แม้จะเป็นเรื่องที่ต้องดูกันอีกยาวๆ (ย้ำว่าอีกยาวมาก) แต่ตอนนี้ก็ขอชื่นใจเอาไว้ก่อนครับกับผลงานของนักบอลทีมชาติไทยชุดคัดบอลโลกทั้ง 2 เกมที่ผ่านมาด้วยการออกไปพ่ายต่อ "ออสเตรเลีย" แบบหวุดหวิด 1 ต่อ 2 ก่อนจะกลับมาชนะ "โอมาน" ได้อย่างสวยสด 3 ประตูต่อ 0
เป็นการ "เริ่มต้น" การกลับมาเรียกศรัทธาจากแฟนบอลได้อีกครั้งหลังทีมชาติไทยเราไม่ว่าจะชุดไหน ทัวร์นาเมนต์ไหน ต่างก็ตกต่ำ พากันออกอ่าวออกทะเลชนิดอย่างน่าใจหดใจหายตลอดช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา
ผลพวงจากการที่ไทยเราเอาชนะโอมานได้แบบดูเหมือนจะไม่หนักหนาอะไรนัก ทำให้โอกาสที่ทีมไทยจะกลายเป็นหนึ่งใน 10 ทีมสุดท้ายของโซนเอเชียมีอยู่ค่อนข้าง "สูง" ทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปถึงฟอร์มการเล่นของทีมร่วมสายอย่าง "ซาอุดิอาระเบีย" ที่เราคาดหมายกันว่าจะเป็นกระดูกชิ้นโตทั้งที่เสมอกับโอมาน 0:0 และไปพ่ายให้กับออสเตรเลีย1:3 ซึ่งดูแล้วยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก
ถึงตอนนี้หลายคนต่างก็ใจจดใจจ่อไปยังเกมนัดต่อไปที่ทีมไทยจะเปิดสนามราชมังฯ ต้อนรับการมาเยือนของทีมซาอุฯ ในวันที่ 11 ตุลาคม ซึ่งเชื่อว่าจะมีคนแห่เข้าไปชมกันในสนามอย่างล้นหลาม
นั่นเองที่ทำให้มีหลายเสียงออกมาเรียกร้องว่าอยากจะให้ผู้จัดการแข่งขันปรับเลื่อนเวลาให้ช้ากว่าเวลาเดิม 18.00 น.ได้หรือไม่?
เนื่องจากการแข่งขันในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้แฟนบอลส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าไปชมเกมในสนามได้ทันด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ทั้งเรื่องของเวลาเลิกงาน, การจราจรที่ค่อนข้างจะติดขัด, ระบบการขาย-การตรวจตั๋วหน้าสนามที่ไม่เอื้อ ฯ
เกี่ยวกับเรื่องของการเลื่อนเวลาการแข่งขันนี้ปรากฏว่าทางด้านของ "บิ๊กเปี๊ยก" นายองอาจ ก่อสินค้า ในฐานะเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้ออกมาให้รายละเอียดทำนองว่าทางสมาคมฯ ได้ทำเรื่องดังกล่าวแจ้งไปยังสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (Asian Football Confederation) หรือ เอเอฟซี (AFC) แล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่ทว่าถูกทางเอเอฟซีตอบปฏิเสธ
และอีกเหตุผลที่ทำให้เลื่อนไม่ได้ก็คือเรื่องของ "เวลา" ในการถ่ายทอดสด เนื่องจากติดช่วงข่าวในพระราชสำนักในเวลา 20.00 น. ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเวลาการออกอากาศได้
ตรงนี้อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้ฟังจากผู้ดำเนินรายการ "เจาะสนามบอลไทย" ทางเอฟเอ็ม 99 คืนวันพุธที่ 7 กันยายนที่ผ่านมานะครับ
กับกรณีแรกนั้นก็พอเข้าใจได้และก็คงจะเป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับในกฏกติกาที่ถูกวางไว้ ทั้งที่ก็ยังรู้สึกงงๆ อยู่เหมือนกัน เพราะหากเข้าใจไม่ผิดการกำหนดเวลาในการแข่งนั้นมันน่าจะเป็นสิทธิ์ของทีมเจ้าบ้าน (ซึ่งถือลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดเกมในบ้านไว้ด้วย) ที่จะตกลงร่วมกับคู่แข่งขันแล้วจึงแจ้งไปยังทางเอเอฟซีมิใช่หรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ทำไมตั้งแต่แมทช์แรกที่เราไปเยือนทีมออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านี้ในรอบที่ 2 ที่แข่งกับทีมปาเลสไตน์ เราถึงเลือกใช้เวลาแข่งที่ 18.00 น. แทนที่จะเป็น 18.30 หรือ 19.00 หรืออะไรก็ว่ากันไปทีเดียวจะได้ไม่ต้องขอเลื่อนเข้าเลื่อนออก
เพราะฉะนั้นเหตุผลจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของเวลาในการถ่ายทอดสด แต่กระนั้นเหตุผลที่ให้ว่าติดช่วงข่าวพระราชสำนักที่ไม่สามารถเลื่อนเวลาได้นั้นผมก็ว่าไม่น่าจะใช่
เพราะอะไร ก็เพราะเมื่อปีกลายในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้ ซึ่งบ้านเรามีการซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีทั้งช่อง 3, ช่อง 7, โมเดิร์นไนน์ ทีวี ไม่เว้นแม้แต่ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์นั้น คู่แรกจำได้ว่ามันก็เริ่มเตะเวลา 18.30 น. มิใช่หรือ?
