวเองว่าเขาเสพยาจริง แกรมมี่ก็มีสาเหตุในการไล่ออกที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง
แต่ระวัง … เรื่องธุรกิจกับผลประโยชน์ อะไรก็เกิดขึ้นได้ วันนี้อาจจะตัดหาง วันหน้าอาจจะกลับมาต่อหางกันใหม่ก็ได้ ใครจะรู้
ถ้าสมมติเสกไม่ได้เมายาขณะตั้งโต๊ะแถลงข่าว ก็ต้องบอกว่าเจ้าตัว “เลวจริง” ที่ยอมรับในความผิดทั้งหมดของตัวเองอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่ไม่ได้กล่าวขอโทษหรือมีทีท่าสำนึกผิดแม้แต่น้อย กลับพยายามหาเหตุผลมารองรับการทำผิดของตัวเองแบบข้างๆ คูๆ เอ่ยชื่อคนใหญ่คนโตโดยไม่มีที่มาที่ไป พูดย้ำวนไปวนมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “กูโกหกไม่เป็น” ความชั่วเลวในระดับที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่ยังยอมทิ้งเงินล้านแล้วตัดหางปล่อยวัด สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับตำแหน่งบุคคล Here of The Year ของวงการบันเทิงประจำปี 2011 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป แฟ้มบุคคลขอโห่ร้องให้จากใจจริง
...........................................
ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 116 วันที่ 24 -30 ธันวาคม 2554