ร้างเรื้อจากการเขียนบทความไปนานร่วมสองเดือน บางที การได้พักยาวๆ ก็เป็นผลดีเหมือนกันนะครับ ก็เหมือนคนทำหนังนั่นล่ะ บางขณะก็ต้องสต๊อปตัวเองเพื่อไปหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ บ้าง ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาจะทำสกอร์ให้ได้ปีละ 2-3 เรื่อง แต่ทำออกมาแล้ว “ไม่ได้เรื่อง” เลยสักเรื่อง อันนี้ผมไม่ได้ว่าใคร เอ๊ะ! หรือว่ามีใครเข้าข่ายนี้ ผมไม่รู้ด้วยนะครับ
กลับมารอบนี้ ก็บังเอิญเหลือเกินที่มีหนังไทยเข้าฉายให้ได้พูดถึงพอดิบพอดี โดยส่วนตัว ผมมองว่าเป็นหนังไทยที่ใจถึงใช่ย่อย เพราะขณะที่มหาอุทกภัยทะลักทลายเข้าท่วมบ้านเรือนของผู้คนแบบนี้ หนังฟอร์มกระจุ๋มกระจิ๋มอย่าง “มิดไมล์” (แต่ “เล่น” โฆษณาซะใหญ่ยังกับละครเวที) กลับบิดคันเร่งเข้าฉายแบบไม่เกรงฤทธิ์เดชพระแม่คงคาแต่อย่างใด
พูดง่ายๆ เขาไม่กลัวผลกระทบบ้างหรือว่า จะไม่มีใครไปดู เพราะผู้คนเขาติดน้ำท่วมกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ หลายๆ เสียงอาจจะบอกว่า หนังแบบนี้เข้าฉายตอนไหนก็เหมือนกันนั่นล่ะท่าน เพราะต่อให้โรงหนังแห้งสนิทหรือถนนหนทางว่างจากน้ำ รายได้ก็ใช่ว่าจะต่างกันสักเท่าไหร่หรอก อันนั้นก็ว่ากันไปนะครับ แต่เบื้องต้น มาทำความรู้จักกับหนังเรื่องนี้ก่อนดีกว่า
มิดไมล์ เหมือนหนังไทยอีกไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องที่ทำให้ผมเกิดอาการเปลี้ยได้เสมอๆ ต่อการจะเล่าเรื่องย่อ เพราะความไม่ชัดเจนของเส้นเรื่อง ถ้าจะลอกเอาตามที่ค่ายหนังเขาใช้ ผมก็เกรงว่าจะต้องทำให้คุณๆ นั่งอ่าน “เรื่องย่อ” ไปอีกอย่างน้อยสี่ย่อหน้า แล้วมันจะเป็นเรื่องย่อได้อย่างไร คิดแล้วก็อดที่จะติติงไม่ได้เลยครับ เพราะในขณะที่หนังประเทศอื่นๆ เขาเขียนเรื่องย่อกันเพียงแค่หนึ่งย่อหน้าก็รู้เรื่อง แต่เมืองไทยเรา ไม่รู้เป็นอย่างไร สอบตกวิชา “การย่อความ” กันไปทั้งหมด เพราะเท่าที่สังเกต เวลาผมเข้าไปอ่านเรื่องย่อหนังไทยตามเว็บต่างๆ ส่วนใหญ่ ผมว่ามันเป็น “เรื่องยาว” ซะมากกว่า บางที เล่ามากๆ ถึงขั้นสปอยล์หนังไปเลยก็ยังมี
เอาเป็นว่า ผมจะเริ่มจากตัวละครที่แสดงโดยคุณโก๊ะตี๋นี่แหละครับ โก๊ะตี๋ อารามบอย ในหนังเรื่องนี้ รับบทเป็นคนขับสามล้อส่งดอกไม้ แต่ลึกๆ ในใจ เขาหลงใหลการเล่นกับความเร็วมากๆ จนได้ฉายา “สามล้อตีนผี” และก็หวังว่าสักวันเขาจะได้เข้าไปประลองความเร็วในสนามแข่งรถจริงๆ เหมือนคนอื่นบ้าง (ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนหนังของตัวละครช่างฝัน 555 ฟังต่อไป) แต่ก่อนที่จะได้ไปเป็นนักซิ่งบนสนามแข่ง โก๊ะตี๋ก็ต้องมาปวดหัวกับเรื่องรักที่ไม่ลงตัวของลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้ที่ตัวเองรับจ้างอยู่ คือ “แก้มหอม” (กรีน เอเอฟ 5) ซึ่งไปหลงรักหนุ่มนักแข่งหน้านิ่งที่ชื่อ “กลด” (เจมส์ แม็กกี้) เธอเทียวไล้เทียวขื่อตามตื๊อเจ้าหนุ่มนั่นที่ดูท่าว่าจะไม่สนใจไยดีเธอเลย ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็มีหนุ่มอีกคนชื่อ “ต้น” (พีระพล เสนาคุณ) มาแอบชอบและพยายามให้โก๊ะตี๋ติดต่อแก้มหอมให้