แล้วตอนนั้นเอาช่วงข่าวพระราชสำนักไปไว้ช่วงไหนกัน?
หรือจะบอกว่านั่นมันบอลโลกรอบสุดท้ายเชียวนะ อันนี้มันแค่ระดับประเทศ ระดับเอเชีย แถมยังเป็นแค่รอบคัดเลือกอีกต่างหาก?
ทั้งหมดเป็นข้อสงสัยจริงๆ นะครับ ใครที่รู้รายละเอียดที่แท้จริงช่วยอธิบายจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือเรื่องที่ในปีหน้าทีมฟุตบอลทีมชาติไทยเราจะมีการเปลี่ยนสีเสื้อทีมเหย้า จากสีเหลืองมาเป็นสีแดง ขณะที่ทีมเยือนนั้นใช้สีน้ำเงินเหมือนเดิม
ในความเป็นจริง ตั้งแต่แรกเราก็ใช้สีแดงนั่นแหละครับ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีเหลืองในปีพ.ศ.2550 ซึ่งเป็นสีประจำในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านเนื่องในวโรกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 4 ธันวาคมในปีเดียวกัน
สำหรับเหตุผลในการเปลี่ยนสีเสื้อครั้งนี้ก็เพราะดูเหมือนว่าที่ผ่านมาทีมชาติไทยของเรานั้นดูจะไม่ค่อยถูกโฉลกกับสีเหลืองสักเท่าไหร่
จริงๆ ตั้งแต่แรกผมว่าก็ไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีเหลืองอะไรเลยครับ เพราะในการแข่งขันกีฬาระดับที่เป็นทีมชาตินั้น ส่วนใหญ่หรือแทบทุกประเทศสีชุดที่นักกีฬาใช้สวมใส่ต่างก็อิงอยู่กับสีของธงชาติเป็นหลักอยู่แล้ว
คือถ้าอยากจะทำเพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ผมว่าไปเน้นกันที่คุณภาพฝีไม้ลายมือของนักกีฬาจะดีกว่า?
แต่เมื่อนั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่สามารถไปแก้ไขอะไรได้ เอาเป็นว่าถ้าเปลี่ยนมาใส่ชุดสีแดงแล้วสบายใจ รู้สึกว่าเล่นดีขึ้นก็เปลี่ยนกันไปเถอะครับ (มันน่าน้อยใจแทนกุนซือ "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ แกมั้ยเนี่ย 555) เพราะขนาดทีมฟุตบอลระดับสโมสรต่างๆ ของเมืองนอกเมืองนาเขาก็ยังมีความเชื่อกับเรื่องทำนองนี้ ไม่ต้องอื่นไกล อย่างแมนยูฯ เองที่ดูจะเกลียดชุดสีเทาเอามากๆ
เพียงแต่ขอให้อย่ามีอะไรแอบแฝงเหมือนกับที่มีคนบางคนมันฉกฉวยเอาแมทช์ที่ไทยเราจะแข่งกับซาอุฯ ในวันที่ 11 ต.ค. นี้มาทำให้เป็นประเด็นทางการเมืองมันซะล่ะ
หนอย! จะมาฟื้นความสัมพงสัมพันธ์อะไรกันตอนนี้ ต่างคนต่างทีมเขาจะสู้กันแบบถวายหัวเพื่อชัยชนะกันละไม่ว่า
แล้วนี่ถ้าไทยเราเกิดชนะ ถีบซาอุฯ ตกรอบ จากนั้นก็ควงออสเตรเลียเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย มันจะเป็นอย่างไรล่ะเนี่ย?
