xs
xsm
sm
md
lg

30 กำลังแจ๋ว : ความบันเทิงที่มิควรตั้งคำถาม/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ทั้งๆ ที่มีหนังไทยชื่อเก๋ๆ อย่าง “แวมไพร์สตรอเบอร์รี่” เข้าฉายในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และผมเองก็ได้ไปจ่ายเงินให้กับโรงหนังมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สุดท้าย หลังจากมานั่งชั่งใจว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องดังกล่าวดีหรือเปล่า เพราะอันที่จริง ไอ้ที่ว่า “ไปจ่ายเงินให้กับโรงหนัง” นั้น พูดตามตรง มันน่าจะเป็นการ “เสียค่าโง่” มากกว่า

เสียค่าโง่ เพราะรู้ทั้งรู้ว่าหนังแบบนี้ จะไปคาดหวังอะไรมิได้ แต่จากภาพหนังตัวอย่างเท่ๆ ที่เล่นภาพกราฟฟิกเหมือนหนังการ์ตูน (แม้จะเพียงนิดหน่อย) ก็พอจะคิดแบบเข้าข้างคนทำได้ว่ามันน่าจะมีอะไรที่พอให้เก็บเกี่ยวได้อยู่ ในเชิงสมองหรือไอเดีย นั่นยังไม่นับรวมว่า นี่คือหนังผีที่มีกลิ่นอายหรือรากเหง้าแบบหนึ่งซึ่งเคยฮิตอยู่ในบ้านเราเมื่อราวๆ ทศวรรษ 2520 ซึ่งหนังผีไทยยุคนั้น มีการรับเอาอิทธิพลของผีต่างประเทศมาแต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่แล้วทำออกมาในแนวทางหนังตลก ไม่ว่าจะเป็น “หักเหลี่ยมแดร๊กคูล่า”, “เดชผีดิบ” ฯลฯ และที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากก็คือ “แดร๊กคูล่าต๊อก” ซึ่งได้ตลกชั้นครูอย่างคุณล็อต๊อกมาช่วยดันความดังให้กับตัวหนัง

ผมไม่รู้ว่า “วิดิฐ ธัญพันธุ์” กับ “บุญชู เชิญยิ้ม” สองผู้กำกับแวมไพร์สตรอเบอร์รี่ มีฐานความรู้ที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์หนังไทยในช่วงเวลาที่ว่าหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ หนังเรื่องนี้ของสองผู้กำกับ ทำให้ผมเห็นว่า กาลเวลาร่วมๆ 30 ปีที่ผ่านไป ไม่ได้ทำให้พัฒนาการของหนังไทยแนวนี้ “เหนือ” กว่าหนังรุ่นคุณปู่แม้แต่น้อย ผมไม่ใช่พวกที่โหยหาหรือยึดติดอยู่กับอดีต แต่ขอโทษ หนังผีตลกยุคที่คุณล้อต๊อกแสดงไว้ กลับให้อรรถรสความสนุกมากกว่าหลายเท่าตัว

พูดสั้นๆ มัน “กาก” ไปเสียทุกส่วน ไล่ตั้งแต่เรื่องภาพ แสง สี เสียง การแสดง ตัวบท เนื้อเรื่อง เฉพาะอย่างยิ่ง งานด้านภาพและการบันทึกเสียง (ก้องๆ เป็นระยะๆ) นั้น ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “นี่กูดูหนังซูมอยู่ใช่ไหม?” (เพื่อนผมคนหนึ่ง หยาบคายมาก ถึงขั้นตั้งคำถามว่า นี่เขาทำหนังเพื่อฟอกเงินหรือเปล่า เลยไม่ต้องวอรี่กับคุณภาพอะไรทั้งสิ้น)

