นับเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย กับผลลัพธ์สองด้านที่ออกมาสวนทางกัน สำหรับผลงานล่าสุดของผู้กำกับจอมทำลายข้าวของอย่างไมเคิล เบย์ เพราะในขณะที่ตัวเลขรายได้ เฉพาะในบ้านเรา พุ่งไปแตะที่ตัวเลขร่วมๆ 150 ล้านบาท ด้วยจำนวนวันฉายเพียง 4-5 วัน แต่สำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กลับต่ำเตี้ยติดดิน ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะนักวิจารณ์ หากแต่มวลชนคนดูยังรู้สึกไม่แฮปปี้นักกับหนังเรื่องนี้ Transformers 3 : Dark of the Moon
จะว่าไป นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ เพราะถ้ายังจำกันได้ ตอนที่ทรานสฟอร์เมอร์สภาคสองเข้าฉาย กระแสตอบรับก็เป็นไปในทำนองนี้เช่นเดียวกัน คือ ทำเงิน แต่โดนถล่มเละในแง่ของบทหนัง
อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยครับ เพราะแม้แต่ผู้กำกับเจ้าของผลงานก็ยังยอมรับว่าทรานส์ฟอร์เมอร์สภาคสองนั้น บทหนัง “ห่วยแตก” อย่างที่ใครต่อใครวิพากษ์วิจารณ์กันจริงๆ
ในมุมนี้ ด้านหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นสปิริตที่น่านับถือของไมเคิล เบย์ อย่างปฏิเสธได้ยากล่ะครับ เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่ดันทุรัง เอาสีข้างเข้าถู ทู่ซี้เชื่อว่า งานของตัวเองดี ทั้งๆ ที่คนทั้งโลกเห็นว่ามันห่วย พูดง่ายๆ มันก็คือความใจกว้างของคนทำงานนั่นแหละครับ กล้าที่จะยอมรับและอยู่ร่วมกับกระแสตอบกลับทุกๆ ทางได้อย่างไม่ขลาดกลัว
อย่างไรก็ดี ในขณะที่ใครต่อใครอาจจะกำลังช่วยกันออกแรงถล่มหนังของไมเคิล เบย์ อยู่นั้น ผมกลับต้องการจะชวนคิดชวนคุยว่า “บทหนัง” ของ Transformers 3 ที่ว่ากันว่า “ห่วย” นักหนานั้น มันห่วยจริงหรือ?
จริงๆ ไม่ห่วยหรอกครับ เพียงแต่มันไม่ “ลึก” ไม่ซึ้ง ไม่ตรึงจิตต้องใจ ก็เท่านั้นเอง
แน่ล่ะว่า หนังของใครคนอื่น อาจจะพาคนดูเดินเข้าไปสู่ความเข้าอกเข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่าง หรือมีเงื่อนปมที่ลึกลับซับซ้อน แต่หนังของไมเคิล เบย์ เป็นหนัง “เล่าเรื่อง” ไม่ใช่หนัง “ลงลึก” ศักยภาพของบทที่ถูกคาดหวังไว้ ก็เพียงเพื่อพัฒนาการเรื่องราวให้ดำเนินไปข้างหน้าได้ คือเล่าเรื่องไปได้ตลอดรอดฝั่ง อาจจะไม่คมคายอะไร แต่ก็เล่าเรื่องไปได้จนจบ
จริงๆ มันก็คือหนังเพื่อความบันเทิงนั่นแหละครับ ดูแล้วไม่ต้องคิดอะไรมาก แอ็กชั่นๆๆ มันๆ สนุกๆ แล้วก็กลับบ้านไป
