เราอาจจะสรุปเส้นทางการทำงานในช่วง 20 ปีหลังของ “เฉินหลง” ว่าเป็นระยะเวลาแห่งการ “ดิ้นรน” ก็คงจะไม่ผิดนักนะครับ นอกจากจะดิ้นรนสู่การเป็นดารานักบู๊ “ระดับโลก” แล้วก็ยังเป็นการ “ดิ้นรน” เพื่อหนีความสำเร็จ “เดิม ๆ” ของตัวเองด้วย … แม้ผลหลาย ๆ ครั้งอาจจะออกมาไม่ค่อยสำเร็จอย่างที่หวัง แต่ก็เป็นพยายามที่นับว่าน่าชื่นชม
มีหนังอยู่หลายเรื่องที่ถือได้ว่าเป็นหลักฐานของความพยายาม เพื่อสำรวจแนวทางใหม่ ๆ ของ เฉินหลง ในช่วงมากกว่า 2 ทศวรรษหลัง ที่บ้างก็ล้มเหลว บางก็สำเร็จ แต่ที่ได้รับการจดจำเรียกเสียงปรบมือได้มากเรื่องหนึ่งก็คือหนังแนวอาชญากรรมที่ตั้งชื่อกันแบบตรง ๆ เลยว่า Crime Story ที่เข้าฉายเมื่อปี 1993
หนังแนวตำรวจจับผู้ร้ายเรื่องนี้เข้าฉายในเมืองไทย ด้วยการสร้างความเข้าใจผิดให้กับหลาย ๆ คนในยุคนั้นนะครับ กับชื่อไทยที่ว่า “วิ่งสู้ฟัด ภาคพิเศษ” คงไม่ใช่เรื่องผิดที่ทุกคนจะหวังเห็นคิวบู๊มันส์ ๆ เรื่องราวสนุกสนานในแบบหนังชุดตำรวจจับผู้ร้าย “วิ่งสู้ฟัด” ที่ตอนนั้นสร้างออกมาแล้วถึง 3 ภาค แต่นอกจากเรื่องราวจะไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว บรรยากาศต่าง ๆ ก็ผิดกันเป็นหน้ามือหลังมือด้วย
Crime Story หยิบเอาคดีเรียกค่าไถ่ที่เกิดขึ้นจริงในฮ่องกงมาดัดแปลงลงบนแผ่นฟิล์ม เป็นงานที่วิพากษ์ทั้งความฉ้อฉลของระบบราชการ และความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ของภาคธุรกิจเอกชน หนังยังมีคิวบู๊เป็นส่วนสำคัญของเรื่องอยู่นะครับ ฉากแนวเสี่ยงตาย ที่ก็ยังมีเต็มที่ แต่เพิ่มความสมจริงและตึงเครียดเข้าไป ที่สำคัญเป็นคิวบู๊ในแบบที่ไม่ได้บิดเบือนภาพความรุนแรงให้เป็นเรื่องบันเทิงเริงใจเกินควร อย่างที่หนังแอ็กชั่นส่วนใหญ่มักจะถูกกล่าวหา แต่เป็นความรุนแรงที่สร้างความเสียหายมีคนบาดเจ็บล้มตาย เป็นความรุนแรงของจริงนั่นเอง
เป็นตัวอย่างว่าหนังแอ็กชั่นสามารถมีเนื้อหาที่จริงจังได้ ในแบบที่ไม่ต้องพร่องความเป็นแอ็กชั่นลงไปด้วยเลย
นอกเหนือจาก Crime Story แล้ว เฉินหลง ก็ยังมีงานประเภทที่พยายามฉีกแนวเดิม ๆ ของตัวเองออกมาอีกหลายเรื่อง เรียกว่าแม้ชื่อหนัง (ไทย) จะวนเวียนอยู่กับคำว่า “ฟัดๆ ” หรือ “ใหญ่ๆ” แต่งานของเขาก็นับว่ามีอยู่หลากหลายดีทีเดียว
ย้อนกลับไปในยุค 80s มีหนังที่ เฉินหลง แสดงคู่กับศิษย์พี่ หงจินเป่า อย่าง “พี่น้องตระกูลบิ๊ก” (Heart of the Dragon) ที่เป็นหนังแนวชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา เล่าเรื่องน้องชายผู้เข้มแข็งกับพี่ชายปัญญาอ่อน ผู้ทำให้น้องไม่สามารถทำตามความฝันได้เสียที ดาราบู๊ทั้งสองคนก็พยายามพิสูจน์ตัวเองกับการเล่นบทดราม่านะครับ แม้หนังจะออกบีบคั้นน้ำตาแบบผิดธรรมชาติไปเสียหน่อย แต่ภาพรวมก็พอรับได้ แต่สุดท้ายจุดเด่นจริง ๆ ก็กลับไปเป็นคิวบู๊ดุเดือดเลือดพล่านตอนฉากสุดท้ายของเรื่องอีกจนได้
ส่วน “เบ่งหัวใจฟัดให้ใหญ่” (Gorgeous) ที่ได้นางเอกสาวเซ็กซี่ “ซูฉี” มาเป็นคู่ขวัญ ก็เป็นหนังรักเบา ๆ ในแบบของเฉินหลง มีฉากรักกุ๊กกิ๊ก มี “เหลียงเฉาเหว่ย” มาแสดงเป็นเพื่อนแต๋วแตกของนางเอก เป็นหนังโรแมนติกคอมเมอร์ดี้แบบ เฉินหลง ที่ไม่ได้มีระเบิดตูมตามหรือใครตายในตอนจบ