ฝากไปถึงทีมงานของหนังเรื่องนี้ครับว่า บางที คุณอาจจะเอาดีทางนี้ไม่ได้จริงๆ หรือถ้าหากอยากจะทำอีก ผมมองว่า พื้นที่ของพวกคุณก็ควรจะเป็นกลุ่มหนังแผ่นที่วางขายตามกระบะ อย่างนั้นจะเหมาะสมมากกว่าการนำเข้าฉายในโรง แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าคุณคิดว่า การหาเงินมันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ แบบว่า “เข้าโรงไปเหอะ อย่างน้อยก็ได้ 4-5 ล้าน” ถ้าคิดอย่างนั้น ก็ให้ถือว่าประเทศของเราคงป่วยไข้มากมายอยู่

สองสัปดาห์ที่ผ่าน จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นสองสัปดาห์นรกสำหรับคนดูหนังไทยโดยแท้จริง เพราะหนังสองเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ฯ หรือมิดไมล์ ล้วนเข้าข่ายเดียวกัน คือ “กาก” อย่างหาที่ติมิได้ เพราะมันไม่จำเป็นต้อง “มองหา” หากแต่สามารถ “มองเห็น” ได้ในทุกอณูของเนื้อหนัง

อย่างไรก็ดี ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านั้นสามถึงสี่สัปดาห์ อาจจะยัง “พอพูดได้ว่า” เป็นสัปดาห์หรรษาของคนดูหนังจำนวนหนึ่งได้อยู่ อย่างน้อยๆ สาวโสดวัยเลขสามจำนวนหนึ่ง น่าจะแฮปปี้กันพอสมควรกับเรื่องราวของสาวโสดเฉียดคานสองคนในหนัง “30+ โสด On Sale” และ “30 กำลังแจ๋ว”

ในแง่ความสนุก...ผมจะนิยามคำว่า “สนุก” ในความหมายของการได้หัวเราะเฮฮาไปกับหนัง... 30+ โสด On Sale อาจเทียบไม่ได้กับ 30 กำลังแจ๋ว ที่ดูเหมือนจะมีฉากมีซีนที่เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากผู้ชมได้ดังกว่า ซึ่งอันที่จริง ผมคิดว่าก็ไม่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะสำหรับหนังของเสนาเพชรเรื่องก่อน อย่าง “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” ก็ไม่ใช่หนังประเภทที่หวังผลในเชิงทำให้คนดูหัวร่องอหาย นอกเหนือไปจากอมยิ้มที่ริมฝีปากได้เรื่อยๆ ตลอดเรื่อง

กระนั้นก็ดี แม้ความ “สนุก” นี้ จะดูด้อยกว่า 30 กำลังแจ๋ว แต่ความจริงแล้ว “บทภาพยนตร์” ของ 30+ โสด On Sale ดูจะสมูธมากกว่าอยู่หลายส่วน หมายความว่า หนังไม่ได้มีจุดรั่วรูโหว่ซึ่งก่อให้เกิด “คำถามคาใจ” มากมายนัก แต่เรากลับจะมองเห็นสิ่งนี้ในหนังที่ถูกใจผู้คนมากๆ อย่าง 30 กำลังแจ๋ว

เล่าแบบไม่เยิ่นเย้อ ในเรื่อง 30 กำลังแจ๋ว “จ๋า” คือหญิงสาวอายุ 30 ต้นๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาอึมครึมของความรัก หลังจากแฟนหนุ่มที่คบกันมาถึง 7 ปี ไม่ยอมตกลงปลงใจเข้าสู่ประตูวิวาห์กันสักที ปล่อยให้เธอหวั่นหวิวกับคานทองที่รองรับอยู่เบื้องหน้า แต่แล้วก็มีเด็กหนุ่มวัย 24 ปีคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตของจ๋า และดูท่าว่า เจ้าเด็กหนุ่มรุ่นน้องของจ๋าหลายปีคนนี้นี่ล่ะที่จะเป็นคู่แท้ของเธอเข้าให้แล้ว