เส้นเรื่องอันเบาบางของหนังก็วางไว้เพียงเท่านี้ว่า สุดท้ายแล้ว แก้มหอมจะลงเอยกับใครระหว่างผู้ชายสองคน ขณะที่โก๊ะตี๋เองก็พยายามเล่นบท “หมาแก่หยอกไก่” กับหญิงสาวอยู่เนืองๆ
คำถามข้อที่หนึ่ง ก็คือ จากที่เล่าเรื่องมา แล้วสาระของการเป็นหนังแข่งรถประลองความเร็ว มันอยู่ตรงไหน?
มันไม่ได้อยู่ตรงไหนหรอกครับ มันอยู่ในตัวอย่างโฆษณานั่นแหละ เพราะจริงๆ ในหนังนั้น มีฉากแข่งรถอยู่แค่ 2-3 ฉากเท่านั้น และเป็น 2-3 ฉากที่ดู “ง่อย” เอามากๆ
อันที่จริง หนังเรื่องนี้ได้สปอนเซอร์มาจากสิงห์เรซซิ่งนะครับ โฆษณาจะแจ้งแดงแจ๋แบบไม่มียางอาย เอ๊ย ไม่มีกระมิดกระเมี้ยนกันเลย ตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นยี่ห้อ “สิงห์” เต็มสองเบ้าตาจนน่ารำคาญ และผม...พูดไว้ในรายการ Viewfinder แล้วส่วนหนึ่งครับว่า ถ้าผมเป็นเจ้าของสินค้า อย่างการแข่งขันสิงห์เรซซิ่ง ผมจะฟ้องหนังเรื่องนี้ โทษฐานที่ทำให้ “ผลิตภัณฑ์” ของผมดูด้อยค่าต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะการแข่งรถในหนังนั้น ไม่ให้ความรู้สึก “สนุก-ลุ้น” แม้แต่น้อย ใครได้เห็นเข้า คงต้องร้อง ทำไมการแข่งขันสนามนี้ มัน “กาก” ซะขนาดนั้น
แต่เอาเถอะ ผมรู้...ว่าหนังระดับนี้ จะไปทำฉากความเร็วหรือแข่งรถให้มันดูสมจริงแบบหนังสปีดขั้นเทพอย่างพวก Fast and Furious หรืออะไรเทือกนั้น ก็คงยาก แต่นี่มัน “กาก” มากเกินไปไหมครับ คือดูแล้ว เรามองไม่เห็น “ความพยายาม” ของคนทำเลย เหมือนว่าทำไปงั้นๆ แบบไม่เต็มใจทำ แต่ประเด็นนี้ไม่ทำให้ผม “ปรี๊ด” ได้เท่ากับความมักง่ายของตัวบทที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวความรักของสองหนุ่มหนึ่งหญิงที่สะท้อนให้เห็นถึงความขี้เกียจคิดของคนทำอย่างยากจะปฏิเสธ
อันที่จริง มันก็ไม่ใช่หนังไทยเรื่องแรกหรอกครับที่ประสบความสำเร็จในเรื่อง “บทหนังที่ล้มเหลว” แบบนี้ (อย่าดีใจ คุณไม่ใช่คนแรก!!) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาหนังสายพันธุ์ที่วางโพสิชั่นให้ตัวเองว่าเป็นหนังตลกทั้งหลาย ล้วนแต่มักง่ายในบทหนังทั้งสิ้น
ไอ้เรื่องที่ว่าบ้านเราเมืองเรา จะมีหนังตลกเจ๋งๆ อย่างพวก Superbad, Knocked Up หรือ Pineapple Express พวกนั้น อย่าไปหวังเลยครับ เพราะลำพังแค่ทำให้หนังมันมี “เส้นเรื่อง” ที่จับต้องได้ เท่านี้ก็ล้มระเนระนาดแล้ว
คำถามก็คือ มันเป็นเพราะอะไร?
ตอบแบบไม่เข้าข้างใคร ก็คงได้ว่า เพราะคนทำหนังตลกไทยส่วนใหญ่ ขี้เกียจคิด หรือคิดไม่เป็น ไงครับ เพราะแม้แต่จะคิดว่า หนังเรื่องหนึ่ง ตัวเองจะสื่อสารเรื่องอะไรและเอาให้อยู่หมัด ก็ยังทำไม่ได้เลย
ก็เหมือนกับ “มิดไมล์” ที่ผมสามารถแนะนำได้ไหมครับว่า คนเขียนบทหรือใครก็ตาม ควรไปเรียนเรื่องการใช้ตรรกะเหตุผลมาเสียใหม่ เพราะหนังล้มเหลวในจุดนี้โดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะพอมองเห็นแววอยู่
ยกตัวอย่างเช่น การให้เหตุผลเกี่ยวกับตัวละครอย่าง “กลด” ที่ดูเหมือนจะมีปมเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่ทำให้เขามิอาจคบหากับแก้มหอมได้อย่างสะดวกดาย อย่างน้อยๆ ก็เรื่องครอบครัวที่บ้าน แต่หนังก็เปิดแง้ม “ประตู” บานนี้ออกมาแค่แง้มๆ แล้วก็ละเลยไม่สานต่อ จนทำเอาเรางงไปว่า แล้วครอบครัวของกลดมันมีปัญหาอะไรตรงไหน ขณะที่กลุ่มนักเลงที่ตามมารังควานนั่นก็ด้วย มีมาทำ “มะเขือ” อะไรไม่ทราบ เพราะมันไม่ได้มีที่มาที่ไปหรือเหตุและผลต่อตัวเนื้อเรื่องแต่อย่างใดเลย และที่สำคัญ จู่ๆ ตัวละครพวกนี้ก็หายไปแบบบื้อๆ มึนๆ
คงคิดว่า “ลวกๆ” แล้วกินได้เลย เหมือนกับจิ้มจุ่มแถวปากซอยกระมัง!!
เช่นเดียวกับบทของเด็กหนุ่มอย่าง “ต้น” ที่ก็ดูอ่อนด้อยในเรื่องเหตุผลไม่แพ้กัน ที่ผมขำมากๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ (เอ่อ...ขำแบบที่ไม่ใช่ตลกนะครับ แต่เป็นขำแบบว่า เออ มันทำไปได้ยังไงฟระ) ก็คือ ตอนที่เขาลุกขึ้นไปร้องเพลงคาราโอเกะ เข้าใจล่ะครับว่าอยากให้หนังดูโรมานซ์แบบเศร้าๆ แต่เชื่อสิ ฉากนี้คือฉากน้ำเน่าที่ไม่เข้าใจความโรมานซ์เอาซะเลย มันดูน่าขำมากกว่าโรมานซ์เศร้าๆ อย่างที่บอก
เรื่องรักระหว่างสองหนุ่มกับหนึ่งสาว ก็เป็นความรักแบบดาดๆ เหมือนคิดมาไม่เสร็จ ไม่รู้จะบอกแก่นสารอะไรของความรักผ่านเรื่องราวนี้ พูดแบบจริงใจ ทำเหมือนว่าไม่เคยมีความรักมาก่อน จึงมิอาจสื่อสะท้อนความรู้สึกแห่งรักออกมาได้ แต่อาจจะดูละครน้ำเน่าหรืออ่านนิยายหวานแหววเยอะไปหน่อย ก็เลยคิดอะไรๆ ที่มันเพ้อเจ้อเพ้อพกได้ดีขนาดนั้น...
