“โน้ต เชิญยิ้ม” รับน้อยใจ “พระนครฟิล์ม” สั่งเบรกทำหนัง แจงค่ายอ้างเจอปัญหาหนังขาดทุน เผยหอบบทไปเสนอค่ายอื่นจริง ไม่ง้อเล็งควักเงินทำเอง เพราะไฟกำลังมาไม่อยากรอแล้ว
หลังจากลงแรงเป็นผู้กำกับพร้อมเขียนบทภาพยนตร์เองมาหลายต่อหลายเรื่อง ล่าสุดตลกมากฝีมือ อย่าง “โน้ต เชิญยิ้ม” ชักจะขำไม่ออก เมื่อมีข่าวว่าเจ้าตัวและลูกชาย “โน้ต จูเนียร์” ถูกทางผู้ใหญ่ของค่ายหนังพระนครฟิล์ม สั่งเบรกโปรเจ็กต์หนังเอาดื้อๆ พาลทำให้ไม่พอใจหอบบทไปเสนอค่ายอื่น งานนี้ได้เจอเจ้าตัวที่มาเปิดตัวภาพยนตร์ เรื่อง “เหลือแหล่” ณ โรงภาพยนตร์ เอสเอฟซินีม่าซิตี้ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ตลกรุ่นใหญ่ก็ยอมรับว่าแค่น้อยใจ แต่ไม่ถึงกับแตกคอมองหน้ากันไม่ติด
“เรื่องที่ผมจะกลับมาทำงานกับพระนครฟิล์มอีกหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางเขาแล้ว ซึ่งเขาอยากหยุด แต่ผมกำลังอยากทำ ผมยังอยากทำหนังที่ผมอยากทำ แต่ไม่ใช่ว่ามีอีโก้นะ แต่ไม่จำเป็นต้องแนวๆ สนุกสนานขำๆ เหมือนเดิม คือผมอยากทำหลายแนวมาก แต่มันไม่ถูกใจเขาเลยซักแนวนึง ผมก็เพิ่งเขียนบทไปเสร็จเรื่องหนึ่งอย่างโอเวอร์แมน มันก็เป็นหนังวัยรุ่นโรแมนติกคอมเมดี้”
“ทางค่ายเองตอนนี้หรือธุรกิจของหนัง ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าแนวไหน หนังจีนเลิกพูดไปเลย หนังฝรั่งบางเรื่องก็ไม่ได้เงิน หนังตลกบางเรื่องรวมๆ กันเยอะๆ มันก็ยังไม่ได้เงิน ต้องเข้าใจคนลงทุนด้วย อันนี้ผมก็เข้าใจเดี๋ยวนี้การทำธุรกิจมันต้องคิดถึงกำไรแล้วว่าจะได้เท่าไหร่ แต่ในเมื่อการทำหนังตอนนี้เอาเงินลงไปก้อนหนึ่งมันจะลบเท่าไหร่ มันต่างกันเสมอตัวก็ยังดี แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีหนังไทยที่เสมอตัว”
“แต่ทางเฮียจุ้ย พระนครฟิล์ม เขาไม่ใช่ไม่ให้ผมทำนะ และผมไม่จำเป็นต้องไปทำที่อื่นก็ได้ แต่รอจังหวะอีกหน่อยนึง บังเอิญเรารอไม่ได้ ไฟกำลังมา เราก็อยากจะทำ เขาไม่ได้เลิก แต่ให้หยุดเพื่อตั้งหลักดีกว่าจะลุยไปข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไร ตอนนี้คนทำหนังทำกำลังงง ว่าแนวนี้ก็ไม่โดน แนวนั้นก็ไม่ได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งขอให้ตลกทำหนังๆ เมื่อไหร่ก็ได้เงิน เดี๋ยวนี้ต่อให้เอาตลกทั้งวงการมา ก็ไม่ได้เงิน คนก็ไม่ดูหรือพระเอกดังๆ ที่ทำเงินมาเอามารวมกันอย่างบางกอกกังฟู มีทั้งเป้ อารักษ์ มาริโอ้ เมาเร่อ หนังดีนะ ผมชอบแต่ก็ไม่ได้เงิน”
“ถ้าให้ผมวิเคราะห์ว่าทำไมหนังไทยไม่ได้เงิน เพราะยุคเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล เศรษฐกิจไม่แน่นอน ฝนตก น้ำท่วม มันมีส่วนหมด ผมไม่โทษหนังไทย แต่โทษประเทศไทยที่ตอนนี้มันกำลังเกิดอะไรขึ้น”