ผมจะแกล้งๆ มองข้ามรายละเอียดบางอย่างของหนังที่ชวนให้นึกถึงหนังเรื่องอื่นๆ ไล่ตั้งแต่ตัวโปสเตอร์ที่บังเอิญคล้าย (?) กับหนังเกาหลีเรื่อง The Naked Kitchen (ก็อปชื่อหนังแล้วไปเสิร์ชหาภาพเพื่อเทียบเคียงได้) ขณะที่คนสายตาละเอียดๆ และช่างจับผิดหน่อย ก็อาจจะเห็นว่า ฉากเปิดเรื่องที่จรวดกระดาษปลิวว่อนมาตกตรงเท้าพระเอกนั้น ก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับฉากขนนกปลิวพลิ้ว แล้วมาตกแทบเท้าตัวละครเอกเช่นกัน! ในหนังเรื่อง Forrest Gump ซะเหลือเกิน

แต่เอาเถอะ ตัดความรำคาญใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นออกไปเสีย จะพบว่าหนังนั้นมีดีระดับหนึ่งแน่นอนครับ อย่างน้อยที่สุด ในแง่ของบทสรุปด้านเนื้อหาสำหรับสาวที่กำลังเวิ่นเว้อหวั่นไหว ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ด้วยการหยิบยื่นคารมคมคิดเก๋ๆ กระจุ๋มกระจิ๋มว่า กับชีวิต บางทีก็อย่าไปใช้สมองกับมันมาก ลองฟังเสียงของหัวใจตัวเองบ้าง ขณะเดียวกัน การแสดงของอั้ม-พัชราภา กับบทของสาวใหญ่ ในหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก สุข เศร้า เหงา รั่ว ที่จับจูงคนดูให้ “รู้สึกร่วม” ไปกับเธอได้ (ผมไม่ได้พูดถึงทั้งหมด แต่ย่อมมีคนดูจำนวนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้)

แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้นั่นล่ะครับ เมื่อเทียบกับ 30+ โสด On Sale แล้ว 30 กำลังแจ๋ว ดูจะมีองค์ประกอบที่ชวนให้รู้สึกมีคำถามอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวละครหลัก อย่าง “ปอ” (เคน-ภูภูมิ) หนุ่มน้อยที่เข้ามาสั่นคลอนหัวใจของสาวรุ่นพี่

ตัวละครตัวนี้ ถือเป็นแบบฉบับของคาแรกเตอร์ขายฝันอย่างถึงที่สุด ถ้าไม่นับรวมหน้าตาท่าทางยิ้มแย้มที่แง้มบานประตูแห่งความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจให้กับหญิงสาวทุกผู้ที่พบเห็น อย่างน้อยๆ ก็บรรดาตัวละครสาวๆ ในเรื่อง ที่บางคนถึงกับหล่นความต้องการออกมาโต้งๆ ว่า เด็กคนนี้มันน่า “ดูเอ็น” เอ๊ย “เอ็นดู” ซะจริงๆ การพูดการจาก็ดูเป็นพระเอ๊กพระเอก ด้วยถ้อยคำที่ดูเหมือนท่องมาจากหนังสือพาฝันหวานแหววที่ทำให้โสตประสาทของผู้รับฟังเสมือนเคลือบน้ำตาลปี๊บ เพราะมันหวานหยดย้อยซะเหลือเกิน

แต่เพราะอย่างนี้แหละครับที่ทำให้เรา (ใครบ้างก็ไม่รู้?) เกิดความรู้สึกไม่เชื่อถือในตัวละคร เพราะมันดู “ปลอม” เกินกว่าจะให้ความรู้สึก “สมจริง”