กระนั้นก็ดี ใครจะว่าเฮียไมเคิล เบย์ “เบๆ” ไม่มีกึ๋น ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วย เพราะอันที่จริง เราก็เห็นเฮียแกพยายามที่จะคมคายอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหยิบยกเอาชื่อเพลงของวงพิงค์ฟลอยด์ อย่าง The Dark Side of the Moon มาเป็นชื่อตอน พร้อมกับนำเสนอให้เห็นด้านมืดของตัวละครที่ (คิดว่าจะ) ดี ก็เป็นประเด็นที่โดดเด่นพอจะให้เราจับต้องสัมผัสได้เช่นกัน
ด้านมืดของดวงจันทร์ ก็เหมือนด้านมืดของคนดีๆ แม้กระทั่งนางเอกของเรื่อง ก็ยังมี Dark Side ที่เราไม่คิดว่าเธอจะใช้ (ตอนที่ไปเป่าหูหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง)
อย่างไรก็ดี พูดกันอย่างถึงที่สุด ผมว่า คนดูหนังก็คงไม่ได้หวังจะไปนั่งขบคิดปริศนาธรรมอะไรในผลงานของไมเคิล เบย์ หรอกครับ เพราะสิ่งที่คาดหวังจริงๆ ก็คือการได้เห็นหุ่นยนต์ตัวยักษ์ฟาดปากกันตู้มต้ามโครมคราม เท่าๆ กับการที่ได้เห็นบรรดาหุ่นยนต์พากันแปลงร่าง น่าตื่นตาตื่นใจ
เหนืออื่นใด ต้องบอกว่า เฮียไมเคิล เบย์ นั้น บ้าพลังมากๆ เพราะนอกจากความยาวของหนังที่ยืดไปเกือบๆ จะ 3 ชั่วโมงแล้ว ช่วงเวลาร่วมๆ 40 นาทีสุดท้ายของหนังนั้น เรียกว่า อารมณ์ของหนังถูกตรึงไว้กับความลุ้นระทึกแทบจะตลอดเวลา แน่นอนว่า ถ้าคนดูรู้สึกว่าตัวเองต้องเกร็ง (จนเหนื่อย) ไปกับสถานการณ์ในหนัง คนทำ (ผู้กำกับ / ทีมงาน) ก็คงต้องมีพลังที่มากกว่าหลายเท่า
ถ้าจะมีอะไรที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยจะ “เวิร์ก” เท่าไรนักสำหรับหนังขายความบันเทิงเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นจินตนาการที่ไปไกลเหลือเกินของไมเคิล เบย์ ที่ลากเรื่องหุ่นยนต์ไปปะปนกับปฏิบัติการบนดวงจันทร์ แล้วพัวพันกับรัสเซียอะไรวุ่นวายไปหมด แน่ล่ะ ไมเคิล เบย์ อาจจะอยากเขียนประวัติศาสตร์ในแบบของตัวเอง แต่มันดู “มั่วซั่ว” อยู่หลายส่วน (ถึงตอนนี้ ผมนึกถึงถ้อยคำเชิงเหน็บแนมบางคำที่ใครๆ เคยบ่นในภาคสองว่ามันเป็น “ทรานสฟอร์มั่ว” นั่น ก็ดูเหมาะดี กับแง่มุมนี้)
ขณะเดียวกัน ส่วนที่ไมเคิล เบย์ จำต้องยอมรับอย่างจริงใจก็คือ ตอนจบของหนังที่ดูห้วนและรวบรัดรวดเร็ว คนดูก็จะรู้สึกประมาณว่า อ้าว จบแล้วเหรอ มองอย่างเข้าอกเข้าใจ ไมเคิล เบย์ ที่ใช้พลังงานมายาวนานกว่า 150 นาที ก็คงเหนื่อยล้าล่ะครับ แล้วยิ่งตอนท้าย ก็อัดใส่สถานการณ์แอ็กชั่นต่อสู้กว่าครึ่งชั่วโมง บ้าพลังแค่ไหนก็ต้องหมดแรงกันบ้างล่ะ แบบนี้ เรียกได้ว่า เหนื่อยแบบไม่ห่วงตอนจบกันเลยทีเดียว
แน่นอนครับว่า ถึงแม้หลายเสียงจะบ่นว่าหนังห่วยอย่างนั้น หนังห่วยอย่างนี้ แต่เชื่อสิว่า ถ้ามีภาคหน้า หนังเรื่องนี้ก็จะโกยเงินอย่างเป็นล่ำเป็นสันอีกครั้งหนึ่ง อย่างแน่นอน