เป็นการ "เริ่มต้น" การกลับมาเรียกศรัทธาจากแฟนบอลได้อีกครั้งหลังทีมชาติไทยเราไม่ว่าจะชุดไหน ทัวร์นาเมนต์ไหน ต่างก็ตกต่ำ พากันออกอ่าวออกทะเลชนิดอย่างน่าใจหดใจหายตลอดช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา
ผลพวงจากการที่ไทยเราเอาชนะโอมานได้แบบดูเหมือนจะไม่หนักหนาอะไรนัก ทำให้โอกาสที่ทีมไทยจะกลายเป็นหนึ่งใน 10 ทีมสุดท้ายของโซนเอเชียมีอยู่ค่อนข้าง "สูง" ทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปถึงฟอร์มการเล่นของทีมร่วมสายอย่าง "ซาอุดิอาระเบีย" ที่เราคาดหมายกันว่าจะเป็นกระดูกชิ้นโตทั้งที่เสมอกับโอมาน 0:0 และไปพ่ายให้กับออสเตรเลีย1:3 ซึ่งดูแล้วยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก
ถึงตอนนี้หลายคนต่างก็ใจจดใจจ่อไปยังเกมนัดต่อไปที่ทีมไทยจะเปิดสนามราชมังฯ ต้อนรับการมาเยือนของทีมซาอุฯ ในวันที่ 11 ตุลาคม ซึ่งเชื่อว่าจะมีคนแห่เข้าไปชมกันในสนามอย่างล้นหลาม
นั่นเองที่ทำให้มีหลายเสียงออกมาเรียกร้องว่าอยากจะให้ผู้จัดการแข่งขันปรับเลื่อนเวลาให้ช้ากว่าเวลาเดิม 18.00 น.ได้หรือไม่?
เนื่องจากการแข่งขันในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้แฟนบอลส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าไปชมเกมในสนามได้ทันด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ทั้งเรื่องของเวลาเลิกงาน, การจราจรที่ค่อนข้างจะติดขัด, ระบบการขาย-การตรวจตั๋วหน้าสนามที่ไม่เอื้อ ฯ
เกี่ยวกับเรื่องของการเลื่อนเวลาการแข่งขันนี้ปรากฏว่าทางด้านของ "บิ๊กเปี๊ยก" นายองอาจ ก่อสินค้า ในฐานะเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้ออกมาให้รายละเอียดทำนองว่าทางสมาคมฯ ได้ทำเรื่องดังกล่าวแจ้งไปยังสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (Asian Football Confederation) หรือ เอเอฟซี (AFC) แล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่ทว่าถูกทางเอเอฟซีตอบปฏิเสธ
และอีกเหตุผลที่ทำให้เลื่อนไม่ได้ก็คือเรื่องของ "เวลา" ในการถ่ายทอดสด เนื่องจากติดช่วงข่าวในพระราชสำนักในเวลา 20.00 น. ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเวลาการออกอากาศได้
ตรงนี้อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้ฟังจากผู้ดำเนินรายการ "เจาะสนามบอลไทย" ทางเอฟเอ็ม 99 คืนวันพุธที่ 7 กันยายนที่ผ่านมานะครับ
กับกรณีแรกนั้นก็พอเข้าใจได้และก็คงจะเป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับในกฏกติกาที่ถูกวางไว้ ทั้งที่ก็ยังรู้สึกงงๆ อยู่เหมือนกัน เพราะหากเข้าใจไม่ผิดการกำหนดเวลาในการแข่งนั้นมันน่าจะเป็นสิทธิ์ของทีมเจ้าบ้าน (ซึ่งถือลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดเกมในบ้านไว้ด้วย) ที่จะตกลงร่วมกับคู่แข่งขันแล้วจึงแจ้งไปยังทางเอเอฟซีมิใช่หรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ทำไมตั้งแต่แมทช์แรกที่เราไปเยือนทีมออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านี้ในรอบที่ 2 ที่แข่งกับทีมปาเลสไตน์ เราถึงเลือกใช้เวลาแข่งที่ 18.00 น. แทนที่จะเป็น 18.30 หรือ 19.00 หรืออะไรก็ว่ากันไปทีเดียวจะได้ไม่ต้องขอเลื่อนเข้าเลื่อนออก
เพราะฉะนั้นเหตุผลจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของเวลาในการถ่ายทอดสด แต่กระนั้นเหตุผลที่ให้ว่าติดช่วงข่าวพระราชสำนักที่ไม่สามารถเลื่อนเวลาได้นั้นผมก็ว่าไม่น่าจะใช่
เพราะอะไร ก็เพราะเมื่อปีกลายในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้ ซึ่งบ้านเรามีการซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีทั้งช่อง 3, ช่อง 7, โมเดิร์นไนน์ ทีวี ไม่เว้นแม้แต่ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์นั้น คู่แรกจำได้ว่ามันก็เริ่มเตะเวลา 18.30 น. มิใช่หรือ?