ส่วนที่เลวมากๆ ของหนังอีกอย่างหนึ่ง (พูดเหมือนมีหลายอย่าง??) ก็คือตัวละครที่เล่นเป็น “วิชาเกิน” ผมไม่รู้ว่าคนทำใช้สมองส่วนไหนคิดคาแรกเตอร์ของตัวละครแบบนี้ขึ้นมา ตัวละครที่แบบว่าไม่ทำบ้าอะไรเลย นอกจากคอยตะโกนด่าโก๊ะตี๋เหมือนพวกสติแตก ไร้เหตุไร้ผล ก็เข้าใจล่ะครับว่า หนังต้องการจะทำให้เห็น “อุปสรรค” ของตัวละครโก๊ะตี๋ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคในการก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งรถ (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้เห็นว่าจะมีอุปสรรคหนักหนาถึงขั้นคอขาดบาดตายอะไรแม้แต่น้อย) แต่กระนั้น ผมว่ามันมีวิธีการอย่างอื่นอีกหมื่นแสนนะครับที่จะเล่นกับการสู้ชีวิตของคน นอกเหนือไปจากการผลิตตัวละครบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมา เช่นเดียวกัน...ตัวตลกที่เล่นเป็นคนติดอ่างนั่น ทำยังไงก็ไม่ขำ แต่พี่ท่านก็ยังดันทุรังให้เล่นอยู่นั่น แถมบางซีน “ยืด” จนรำคาญใจ
พูดอย่างถึงที่สุด นี่ไม่ใช่ว่า ผมจะมาอะไรมากกับหนังที่ใช้หางตามองหน้าหนังก็รู้ว่าไม่ควรคาดหวังอะไรกับมัน แต่อย่างน้อยๆ ผมคิดว่า นี่ก็เป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนแวดวงหนังไทยของเราได้เหมือนกันว่า ปัญหาจริงๆ นั้น บางที อาจไม่ได้อยู่ที่ว่าเราขาดแคลนคนทำหนัง (ก็เหมือนกับจะบอก “เราไม่ได้ขาดแคลนนักการเมือง แต่ “ขาดแคลนนักการเมืองดีๆ” ขณะที่มากมายด้วยนักการเมืองกากๆ) เพราะอันที่จริง เรามีคนทำหนังหน้าใหม่ๆ โผล่หน้าเข้ามาทำงานคนแล้วคนเล่า เหมือนอย่างคุณเจตนิพัทธ์ สาสิงห์ ที่กำกับเรื่องมิดไมล์ (ผมเดาว่า) ก็หน้าใหม่เหมือนกัน เพราะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ปัญหาก็คือ บ้านเราขาดคนทำหนังที่ “ขยันคิด” และมีความสามารถในการใช้เหตุผล ผู้กำกับเท่าที่เห็น ส่วนมากเลย จึงเป็นพวกที่เขาชอบพูดกันว่าเป็นพวก “ตีหัวเข้าบ้าน” ทำเรื่องหนึ่ง หวังหลอกชาวบ้านได้เงินไป แล้วก็หายต๋อมเป็นขี้หล่นลงน้ำ
เราขาดคนที่รู้จักใช้ความคิดอย่างมีเหตุมีผลพอที่จะเสริมสร้างพลังความน่าเชื่อถืออะไรให้กับตัวหนัง ตัวบท ไปจนถึงตัวละคร เพราะถ้าคิดเป็น เราคงไม่ได้เห็นสถานการณ์ที่สาวญี่ปุ่นมาเมืองไทยเพียง 2-3 วัน แต่พูดไทยได้คล่องปรื๋อราวกับเกิดมาจากอสุจิของคนไทย อย่างในหนังเรื่อง Love Summer โอเค คุณอาจจะอ้างว่า เธอคนนั้นอาจไปเรียนภาษาไทยก่อนมาเมืองไทย แต่คำอ้างนี้ก็จะถูกแย้งด้วยตัวของหนังเอง เมื่อหญิงสาวญี่ปุ่นก็แสดงให้เห็นตั้งแต่แรกพบกับกลุ่มแก๊งคนไทยแล้วว่าเธอพูดสื่อสารกับคนไทยไม่ได้
พูดมาทั้งหมด ผมไม่ได้หมายมาดนะครับว่า ทุกๆ คนจะต้องลุกขึ้นมาเป็นสปีลเบิร์กหรือคริสโตเฟอร์ โนแลน กันไปหมด แต่เอาง่ายๆ แค่ว่า รู้จักที่จะใช้เหตุผลกับตัวละครของตัวเองก็พอแล้ว ตัวละครของเรา เราสร้างมันขึ้นมา เราต้องรักมัน และทำให้มันดูดี ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่ว่าสร้างเขาขึ้นมาแล้วเลี้ยงดูแบบขอไปที
สำหรับผม มิดไมล์ เป็นหนังที่น่าผิดหวัง ซึ่งอาจจะถึงขั้น “น่าผิดหวังอันดับหนึ่งแห่งปี” (สูสีกับ “บ้านผีปอบ รีฟอร์เมชั่น” และแถมเป็นหนังที่ได้สปอนเซอร์จากเจ้าเดียวกันด้วย) จากรูปลักษณ์หรือทิศทางที่ชวนให้นึกว่าจะเป็นหนังที่เล่นซีเรียสกับการประลองความเร็ว แต่เอาเข้าจริง หนังกลับไปเน้นประเด็นเรื่องความรัก และแถมเป็นเรื่องรักที่เบาหวิว ไร้เหตุผล ไร้ความลึกซึ้ง แทรกแซมด้วยมุกตลกที่ถูกลอยแพจากเสียงหัวเราะ
ดูแล้วก็สงสารตัวละครหลัก ส่วนใหญ่ ถ้าไม่นับรวมพวกตัวละครตลก (โก๊ะตี๋, ค่อม ชวนชื่น ฯลฯ) และคุณเจมส์ แม็กกี้ ที่เคยผ่านงานหนังอย่าง “ศพไม่เงียบ” มาบ้าง นอกนั้นก็ไม่น่าจะเคยเล่นหนังมาก่อน เฉพาะอย่างยิ่ง หญิงสาวที่เล่นเป็นแก้มหอม หน้าตาก็ดูน่ารักใคร่เอ็นดูดีหรอกแม่คุณเอ๋ย แต่ดันมาเปิดตัวในหนังเรื่องแรกแบบนี้ ก็น่าเสียดายแทน
จำได้ว่า ผมดูไปได้ประมาณ 20-30 นาที ชักเริ่มคิดถึงบ้าน มีหนังแผ่นหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู มีหนังสือหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน และผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าหนังแผ่นเหล่านั้น หนังสือเหล่านั้น จะให้ “สมอง” หรือ “สติปัญญา” แก่ผมได้มากกว่านี้หลายล้านลูกบาศก์เมตร...แน่นอน
“ภาวะล่มสลายของการใช้สมอง” ผมมานั่งตรองๆ ดูเมื่อภายหลัง แล้วรู้เช่นเห็นชัดแบบที่หลายๆ คนชอบซัดผมว่า ผมเองนั่นแหละที่ล่มสลายในการใช้สมอง เพราะถ้าใช้ ผมคงไม่ออกจากบ้าน ถ่อสังขาร เสี่ยงน้ำท่วม ไปทรมานตัวเองกับหนังเรื่องนี้!!