นอกจากความไม่สมจริงในคำพูดที่มนุษย์มนาไม่ใช้พูดกันในยามปกติ (ซึ่งฟังแล้ว ชวนให้วิงเวียนเลี่ยนรูหูและนึกอยากจะอาเจียนอยู่มาก!) ยังมีความไม่สมจริงในด้านการปรากฏตัวของเขาในแต่ละฉากที่ราวกับว่า “ถูกจัดวาง” ขาดความเป็นธรรมชาติ นึกจะไปโผล่ตรงไหนก็โผล่ได้ บนรถเมล์ ในสวนสาธารณะ จะค่ำมืดดึกดื่นหรือแดดเปรี้ยงลมแรง ขอเพียงแค่ที่ตรงนั้น มี “จ๋า” อยู่สักคน หนุ่มหล่อของเราก็พร้อมจะโผล่ไปได้ทุกเมื่อ แน่นอนครับ ถ้าสุดท้าย หนังหักมุมตอนจบว่า แท้จริงแล้ว “ปอ” คือ “ผี” ผมอาจจะเชื่อกว่านี้เยอะ!

สิ่งต่างๆ เหล่านี้นี่แหละที่มันไปลดทอนความน่าเชื่อถือและสมจริงสมจังของหนังอย่างไม่น่าจะเป็น อันที่จริง มันก็เป็นเช่นเวลาที่เราดูหนังไทย หลายๆ เรื่องนั่นแหละครับ เราต้องออกแรง “ช่วย” หนังคิด และหาเหตุผลให้กับเรื่องราวและตัวละครไปด้วย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะงงและสับสนได้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เฉกเช่นเดียวกับการที่ “จา พนม” จู่ๆ ก็ไปโผล่ที่ต่างประเทศในหนังเรื่อง “ต้มยำกุ้ง”

ผมคิดว่า วิธีการหนึ่งซึ่งจะลดความเลี่ยนของพ่อเทพบุตรจำแลงที่ดูเหมือนหุ่นยนต์ซึ่งถูกตั้งโปรแกรมการสนทนา (บันทึกบทพูดหวานๆ ไว้ในระบบ และหลุดออกมาโดยอัตโนมัติเวลาเจอหญิงสาวที่ตัวเองชอบ) ให้มีทีท่าที่ “สมจริง” ขึ้น ก็คือ นอกจากบทพูดของปอที่สมควรต้องลดระดับลงมาเป็นภาษาที่ “คนธรรมดาๆ” พูดกันทั่วไปแล้ว คำหวานเลี่ยนทั้งหลาย ก็อาจจะต้องทำให้มันกลายเป็น “มุก” แบบที่เขาเรียกกันว่า “มุกเสี่ยวๆ” คือทำให้คำพูดต่างๆ ของปอ ดูมีลักษณะหรือท่าทีแบบทีเล่นทีจริง และการทำแบบนี้ ผมเชื่อว่ามันก็คงไม่ทำให้ความน่ารักน่าทะนุถนอมของปอลดลงไปมากมายหรอก (กลับจะดูน่ารักน่าชังมากขึ้นด้วยซ้ำ)

บางที ความจริงจังมากเกินไป ก็ลดทอนความสมจริงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่การ “ทีเล่นทีจริง” กลับจะให้ความสมจริงยิ่งกว่า เพราะเรารู้ว่ามันไม่จริง

ครับ พูดแบบนี้แล้ว ก็มั่นใจได้เลยว่า คงจะมีพวกความคิดเท่ๆ ตอบกลับผมมาแน่นอนว่า จะให้จริงแค่ไหน นี่มันหนังนะครับโว้ย ไม่ใช่สารคดี ถ้าอยากดูอะไรที่มัน “จริง” ก็ไปดูสารคดีโน่น ซึ่งพูดตามตรง ผมเองก็ไม่คิดจะไปโต้แย้งกับพวกความคิดเท่ๆ แบบนี้หรอกนะครับ เพราะเขาก็พูดถูกอยู่ส่วนหนึ่ง เพียงแต่ที่ผมพยายามพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็คือ หนังไทยจะไปไหนไม่ได้เลย หากลำพังแค่การทำให้ตัวละครเป็นที่น่าเชื่อถือหรือดูสมจริงสมจัง ยังทำไม่ได้

คือจะน้ำเน่าอย่างไรก็น้ำเน่าได้เต็มที่ครับ เพราะอันที่จริง เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มันก็เป็นหนังในสายที่ถูกขังไว้ในกรอบกรงของนิยามคำว่าน้ำเน่ามานมนานกาเลแล้ว แต่ประเด็นก็คือ เราจะเน่าอย่างไรให้มันเจ๋ง อย่าง Titanic ที่ดังไปทั่วโลก ก็พล็อตเน่าๆ เหมือนกันล่ะครับ หรือถ้าเน่ายังไม่พอก็นึกถึง Notting Hill นั่นอีก เน่าทั้งกระบุง แต่ที่มันโดนใจมวลมหาประชาชนไม่ว่าชาติใดในโลก อยู่ยงคงกระพันเป็นอมตะและพร้อมจะมีนักดูหนังรุ่นใหม่ๆ สืบทอดความหลงใหลได้ปลื้ม ส่วนหนึ่งนั้น ยากปฏิเสธว่าเป็นเพราะความสมจริงสมจังของตัวเนื้อเรื่อง ตัวละครที่มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกรู้สา และมีบุคลิกที่ทำให้เราเห็นว่ามันน่าเชื่อถือ ไม่ใช่ดูลักลั่นในแบบที่ว่า ทางหนึ่งดูซึมกะทือ หงิมๆ ติ๋มๆ แต่เวลาจีบหญิง พวกกลับคุกคามรุกฆาตเอาตายราวกับว่าจะต้องเผด็จศึกให้ได้ในวินาทีนั้น แม้แต่เพลย์บอยตัวพ่อยังอาจต้องอาย!

กล่าวอย่างถึงที่สุด “30 กำลังแจ๋ว” วางแนวของตัวเองให้มีจริตแบบละครน้ำเน่าอย่างเต็มรูปแบบ (ถ้านึกไม่ออกว่าเน่าตรงไหน ก็นึกถึงฉากร่อนจรวดกระดาษตรงระเบียงบ้านนั่นเลยครับ ชะเง้อหน้าชะแง้คอไปคุยกันก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะดูไม่โรแมนซ์จั๊กจี้หัวใจ) ขายฝันสวยๆ ให้กับสาวๆ ด้วยการตั้งสมมติว่ามีหนุ่มหล่อคารมดีนิสัยเลิศ รอคอยเราอยู่ที่มุมเลี้ยวสักแห่งบนทางชีวิต (พูดเช่นนี้ ผมไม่ได้มีจิตคิดดูถูกดูแคลนสิ่งที่สตรีอาจจะรักและชอบนะครับ เพราะถ้ามองอย่างเข้าใจ ผู้ชายในความเป็นจริง คงจะห่วยจริงอะไรจริง จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงจะต้องใช้วิธีเที่ยวท่องไปในโลกของจินตนาการอันสวยหรู เฉกเดียวกับผู้หญิงที่สูงวัยขึ้นไปอีกหน่อยจำนวนหนึ่ง ใช้ละครน้ำเน่าเป็นเครื่องผ่อนคลายจากความน่าเบื่อของงานบ้าน)

ความสุขที่เกิดขึ้นกับการดูหนังเรื่องนี้ จึงเป็นความสุขที่เปรียบได้กับความสุขในการดูละครน้ำเน่า ปลอบประโลมใจคล้ายยากล่อมประสาท ซึ่งใครก็ตาม ไม่ควรไปตั้งคำถาม เพราะหากตั้งคำถามหรือมีความสงสัยขึ้นมา นอกจากจะทำให้ไม่สามารถเอนจอยกับการดูการชมแล้ว ก็อาจจะเจอการโต้กลับเหมือนบรรดาคอมเมนต์ทั้งหลายที่จะตามมาท้ายบทความนี้ แน่นอน เชื่อส้มตำหอยดองหน้าปากซอยกินคอยได้เลย!







กำลังโหลดความคิดเห็น