แล้วตอนนั้นเอาช่วงข่าวพระราชสำนักไปไว้ช่วงไหนกัน?
หรือจะบอกว่านั่นมันบอลโลกรอบสุดท้ายเชียวนะ อันนี้มันแค่ระดับประเทศ ระดับเอเชีย แถมยังเป็นแค่รอบคัดเลือกอีกต่างหาก?
ทั้งหมดเป็นข้อสงสัยจริงๆ นะครับ ใครที่รู้รายละเอียดที่แท้จริงช่วยอธิบายจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือเรื่องที่ในปีหน้าทีมฟุตบอลทีมชาติไทยเราจะมีการเปลี่ยนสีเสื้อทีมเหย้า จากสีเหลืองมาเป็นสีแดง ขณะที่ทีมเยือนนั้นใช้สีน้ำเงินเหมือนเดิม
ในความเป็นจริง ตั้งแต่แรกเราก็ใช้สีแดงนั่นแหละครับ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีเหลืองในปีพ.ศ.2550 ซึ่งเป็นสีประจำในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านเนื่องในวโรกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 4 ธันวาคมในปีเดียวกัน
สำหรับเหตุผลในการเปลี่ยนสีเสื้อครั้งนี้ก็เพราะดูเหมือนว่าที่ผ่านมาทีมชาติไทยของเรานั้นดูจะไม่ค่อยถูกโฉลกกับสีเหลืองสักเท่าไหร่
จริงๆ ตั้งแต่แรกผมว่าก็ไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีเหลืองอะไรเลยครับ เพราะในการแข่งขันกีฬาระดับที่เป็นทีมชาตินั้น ส่วนใหญ่หรือแทบทุกประเทศสีชุดที่นักกีฬาใช้สวมใส่ต่างก็อิงอยู่กับสีของธงชาติเป็นหลักอยู่แล้ว
คือถ้าอยากจะทำเพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ผมว่าไปเน้นกันที่คุณภาพฝีไม้ลายมือของนักกีฬาจะดีกว่า?
แต่เมื่อนั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่สามารถไปแก้ไขอะไรได้ เอาเป็นว่าถ้าเปลี่ยนมาใส่ชุดสีแดงแล้วสบายใจ รู้สึกว่าเล่นดีขึ้นก็เปลี่ยนกันไปเถอะครับ (มันน่าน้อยใจแทนกุนซือ "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ แกมั้ยเนี่ย 555) เพราะขนาดทีมฟุตบอลระดับสโมสรต่างๆ ของเมืองนอกเมืองนาเขาก็ยังมีความเชื่อกับเรื่องทำนองนี้ ไม่ต้องอื่นไกล อย่างแมนยูฯ เองที่ดูจะเกลียดชุดสีเทาเอามากๆ
เพียงแต่ขอให้อย่ามีอะไรแอบแฝงเหมือนกับที่มีคนบางคนมันฉกฉวยเอาแมทช์ที่ไทยเราจะแข่งกับซาอุฯ ในวันที่ 11 ต.ค. นี้มาทำให้เป็นประเด็นทางการเมืองมันซะล่ะ
หนอย! จะมาฟื้นความสัมพงสัมพันธ์อะไรกันตอนนี้ ต่างคนต่างทีมเขาจะสู้กันแบบถวายหัวเพื่อชัยชนะกันละไม่ว่า
แล้วนี่ถ้าไทยเราเกิดชนะ ถีบซาอุฯ ตกรอบ จากนั้นก็ควงออสเตรเลียเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย มันจะเป็นอย่างไรล่ะเนี่ย?