น้ำตาจะไหลเอาเสียให้ได้ครับหลังชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง "เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ 2011" รอบสุดท้ายที่มาเก๊าเมื่อวันวาน(25 ส.ค.)จบลงด้วยการที่ทีมชาติไทยเราสามารถเอาชนะจีนทีมอันดับ 1 ของเอเชียและอันดับ 6 ของโลกไปได้ 3-1 เซต
เป็นการสร้างประวัติศาสตร์และชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอีกครั้งของนักตบสาวไทยชุดนี้ หลังไม่กี่วันก่อนพวกเธอได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่มาแล้วด้วยการสามารถผ่านเข้ามาเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันรายการนี้ได้เป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไป 2 ปีที่แล้ว แม้จะสร้างความฮือฮาเอาชนะจีนที่ประเทศเวียดนามจนได้แชมป์ทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก เชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะยังคลางแคลงใจว่านั่นใช่ "มาตรฐานคุณภาพ" โดยรวมที่แท้จริงของทีมไทยหรือว่าฟลุคกันแน่?
แต่หลังจากในปีต่อๆ มาในหลายๆ รายการทั้งเวทีโลก-เวทีเอเชียที่เราสามารถเอาชนะทีมชั้นนำของโลกได้ทั้ง สหรัฐ, เยอรมัน, ฮอลแลนด์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ รวมไปถึง อาร์เจนติน่า และ คิวบา ในรายการเวิลด์ กรังปรีซ์ 2011 รอบแบ่งกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคิวบาที่เราพลิกมาชนะ 3 ต่อ 2 จากที่ตามอยู่ 2 ต่อ 0 เซตนั้น คงพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าอันดับ 12 ของโลกที่ได้มาหาใช่โชคช่วยแต่อย่างใด
นอกจากจะสร้างความสุขให้กับคนไทยแล้ว ทีมนักตบสาวไทยชุดนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าเรื่องของ "สรีระ" นั้นแม้ในหลายๆ ชนิดกีฬามันจะส่งผลให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบก็จริง แต่มันก็หาใช่ข้อจำกัดอันดับหนึ่งเสมอไปที่จะทำให้นักกีฬาไทยก้าวขึ้นไปสู่ระดับแนวหน้าหากโค้ชหรือนักกีฬาเองสามารถหาจุดเด่นอย่างอื่นมาทดแทนได้
ผมเองไม่ใช่เซียนกีฬาก็ไม่รู้หรอกครับว่าทีมนักตบสาวไทยเธอเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยเทคนิคหรือมีแผนการเล่นแบบไหน อย่างไร? แต่เห็นเธอเล่นกันด้วยทีมเวิร์ค ตั้งใจ ทุ่มเท ยิ้มให้กำลังใจซึ่งกันและกันยามที่เพื่อนทำพลาดแล้วมันชวนให้ชื่นหัวใจและอยากจะตามเชียร์ให้กำลังใจไม่ว่าท้ายสุดผลมันจะออกมาอย่างไรก็ตาม
นั่งชมการถ่ายทอดสดทีมวอลเลย์หญิงทีมชาติไทย ได้ฟังการแสดงความคิดเห็นของพิธีกรที่บอกเล่าถึงความพัฒนาตลอดจนความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับทีมวอลเลย์หญิงไทย ก็ให้นึกไปถึงบรรยากาศของการนั่งดูการถ่ายทอดสดเกมการอุ่นเครื่องของนักบอลชายทีมชาติไทยชุดคัดบอลโลกกับทีมชาติสิงคโปร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ทำไมมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ผลเสมอ 0 ต่อ 0 อาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักเพราะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับว่ามันจะไม่มีผลต่อความรู้สึกของคนไทยที่ตามเชียร์อยู่เอาเสียเลย (ยกเว้นที่แทงพนันฝั่งสิงคโปร์ไว้)
ถ้ามองว่าฟอร์มการเล่นของไทยในวันนั้นทั้งหมดคือการ "สับขาหลอก" คือการ "ตบตา" ทีมงานจากออสเตรเลียซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่เราจะต้องไปเยือนเป็นเกมแรกวันที่ 2 กันยายนนี้ที่ได้บินมาดูฟอร์มการเล่นของไทยในวันนั้นด้วยแล้วก็ต้องถามว่าลงทุนเวอร์ไปหรือเปล่า?
ต้องบอกว่าน่าเสียดายครับกับเกมการอุ่นเครื่องที่ว่าซึ่งแทนที่จะได้ทดสอบดูว่าแผนการเล่นที่ได้ฝึกซ้อมกันมานั้นมันเป็นอย่างไรในเกมที่เสมือนกับแข่งจริงเช่นนี้เพื่อจะได้นำไปปรับเปลี่ยนให้เข้าที่เข้าทาง แต่กลับต้องมัวมาพะวงเล่นปาหี่เหยาะๆ แหยะๆ เพราะกลัวคนอื่นเขารู้ไต๋
แล้วคิดหรือว่าระดับมืออาชีพขนาดนั้นเขาจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับนักเตะไทยจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลยหรือ
มองไปถึงแบบฟอร์ม แบบแผนในการเล่น ตลอดจนทัศนะคติในการเล่นบอลของนักบอลไทยแล้ว นับตั้งแต่ "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีม 3-4 เกมที่ผ่านมานั้น โดยส่วนตัวผมแทบจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นได้สักเท่าไหร่
ฟังผู้บรรยายเกมในวันนั้นที่บอกว่าเดี๋ยวนี้ชาติอื่นๆ ในอาเซี่ยนหาใช่ทีมที่ไทยจะเอาชนะได้ง่ายๆ อีกต่อไปเพราะต่างก็พัฒนาจนมีฝีเท้าที่ใกล้เคียงกับไทยแล้วก็ยิ่งให้นึกสะท้อนใจ
ถ้าของเขาพัฒนาขึ้นมา แล้วของเรามัวทำอะไรกันอยู่?
หลายปีมานี้ถือว่าเป็นยุคตกต่ำของบอลไทยเราก็คงจะไม่ผิดนัก ทั้งๆ ที่เงินอัดฉีดจากบรรดาผู้สนับสนุนต่างๆ หรือก็เยอะไม่น้อย กำลังใจจากคนเชียร์หรือก็ล้นเหลือ แต่ฟอร์มการเล่นนั้นดูจะตกต่ำอย่างน่าใจหาย
แถมล่าสุดก็ยังมีเรื่องฉาวโฉ่เข้าให้อีกจากการออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อออสเตรเลียของ "สตีฟ ดาร์บี้" อดีตผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยที่บอกว่านักเตะไทยนั้นค่อนข้างจะขาดวินัย แถมหลายคนก็ขี้เกียจซ้อม ฯ
อันที่จริงจะไปต่อว่าว่าสตีฟ ดาร์บี้แกเป็นคนปากเสีย มีนิสัยกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา หรืออะไรก็คงจะไม่ถูกนัก
ในทางกลับกันคงจะต้องขอบคุณแกด้วยซ้ำหากข้อมูลที่ว่านั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเราจะได้รู้กันว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บอลไทยไม่พัฒนาไปไหนสักทีมันเป็นเพราะอะไร? จะได้แก้ปัญหากันได้ถูกต้อง
ท้ายสุด ถึงจะกระแนะกระแหน ถึงจะอ่อนอกอ่อนใจเพียงใด แต่คนไทยเราก็คงจะต้องตามเชียร์ฟุตบอลไทยกันต่อไปนั่นแหละครับ
แต่ตอนนี้ 4 ห้องของหัวใจขอยกให้กับวอลเลย์บอลสาวไทย และขอตัวไปเตรียมตัวเชียร์พวกเธอตบกับเซอร์เบีย 16.00 น. วันนี้ (26 ส.ค.)ก่อนแล้วกัน
เป็นการสร้างประวัติศาสตร์และชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอีกครั้งของนักตบสาวไทยชุดนี้ หลังไม่กี่วันก่อนพวกเธอได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่มาแล้วด้วยการสามารถผ่านเข้ามาเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันรายการนี้ได้เป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไป 2 ปีที่แล้ว แม้จะสร้างความฮือฮาเอาชนะจีนที่ประเทศเวียดนามจนได้แชมป์ทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก เชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะยังคลางแคลงใจว่านั่นใช่ "มาตรฐานคุณภาพ" โดยรวมที่แท้จริงของทีมไทยหรือว่าฟลุคกันแน่?
แต่หลังจากในปีต่อๆ มาในหลายๆ รายการทั้งเวทีโลก-เวทีเอเชียที่เราสามารถเอาชนะทีมชั้นนำของโลกได้ทั้ง สหรัฐ, เยอรมัน, ฮอลแลนด์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ รวมไปถึง อาร์เจนติน่า และ คิวบา ในรายการเวิลด์ กรังปรีซ์ 2011 รอบแบ่งกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคิวบาที่เราพลิกมาชนะ 3 ต่อ 2 จากที่ตามอยู่ 2 ต่อ 0 เซตนั้น คงพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าอันดับ 12 ของโลกที่ได้มาหาใช่โชคช่วยแต่อย่างใด
นอกจากจะสร้างความสุขให้กับคนไทยแล้ว ทีมนักตบสาวไทยชุดนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าเรื่องของ "สรีระ" นั้นแม้ในหลายๆ ชนิดกีฬามันจะส่งผลให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบก็จริง แต่มันก็หาใช่ข้อจำกัดอันดับหนึ่งเสมอไปที่จะทำให้นักกีฬาไทยก้าวขึ้นไปสู่ระดับแนวหน้าหากโค้ชหรือนักกีฬาเองสามารถหาจุดเด่นอย่างอื่นมาทดแทนได้
ผมเองไม่ใช่เซียนกีฬาก็ไม่รู้หรอกครับว่าทีมนักตบสาวไทยเธอเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยเทคนิคหรือมีแผนการเล่นแบบไหน อย่างไร? แต่เห็นเธอเล่นกันด้วยทีมเวิร์ค ตั้งใจ ทุ่มเท ยิ้มให้กำลังใจซึ่งกันและกันยามที่เพื่อนทำพลาดแล้วมันชวนให้ชื่นหัวใจและอยากจะตามเชียร์ให้กำลังใจไม่ว่าท้ายสุดผลมันจะออกมาอย่างไรก็ตาม
นั่งชมการถ่ายทอดสดทีมวอลเลย์หญิงทีมชาติไทย ได้ฟังการแสดงความคิดเห็นของพิธีกรที่บอกเล่าถึงความพัฒนาตลอดจนความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับทีมวอลเลย์หญิงไทย ก็ให้นึกไปถึงบรรยากาศของการนั่งดูการถ่ายทอดสดเกมการอุ่นเครื่องของนักบอลชายทีมชาติไทยชุดคัดบอลโลกกับทีมชาติสิงคโปร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ทำไมมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ผลเสมอ 0 ต่อ 0 อาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักเพราะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับว่ามันจะไม่มีผลต่อความรู้สึกของคนไทยที่ตามเชียร์อยู่เอาเสียเลย (ยกเว้นที่แทงพนันฝั่งสิงคโปร์ไว้)
ถ้ามองว่าฟอร์มการเล่นของไทยในวันนั้นทั้งหมดคือการ "สับขาหลอก" คือการ "ตบตา" ทีมงานจากออสเตรเลียซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่เราจะต้องไปเยือนเป็นเกมแรกวันที่ 2 กันยายนนี้ที่ได้บินมาดูฟอร์มการเล่นของไทยในวันนั้นด้วยแล้วก็ต้องถามว่าลงทุนเวอร์ไปหรือเปล่า?
ต้องบอกว่าน่าเสียดายครับกับเกมการอุ่นเครื่องที่ว่าซึ่งแทนที่จะได้ทดสอบดูว่าแผนการเล่นที่ได้ฝึกซ้อมกันมานั้นมันเป็นอย่างไรในเกมที่เสมือนกับแข่งจริงเช่นนี้เพื่อจะได้นำไปปรับเปลี่ยนให้เข้าที่เข้าทาง แต่กลับต้องมัวมาพะวงเล่นปาหี่เหยาะๆ แหยะๆ เพราะกลัวคนอื่นเขารู้ไต๋
แล้วคิดหรือว่าระดับมืออาชีพขนาดนั้นเขาจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับนักเตะไทยจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลยหรือ
มองไปถึงแบบฟอร์ม แบบแผนในการเล่น ตลอดจนทัศนะคติในการเล่นบอลของนักบอลไทยแล้ว นับตั้งแต่ "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีม 3-4 เกมที่ผ่านมานั้น โดยส่วนตัวผมแทบจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นได้สักเท่าไหร่
ฟังผู้บรรยายเกมในวันนั้นที่บอกว่าเดี๋ยวนี้ชาติอื่นๆ ในอาเซี่ยนหาใช่ทีมที่ไทยจะเอาชนะได้ง่ายๆ อีกต่อไปเพราะต่างก็พัฒนาจนมีฝีเท้าที่ใกล้เคียงกับไทยแล้วก็ยิ่งให้นึกสะท้อนใจ
ถ้าของเขาพัฒนาขึ้นมา แล้วของเรามัวทำอะไรกันอยู่?
หลายปีมานี้ถือว่าเป็นยุคตกต่ำของบอลไทยเราก็คงจะไม่ผิดนัก ทั้งๆ ที่เงินอัดฉีดจากบรรดาผู้สนับสนุนต่างๆ หรือก็เยอะไม่น้อย กำลังใจจากคนเชียร์หรือก็ล้นเหลือ แต่ฟอร์มการเล่นนั้นดูจะตกต่ำอย่างน่าใจหาย
แถมล่าสุดก็ยังมีเรื่องฉาวโฉ่เข้าให้อีกจากการออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อออสเตรเลียของ "สตีฟ ดาร์บี้" อดีตผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยที่บอกว่านักเตะไทยนั้นค่อนข้างจะขาดวินัย แถมหลายคนก็ขี้เกียจซ้อม ฯ
อันที่จริงจะไปต่อว่าว่าสตีฟ ดาร์บี้แกเป็นคนปากเสีย มีนิสัยกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา หรืออะไรก็คงจะไม่ถูกนัก
ในทางกลับกันคงจะต้องขอบคุณแกด้วยซ้ำหากข้อมูลที่ว่านั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเราจะได้รู้กันว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บอลไทยไม่พัฒนาไปไหนสักทีมันเป็นเพราะอะไร? จะได้แก้ปัญหากันได้ถูกต้อง
ท้ายสุด ถึงจะกระแนะกระแหน ถึงจะอ่อนอกอ่อนใจเพียงใด แต่คนไทยเราก็คงจะต้องตามเชียร์ฟุตบอลไทยกันต่อไปนั่นแหละครับ
แต่ตอนนี้ 4 ห้องของหัวใจขอยกให้กับวอลเลย์บอลสาวไทย และขอตัวไปเตรียมตัวเชียร์พวกเธอตบกับเซอร์เบีย 16.00 น. วันนี้ (26 ส.ค.)ก่อนแล้วกัน