“เสี่ยเจียง” โม้แหลก! จะดัน “จา พนม” ให้เหนือกว่าพระเอกบู๊ระดับตำนานอย่าง “เฉินหลง-เจ็ตลี” มั่นใจจาจะแทนที่นักบู๊ทั้งหมดได้ ทุ่ม 300 ล้าน สร้าง “ต้มยำกุ้ง2” เอาให้ยิ่งใหญ่ทั้งโลกต้องตะลึง
แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว สำหรับภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ “ต้มยำกุ้ง ภาค2” โดยงานนี้ “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสิรฐ” บอสใหญ่ค่ายสหมงคลฟิล์ม ได้ออกมาเผยถึงหนังต้มยำกุ้ง2 ว่าจะทำให้ยิ่งใหญ่สมการกลับมา ด้วยการทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท สร้างให้ยิ่งใหญ่เอาให้ทั้งโลกตะลึง พร้อมกันนี้เสี่ยงเจียงยังฝันไกลหวังจะดันพระเอกหนุ่มนักบู๊ “จา พนม ยีรัมย์” ให้ก้าวขึ้นไปแทนที่พระเอกนักบู๊ระดับตำนานอย่าง “เฉินหลง” และ “เจ็ตลี” อีกด้วย
“ผมอยากจะเอาหนังเรื่องนี้กลับมาอีกที มาทำเป็นภาค 2 แล้วผมอยากเห็นจาเล่นให้เหนือกว่าเฉินหลง และ เจ็ตลี เพราะเดี๋ยวนี้หนังของพวกเขาเริ่มจะไม่ค่อยมีอะไรแล้ว นักสู้ต่างชาติกำลังอยู่ในช่วงขาลง เราก็อยากจะเอาจาขึ้นมาสู้ใหม่อีกครั้งนึง เชื่อว่าไอ้จาจะมาแทนที่นักบู๊ทั้งหมด และไหนๆ จะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ก็เอาจีจ้ากับเดี่ยวขึ้นมาด้วยกัน ก็เอาให้ยิ่งใหญ่ไปเลย รวมกันเป็น 3D รับรองว่าเรื่องนี้ต้องสร้างชื่อให้กับประเทศไทยให้จงได้”
“ทุนอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 300 กว่าล้าน คิดว่าน่าจะสร้างแอ็คชั่นไทยไปทั่วโลกได้ เรื่องนี้เราทำคนเดียวไม่ได้เอาใครมาร่วมทุน ผมว่าอยู่ที่เราทำ เราเคยทำมาแล้ว แต่คราวนี้จังหวะเราดี ในเมื่อจังหวะที่นักสู้ต่างชาติเบาลง เราก็จะดึงหนังตัวเราขึ้นมา และกว่าเราจะเอาขึ้นมาเราก็ระดมทุนทั้งหมดทำให้มันดี เพราะเรายังไม่เคยทำหนัง 3D เลย ก็อยากจะทำเพราะนี่เป็นเรื่องแรกในระบบ 3D”
“ผมอยากจะทำให้เหมือน DIEHARD3 อยากจะทำอย่างนั้นให้มันถล่มทลายไปเลย เป็นครั้งแรกของเมืองไทย ซึ่งทั้งโลกต้องตื่นตะลึง เรื่องศิลปะการต่อสู้อันนี้ต้องอยู่ที่พันนา ต้องทำให้สุดขีดเพราะเป็นครั้งแรกที่ทั้งจา ทั้งจีจ้า ทั้งเดี่ยวออกมาพร้อมกัน ความคิดที่อยากจะทำอีกอย่างนึงก็คืออยากดึงปรัชญา พันนา แล้วก็จากลับมาร่วมงานใหม่ โดยเอาจีจ้ากับเดี่ยวมาเสริม และอยากสร้างภาคนี้ให้ยิ่งใหญ่กว่าเก่าให้เป็น 3D แล้วก็อยากจะทำชิ้นนี้ให้ออกไปสู่ตลาดโลก ให้คนทั้งโลกได้รู้จักเมืองไทยมากขึ้น”
ส่วนความบาดหมางระหว่างผู้กำกับ “ปรัชญา” กับ “จา พนม” ที่หลายคนจับตามองถึงการกลับมาร่วมงานกันครั้งนี้ ว่าจะทำให้มีปัญหากันอีกหรือไม่นั้น ปรัชญาก็ชี้แจงว่า ร่วมงานกันได้ แต่จะงดคุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงานเท่านั้น
“เรื่องนั้นมันผ่านมาแล้วครับ ถือว่าสิ่งที่เราได้ทำกันมา แล้วไปเจอเรื่องดีบ้างไม่ดีบ้างทุกอย่างมันก็ผ่านไป แต่ผมว่าทุกอย่างมันคุ้มกับที่เราได้ภาพรวมสู่ประเทศ แต่มาถึงวันนี้ผมว่าทุกคนคงมีบทเรียนไปคนละแบบ คนละอย่าง สุดท้ายยังไงก็ตามทุกคนรักหนัง ทุกคนกลับมาทำหนัง หนังคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเราทุกคนครับ ถามว่าร่วมงานกันได้สบายใจไหม เราคุยกันภาษาหนังครับ(หัวเราะ) เราจะไม่คุยเรื่องอื่น คุยแต่เรื่องหนัง เพราะว่าเราตั้งใจทำงานและมั่นใจว่าออกมาดีครับ ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะว่าที่มีปัญหาไม่ใช่เรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องหนัง ถ้าเรื่องหนังก็ทำงานกันได้”
“แต่ภาคแรกกับภาคสองก็ต้องมีเกี่ยวเนื่องกันครับ ก็อยากจะลบคำว่า ช้างกูอยู่ไหน(หัวเราะ) อยากจะเอาคำอื่นมามั่ง ตอนนี้คิดว่าของไทยที่น่าดูมีเยอะ เรื่องนี้คงอยากจะเน้นเวอร์ชั่นประเทศไทย แต่ว่าเนื้อหาคงต้องเป็นสากลแล้วก็ใส่ความเป็นไทยให้มันลงตัว ส่วนเรื่องการทำ 3 มิติมันจะยุ่งยากกว่าทำธรรมดาครับ แล้วยิ่งปกติแล้วเราถ่ายหนังสั้นระบบ 2D เราก็ต้องใช้กล้อง 2-3 ตัว คราวนี้ถ่ายครั้งนึงก็อาจจะเป็น 6-8 ตัว ซึ่งมันจะยุ่งยากกว่า แต่เนื่องจากว่ากระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปของวงการหนังต้องเป็น 3 มิติ การดูหนังทุกวันนี้ต้อง 3 มิติแล้ว อีกอย่างนึง 3 มิติกับแอ็คชั่นเป็นสิ่งที่เข้ากันมาก”
“เวลาในการถ่ายทำก็ต้องเพิ่มมากขึ้นครับ มันจะช้ากว่าเดิมหน่อยนึง แต่ที่วางแผนไว้เสี่ยเจียงบอกว่าปลายปีนี้ครับ ก็คิดว่าจะเริ่มเร็วที่สุด ตอนนี้กำลังคิดทุกอย่างให้ออกมาดี ให้ทุกอย่างพร้อมแล้วก็ถ่ายทำก็คิดว่าต้องเร็วที่สุด เสี่ยเจียงเขาบอกว่าถ้าถ่ายพรุ่งนี้ได้ก็ถ่าย(หัวเราะ) แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่พร้อมครับ แต่ใจทุกคนพร้อม แต่เรื่องบทคงต้องทำให้ดีก่อน เพราะทำหนังแอ็คชั่นก็ต้องทำให้ถึงรส ถึงใจ ให้มันเข้มข้นครับ”
ด้าน “จา พนม” เองก็ได้เปิดใจกรณีมีข่าวลือว่า เจ้าตัวจะไม่ต่อสัญญากับสหมงคลฯ เพราะจะหนีไปเล่นหนังกับค่ายหนังที่ฮ่องกงถาวรว่า…
“สัญญากับค่ายต่างประเทศไม่มีครับ ผมมีสัญญากับเสี่ยคนเดียวครับ(หัวเราะ) แต่ก็มีค่ายต่างประเทศติดต่อมาจริงครับ แต่ก็ยกให้ทางบริษัทเขาจัดการ ก็มีคนเข้ามาเสนอเพราะพอหนังออกไปก็มีคนสนใจว่าอยากเล่นหนังต่างประเทศไหม ผมก็เลยบอกว่าให้ไปติดต่อต้นสังกัด เพราะผมมีสัญญากับต้นสังกัดอยู่ แต่จะมีโอกาสไหมก็ต้องขึ้นอยู่กับทางเสี่ยครับ แต่ผมกับเสี่ยก็คือสัญญาใจครับ”
“ส่วนที่ได้กลับมาทำภาค 2 ผมว่าพอดีจังหวะทุกอย่างลงตัวหมด ไม่ว่าจะเป็นทีมผู้สร้างหรือทางเสี่ยเจียงแล้วก็ผู้กำกับเราเคยร่วมงานกัน ต้มยำกุ้งภาคแรกแล้ว ผมว่าตอนนี้มันยิ่งเป็นพลังบวกให้กับเราคนทำหนัง และเป็นหนังแอ็คชั่นที่ต้มยำกุ้งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติแล้ว เพราะว่าการที่เราจะคิดอะไรที่ใหม่ๆ และเพิ่มขึ้นเป็นทางบวก ทุกคนต้องมารวมกัน พวกเราก็เลยเกิดประกายมีพลังตรงนี้ขึ้นมา โดยที่เสี่ยเจียงก็ให้ทุนไม่อั้น เราก็มีความรู้สึกว่าทุกคนมีพลังใจเกินร้อยครับ”
“เรื่องรูปแบบการต่อสู้ เมื่อตอนแรกแรกเราเสนอเกี่ยวกับช้างไปแล้ว ในภาคนี้ก็คงทำการบ้านกันหนักและมากขึ้น เพราะภาคใหม่ที่จะทำผมต้องนั่งคุยกับอาจารย์พันนา แล้วก็ต้องทำท่าให้ดู ไม่ว่าจะเฉพาะผมนะครับ เพราะมีน้องๆ ทีมงานทุกๆ คนด้วย เหมือนกับว่าต้องมาฟอร์มทีมกันใหม่ เหมือนเราแข่งชกมวยที่จะไปชิงแชมป์โอลิมปิก ก็ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราได้มารวมพลังกันอีกครั้งหนึ่ง มีอะไรใหม่ๆ ก็ต้องเป็นดับเบิ้ลแน่นอน”