“คือเฮียเขาไม่ได้เบรกผมคนเดียวนะ แต่หนังผมไม่มีเจ๊งสักเรื่องเลย ตรงนี้แหละมันทำให้ผมน้อยใจว่าหนังผมทำเงินแต่กลับมาเบรก เบรกทั้งผมทั้งลูกปัญหามันอยู่ตรงนี้ อย่างลูกผม คือมันเป็นโปรเจ็กต์ที่เขาให้กลับไปคิด ทีแรกเอาไปเสนอ พอทำตามเขา เขาก็กลับเบรก แต่ผมไม่หยุดหรอก ใครก็หยุดผมไม่ได้ เดี๋ยวผมจะเอาเงินผมทำเองเลย และผมก็ไม่กลัวว่าควักเงินไปแล้วจะเสี่ยง ถ่ายไปสักพักก็หาคนซื้อเลย สมมติลงทุนไป 10 ล้าน ผมขาย 14 ล้าน แค่นี่ผมก็สบายแล้ว(หัวเราะ)”
“ตอนนี้ก็มีเสนอค่าย แต่ขอยังไม่เปิดเผยยังคุยๆ กันอยู่ อย่างของลูกชายก็มีไปเสนอค่ายอื่นนะ ซึ่งเขาก็มีเหตุผลว่า ร่มเงาคุณโน้ตมันใหญ่ บังลูกชายมิดให้ปล่อยลูกชายไปเลย เดี๋ยวทางเขาจัดการเอง เดี๋ยวผมจะสกรีนเองเขาชอบพล็อตเรื่องที่ลูกผมนำไปเสนอ ผมก็เลยชิ่งปล่อยให้ลูกชนไปเอง หมายถึงค่ายอื่นนะ ไม่ใช่พระนครฟิล์ม”
ยันผู้ใหญ่พระนครฟิล์ม เข้าใจดีเพราะต่างคนต่างมีเหตุผล
“เฮียก็รู้ว่าผมน้อยใจ แต่เฮียเขาก็บอกว่าเขามีเหตุผล คือต่างคนต่างมีเหตุผล เรื่องผิดใจกันไม่มีหรอกครับ ผมเย็นไม่เป็น ผมบ้า อายุผมขนาดนี้ในเมื่อผมยังมีไฟ เราพอทำหนังได้ถ้าเรารอเฮีย ที่เขาให้ใจเย็นๆ ถ้ารอไปอีก3ปีถ้าผม 60 แล้ว ผมกลัวอย่างน้อย 3 ปีต้อง 2 เรื่องนะ แต่ผมก็ไม่มั่นใจนะว่าหนังที่ผมจะทำมันจะได้เงินหรือเปล่า เพราะไม่รู้ว่าตลาดหนังตอนนี้คนดูอยากดูอะไร ตอนนี้คนทำหนังงง ผู้กำกับก็ยังงง ว่าจะทำหนังอะไรกันดี”
เผยกว่าจะเสนอหนังเรื่อง “เหลือแหล่” ผ่านได้แสนลำบาก บอกแทบร้องไห้โดนตัดฉากไปครึ่งชั่วโมง แต่ก็ดีใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เรท ท.
“อย่างหนังเรื่องเหลือแหล่กว่าจะผ่านได้ รู้ไหมผมกับไอ้โย่ง(โย่ง เชิญยิ้ม) ต้องแบกระนาดแบกกลองไปตีลั่นออฟฟิศให้แกเข้าใจ ไปร้องฉ่อย ร้องอีแซวกับไอ้โย่งตีกันจนลมแดก เฮียก็งงว่าหนังอะไรของมึงเนี้ยะ(หัวเราะ)พอถ่ายไปมีตัวอย่างไปให้ดูแล้วเฮียก็บอกว่ารู้แล้วว่าผมเป็นคนยังไง ถ้าเฮียอยากให้ผมทำหนังกะเทย บู๊ ซีจีเยอะๆ ผมทำไม่เป็น”
“แล้วก็น่าเสียดายที่ต้องตัดหนังออกไปครึ่งชั่วโมง คือได้ฉายชั่วโมงครึ่ง แล้วไอ้ครึ่งชั่วโมงที่ตัดทิ้งไป อยากร้องไห้ ฉากที่ตัดไปมีฉากที่สำคัญอย่างเพลงกล่อมลูก มันเป็นรากเหง้าของไทยเป็นร้อยๆ ปี ของแม่บัวผัน ศิลปินแห่งชาติร้องไว้ ผมเสียดายมาก ฉากร้องเพลงในเรือก็สวยมากผมถ่าย 2 วันเต็มๆ ตัดเองร้องไห้เอง และเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากดูแลเองทุกกระบวนการ แม้กระทั่งตัดต่อ ผมได้ศิลปินแห่งชาติอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น ทั้งแม่ขวัญจิตร แม่ศรีนวล พ่อหวังเต๊ะ พ่อไวพจน์”
“แล้วผมก็ดีใจครับ ผมส่งหนังให้กระทรวงวัฒนธรรมกองเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ เขาให้เป็นหนังตลกเรท ท. หนังจบลุกตบมือกันหมดเลย วันนั้นคณะกรรมการก็มีแต่คุณหญิง คุณนาย คือทีมเคี่ยวทั้งนั้นเลย แล้วเขาบอกว่าวันนั้นตบมือให้หนังผมหมดเลย อันนี้ไม่ต้องมีตัดฉากอะไรเลยผ่านได้เรท ท.คือดูได้ทุกวัยครับ”