ยังมี “ดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา” (The Myth) เป็นงานในแนวแฟนตาซีเจือโรแมนติก ที่เล่าเรื่องความรักที่ถูกกีดขวางด้วยกาลเวลา เล่าเรื่องตัดสลับปัจจุบันกันอดีต และได้สาวเกาหลีมาเป็นนางเอก เพลงคู่ที่เธอร้องกับเฉินหลงก็เพราะใช้ได้เลยทีเดียว ส่วน “ใหญ่พลิกแผ่นดินฟัด” ก็เป็นหนังพีเรียดในแบบที่ประเทศจีนกำลังนิยมกัน มีเนื้อหาที่พูดถึงคนตัวเล็ก ๆ ที่ชีวิตมีแต่ขาดทุน ในสงครามแย่งชิงอำนาจของชนชั้นปกครอง
แต่สุดท้ายแล้วงานส่วนใหญ่ที่ว่าไป ก็ยังไม่ได้สลัดความเป็น เฉินหลง แบบดั้งเดิมออกทั้งหมด เป็นหนังในแบบที่อาจจะอธิบายได้ว่าเฉินหลงยังออกอาการ “ห่วงหน้าพะวงหลัง” อยู่เหมือนกัน แม้จะอยากทำอะไรใหม่ ๆ แต่ก็ยังเพลย์เซฟด้วยจุดขาย และสูตรสำเร็จเดิม ๆ ทั้ง สาวสวยหน้าใหม่ และแทรกคิวบู๊ ไม่ว่าจะเป็นแบบตื่นเต้นเสี่ยงตาย หรือตลกขบขันมาเอาใจแฟนคลับเป็นระยะ
ในช่วง 2 – 3 ปีหลัง นอกจากหนังสงครามอิงประวัติศาสตร์ 1911 ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในเวลานี้ ที่ว่าเป็นงานในแบบที่เฉินหลงไม่เคยทำเลยแล้วงานอีกเรื่องที่เรียกได้ว่าพาเฉินหลงไปไกลจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองมากที่สุดก็เห็นจะเป็น Shinjuku Incident หรือ “ใหญ่แค้นเดือด” ที่เข้าฉายเมื่อ 2 ปีก่อนนั่นเอง
Shinjuku Incident ของผู้กำกับ เอ๋อตงเซิน ยังคงมีฉากแอ็กชั่นที่เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นฝีมือของทีมงานผู้เชี่ยวชาญในงานแขนงนี้ แต่เรียกว่าตัดอารมณ์ความสนุกถึงอกถึงใจในแบบหนังบู๊ออกจนแทบจะเหี้ยน เนื้อหาของหนังว่าด้วยชีวิตของเหล่าคนอพยพเชื้อสายจีนในแดนอาทิตย์อุทัย ตัวเอกที่สวมบทโดยเฉินหลง เป็นหนุ่มจีนที่เข้าญี่ปุ่นไปเพื่อตามหาคนรักที่อพยพมาที่นี่ก่อนหน้าหลายปี ก่อนจะขาดการติดต่อไป แม้จะได้พบกับคนรักเก่าอีกครั้ง แต่ชีวิตของเขากลับต้องไปพัวพันอยู่กับพวกยากูซ่านอกกฎหมายอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
แม้ภาพรวมของหนัง Shinjuku Incident จะไม่ถึงขั้นดีแบบไร้ที่ติ แต่ตัวละครของเฉินหลงก็นับว่ามีจุดน่าสนใจอยู่ไม่น้อย กับบทบาทมนุษย์ผู้ไม่ได้ใกล้เคียงกับการเป็นวีระบุรุษ มีความกลัว มีชีวิตอยู่เพื่อเอาตัวรอด ... จริง ๆ ก็เป็นตัวละครในแบบที่เฉินหลงเคยสวมบทบาทมาในหนังหลาย ๆ เรื่องนั่นแหละครับ เป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างถูลู่ถูกังเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ในสังคมอันโหดร้าย โดยไม่ได้มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่อะไร เพียงแต่ในโลกแห่งความเป็นจริง คนจำพวกนี้คงไม่ได้โชคดี มีปาฏิหาริย์มาช่วยในท้ายที่สุดเสมอไป สุดท้ายชีวิตก็มักจะจบลงด้วยเรื่องน่าเศร้า ตอนจบของหนังอาจจะห้วน ๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับผมคิดว่าสะท้อนความจริงในข้อนี้ได้ชัดดี
พูดได้ว่า Shinjuku Incident เป็นหนังที่สร้างขึ้นมาสำหรับเฉินหลงโดยเฉพาะ เป็นงานที่ผมคิดว่าเขาพิสูจน์ได้ว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่แท้จริงและเต็มตัวแล้วล่ะครับ
เทียบในหนังจำนวนร่วม 100 เรื่อง เฉินหลง อาจจะมีหนังที่ฉีกแนวจากเส้นทางสายหลัก แห่งความเป็นนักบู๊ของเขาอยู่ไม่มาก แต่ก็เรียกว่ามีอยู่อย่างต่อเนื่อง ... สำหรับ 1911 ผมเองยังไม่ได้ดูนะครับ เข้าใจว่าเสียงตอบรับไม่ค่อยดี ทำเงินได้ไม่เท่าไหร่ แต่ก็เชื่อแน่ว่า เฉินหลง เองคงจะไม่ถอดใจ กับการทำหนังแบบที่เขาไม่เคยทำแน่ ๆ
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |