“กระบี่ไร้เทียมทาน” ของ “เอทีวี” คือหนึ่งในตำนานของ “หนังจีนชุด” ที่เรียกได้ว่าคลาสสิคที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่ง … แต่ครั้งหนึ่งเรื่องราวเดียวกันนี้ ก็เคยถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์สำหรับฉายโรงมาแล้วเช่นเดียวกัน แม้จะไม่ใช่งานที่ดีนัก แต่ถ้าจะดูเอามันส์ก็เรียกว่าพอได้ แต่ที่สำคัญก็คืออย่าเอาไปเทียบกับฉบับหนังชุด … เพราะมันเทียบกันไม่ได้เลย
ความยิ่งใหญ่ของ “กระบี่ไร้เทียมทาน” นั้นถ้าใครมีอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ก็คงพอจะทราบดี แม้ตัวนิยายอาจจะไม่ได้โด่งดังเทียบเท่ากับงานของ กิมย้ง หรือ โก้วเล้ง แต่ถ้าวัดกันเฉพาะความเป็นหนังชุด งานที่สร้างจากปลายปากกาของ อึ้งเอ็ง ซึ่งเขียนสำหรับการผลิตเป็นภาพยนตร์จอแก้วโดยเฉพาะเรื่องนี้ กลับกลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล เป็นผลงานอมตะเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์หนังชุดกำลังภายในจากฮ่องกงก็ว่าได้
ทั้งความพอเหมาะพอเจาะของการคัดเลือกดารานักแสดง, เนื้อหาที่แปลกใหม่สนุกสนาน ดนตรีประกอบที่ยังติดหูคนรุ่นนั้นมาถึงตอนนี้ กระบี่ไร้เทียมทาน ยังมีเรื่องเบื้องหลังที่ถูกกล่าวขานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนตัวนักแสดงนำอย่าง “ฉีเส้าเฉียน” มาเป็น “กู้กวนจง” ที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันไม่จบจนถึงตอนนี้เลยทีเดียว
Bastard Swordsman – กระบี่ไร้เทียมทาน ฉบับชอว์
หลังจากหนัง กระบี่ไร้เทียมทาน โด่งดังสุดขีด และสร้างชื่อเสียงให้กับบรรดาผู้เกี่ยวข้องทุกคน ในปี 1983 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ “ชอว์บราเดอร์” คงเห็นลู่ทางการทำเงิน จึงได้นำเรื่องราวของกระบี่ไร้เทียมทานมาสร้างเป็นหนังสำหรับฉายโรงบ้าง งานนี้ได้ “ฮุ้นปวยเอี๋ยง” ต้นฉบับอย่าง ฉีเส้าเฉียน กลับมารับบทนำอีกครั้ง เป็นเด็กรับใช้แห่งสำนักบู๊ตึ้ง ที่ได้รับการถ่ายทอดสุดยอดวิชาของสำนักอย่างลับ ๆ จากการสั่งสอนของ “แชซ้ง” เจ้าสำนักบู๊ตึ้งที่ความจริงแล้วคือบิดาของเขานั่นเอง
กระบี่ไร้เทียมทาน มีโครงเรื่องหลักอยู่ที่ความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างสำนักบู๊ตึ้งกับ “สำนักบ้อเต็ก” สำนักมารอันดับแห่งตามท้องเรื่อง ที่แค้นเคืองกันด้วยประวัติศาสตร์ระหว่างสองสำนัก และยังเป็นความแค้นเคืองส่วนตัวระหว่างเจ้าสำนักคนปัจจุบันของทั้งสองสำคักด้วย
หนังยังมีเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า “โป่วเง็กจือ” ทายาทหุบเขาสำราญ พรรคมารที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต ที่แอบแฝงตัวมาเป็นศิษย์บู๊ตึ้งเพื่อทำลายสำนักธรรมะอันดับหนึ่ง รวมไปถึงการผจญภัยเพื่อค้นหาความจริงเรื่องชาติกำเนิดตนเอง ของฮุ้นปวยเอี๋ยง, การถูกใส่ความจนโดนตราหน้าเป็นคนทรยศ และสังหารเจ้าสำนักซึ่งเป็นพ่อของเขาเอง กระทั่งถูกทำร้ายจนสูญเสียพลังยุทธ์ และได้เกิดใหม่ จนสำเร็จ “วิชาไหมฟ้า” กลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน
ในฉบับหนังนี้มี “วานจื่อเหลียง” มาสวมบทบาทเป็น “ต๊กโกวบ้อเต็ก” เจ้าสำนักพรรคมาร, “หลิวหยง” เป็น “โปวเง็กจื่อ” ศิษย์ทรยศบู๊ตึ้งตัวร้ายหมายเลข 1 ของเรื่อง ส่วนนักแสดงสมทบส่วนใหญ่ล้วนเป็นขาประจำของชอว์ที่ปรากฏตัวในหนังหลาย ๆ เรื่องอยู่แล้ว รวมถึง “กู้กวนจง” หรือ ฮุ้นปวยเอี๋ยง คนที่สอง ที่มารับบทสมทบใน กระบี่ไร้เทียมทานฉบับภาพยนตร์ด้วย เป็นศิษย์คนหนึ่งของสำนักบู๊ตึ้งด้วย
ตัวงานที่ออกมาค่อนข้างจะก้ำกึ่งนะครับ เรียกว่าเป็นงานที่สร้างความบันเทิงได้พอสมควร แต่ถ้าจะใช้มาตรฐานของนิยาย หรือฉบับหนังชุดมาเทียบ ก็อาจจะทำให้หลาย ๆ คนที่เคยผ่านตาฉบับก่อน ๆ ที่มีความสมบูรณ์แบบกว่า ต้องหงุดหงิดหัวเสียอยู่บ้าง
ด้วยความพยายามจะเคารพงานต้นฉบับ Bastard Swordsman กลับมีปัญหาที่เนื้อเรื่องและตัวละคร ที่รกรุงรังมากเกินไปสำหรับหนังความยาวเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง จนการดำเนินเรื่อง ดูจะเป็นเพียงการบอกเล่าเรื่องราวแบบฉากต่อฉาก ไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูได้ การกระทำของตัวละครก็ดูไม่น่าเชื่อถือ และไร้มิติ มีตัวละครประเภทเลวสุดขั้ว ดีโดยไร้เหตุผลเต็มไปหมด
ขณะเดียวกันความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในหนัง ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้แฟนกระบี่ไร้เทียมทานรับกันไม่ได้ ที่สำคัญก็คือส่วนโรแมนติก ที่ผู้สร้างดันตัวละคร “ลุ้นอ้วงยี่” (หลิวเซียะหัว) ศิษย์ร่วมสำนักบู๊ตึ้ง ขึ้นเป็นนางเอกของเรื่องแทน
และตัดตัวละครหญิงที่คนดูรักอย่าง “โป่วเฮียงกุน” ออกไป ส่วน “ต๊กโกวหงส์” ลูกสาวของตัวร้าย ที่มีความสัมพันธ์ลึกลับซับซ้อนกับ ฮุ้นปวยเอี๋ยง ก็ถูกลดบทบาทลง ประเด็น “ความรักต้องห้ามของพี่น้องร่วมสายเลือด” ที่เรียกว่าเป็นหนึ่งในเครื่องหมายการค้าของกระบี่ไร้เทียมทานก็ถูกตัดทิ้งไปด้วย
เหมือนจะมีแต่ข้อเสีย แต่กระบี่ไร้เทียมทาน ฉบับ Bastard Swordsman ก็เอาตัวรอดไปได้อย่างเฉียดฉิว กับคิวบู๊มัน ๆ และเทคนิคพิเศษแบบ “โอวด์สกูล” ที่ดูสนุกดีในยุคนั้น ตัวของ ฉีเส้าเฉียน ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมเสมอเมื่อได้รับบท ฮุ้นปวยเอี๋ยง โดยรวมก็ถือว่าเป็นกระบี่ไร้เทียมทานในฉบับ “ย่นย่อ” ที่พอเอามันได้แบบถู ๆ ไถ ๆ แต่สิ่งสำคัญแห่งความเป็นกระบี่ไร้เทียมทาน อย่างความเข้มข้นสะเทือนอารมณ์นั้นเรียกว่าไม่สามารถเทียบฉบับหนังชุดที่ทุกคนประทับใจได้เลย
The Return of Bastard Swordsman - ภาคสองยิ่งทำยิ่งเละ !?
ภาคแรกว่าออกทะเลแล้ว หนังภาคสองที่ใช้ชื่อว่า The Return of Bastard Swordsman ก็ถือว่าไปไกลยิ่งกว่า กับการใส่กลุ่มศัตรูจากต่างแดนอย่าง พวกนินจาสำนักอีกะ เข้ามาเป็นตัวร้ายกลุ่มใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัยที่ต้องการยึดครองยุทธจักรจีน พร้อมเพิ่มตัวพระรองอย่าง “หมอดูจอมยุทธ์ – ลี้โปวอี” ที่สวมบทบาทโดย “หลิวหยง” เข้ามาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของพระเอกด้วย
นักแสดงกังฟูชื่อดัง “เฉินกวนไท้” กลายมาเป็นหัวหน้าแห่งกลุ่มจอมยุทธแห่งแดนอาทิตย์อุทัย "โมจิซึกิ โซริว" ศัตรูตัวร้ายที่ต้องการยึดครองยุทธจักรจีน คู่ปรับอันดับ 1 ของพระเอกในหนังภาคนี้ ซึ่งกลายเป็นว่านอกจากจะไม่น่าเกรงขามแล้วตัวละครของเฉินกวนไท้ ยังออกแนวตลกแบบไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อย ๆ ด้วย
ความฮาแบบโดยบังเอิญที่ว่า มาจากทั้งการใช้อาวุธอย่างดาวกระจายอันใหญ่ยักษ์หรือ ท่าไม้ตาย “พลังมารกระชากใจ” ซึ่งฟังดูขึงขังน่ากลัวดี สำหรับวิชามารที่บังคับการเต้นของหัวใจของศัตรู จนสามารถควบคุมให้หัวใจคู่ต่อกรนั้นทะลุออกจากร่างมาได้
แต่ภาพที่เห็นในหนังจริง ขณะที่ตัวละครตัวนี้ โมจิซึกิ โซริว ใช้วิชาพลังมารกระชากใจก็คือ เทคนิคพิเศษแบบบ้าน ๆ ที่จะเอาหลอดไฟสีแดงไปยัดในอกเสื้อเฉินกวนไท้ แล้วกระพริบตามจังหวะเต้นของหัวใจ แถมช่วงเมื่อตัวละครเร่งพลังสุดขีด ใช้วิชาแบบรุนแรงเต็มพิกัด หน้าอกและเสื้อของเขาก็จะยุบๆ พอง ๆ แบบอึ้งอ่าง ดูแล้วฮาแทนที่จะโหดซะอย่างงั้น
ส่วนตัวของพระเอก ฮุ้นปวยเอี๋ยง กลับมีบทบาทน้อยไปหน่อย เรียกว่าโผล่มาบาดเจ็บตอนต้น โดนหามอยู่ค่อนเรื่องก่อนจะกลับมามีบทบาทอีกในตอนท้าย ไม่แน่ใจว่าตารางการทำงานของฉีเส้าเฉียนค่อนข้างจะรัดตัว จนมีเวลาให้กับหนัง The Return of Bastard Swordsman ไม่มากพอรึเปล่า ทำให้บทพระเอกของเค้าดูค่อนข้างเลื่อนลอย และต้องดันให้ หลิวหยง ที่มาแสดงเป็นหมอดูเทพ ลี้โปวอี มากลายเป็นพระรองที่มีเวลาในจอภาพอยู่นานพอสมควร
ใครไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวในหนังภาคสอง ก็ไม่ต้องสงสัยอะไร เพราะเรื่องราวไม่ได้อ้างอิงจากหนังสือกระบี่ไร้เทียมทานของ อึ้งเอ็ง แต่ชอว์ไปหยิบเอาตัวละคร และส่วนหนึ่งของเรื่องราวใน “พยากรณ์ประกาศิต" ผลงานของนักเขียนอีกท่านอย่าง “อุนสุยอัน” มาดัดแปลงผสมเข้าไปด้วย เนื้อเรื่องเลยออกมาแปลก ๆ
ดูแล้วเหมือนหนังจะเละตุ้มเป๊ะ แต่ก็ไม่ได้แย่เสียจนดูไม่ได้หรอกนะครับ อย่างน้อยด้วยเนื้อเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ มีการใส่มุขตลกลงไป กับเนื้อหาประเภทตามหาหมอเทวดา, หมอดูเทพ อะไรทำนองนั้นก็สร้างความแตกต่างจากภาคแรกได้ดี
อย่างไรเสีย The Return of Bastard Swordsman ก็ยังแสดงออกหลักฐานของการทำงานแบบลวก ๆ สไตล์ชอว์บราเดอร์ในยุคท้าย ๆ ออกมาอีกครั้ง ที่ดูจะทำหนังกันแบบไม่ได้ใส่ใจในความสมจริงสมจังอะไรซักเท่าไหร่ ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการดึงเอา ดาราจากหนังภาคแรกอย่าง หลิวหยง และกู้กวนจง กลับมาแสดงในหนังภาคต่อด้วยแต่เป็นตัวละครใหม่ ชนิดไม่ได้แคร์อะไรคนดูเลย
ถึงแม้จะออกทะเลไปบ้างแต่รวม ๆ แล้วกระบี่ไร้เทียมทานฉบับชอว์ก็ดูสนุกดี ความลุ่มลึกน่าติดตามของเรื่องราว อาจจะพร่องไปจากฉบับหนังชุดอยู่หลายขุม แต่ลีลาการพะบู๊แบบยุคโบราณ หรือเทคนิคพิเศษในการสร้างวิทยายุทธ์พิสดารต่าง ๆ นานา ก็ยังเป็นสิ่งที่สร้างความบันเทิงให้กับผมได้ครับ
ซึ่งก็ไม่เรื่องแปลกที่หนังกระบี่ไร้เทียมทานฉบับภาพยนตร์ 2 ภาคจบนี้ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bastard Swordsman จะโด่งดังเป็นที่รู้จัก, มีคนชื่นชอบมากเป็นพิเศษในหมู่นักดูหนังชาวตะวันตกในฐานะภาพยนตร์แนว “Wire Fu” หนังกำลังภายในชนิดที่เน้นหนักฉากต่อสู้แบบลีลากลางเวหาด้วยสลิง เป็นความมันสุดขั้วแบบหนังกำลังภายในยุค 80’s ที่คนทำหนังฮ่องกงกำลัง “ตื่นเต้น” กับการขายเทคนิคพิเศษ
หากแต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นไม่ใช่ความสนุกสนานครบรส และกลมกล่อมแบบที่ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ต้นฉบับหนังชุดเคยมอบให้
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |