โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
“ละอองฟอง”
ชื่อวงดนตรีวงนี้ ไม่มีปรากฏในพจนานุกรมไทย มีแต่ ละอองฟาง ละอองฝน ละอองน้ำ ละอองข้าว และ“ละ”ที่นักการเมืองไทยไม่มีในคำถัดไป นั่นก็คือ “ละอาย”
อย่างไรก็ตามจากที่ผมลองเข้าไปค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลพ่อทุกสถาบัน ได้ที่มาของชื่อละอองฟองจากเว็บบล็อกแฟนคลับของวงดนตรีวงนี้ว่า
“ละอองฟอง” มาจากคำว่า “อองฟอง” (Enfant) ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า เด็กๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการทำเพลงของวงดนตรีวงนี้ คือเน้นเพลงสดใส น่ารัก ฟังสบาย แต่เพื่อให้ชื่อวงสื่อถึงความเป็นไทย ทางวงจึงนำคำว่า“ละ” ไปเติมไว้ข้างหน้าอีกที เป็น“ละอองฟอง” ที่มีทั้งความเป็นไทยและสากลผสมอยู่ในตัว
ถึงกระนั้นชื่อวงละอองฟองหากมองกันตามความหมาย(ผสม)แบบไทยๆ ผมฟังแล้วมันให้ความรู้สึกเบาสบายไม่น้อย เพราะ“ละออง”นั้นเบาเป็นฝอยลอยฟุ้ง ส่วนฟองก็เบาหวิวปลิวล่องลอย เมื่อมารวมกันก็ยิ่งเบาเบาเป็น 2 เท่าทวีคูณ
แต่ประทานโทษ เพลงของละอองฟองไม่ได้เบาหวิวไร้น้ำหนักจนหาน้ำหนักความเป็นตัวตนของตัวเองไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่วงดนตรีสุดฮอต โด่งดังเปรี้ยงปร้าง แต่ละอองฟองได้ชื่อว่าเป็นวงดนตรีมีสไตล์ และมีเอกลักษณ์จำเพาะโดดเด่นชนิดหาตัวจับยากวงหนึ่งของเมืองไทย
ในยุคกระแสอัลเทอร์เนทีฟครองเมืองเมื่อราว 15-20 ปีที่แล้ว วงดนตรีน้องใหม่ หน้าใหม่ ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ส่วนใหญ่ต่างอิงกับกระแสความดังของวงอัลเทอร์เนทีฟโลก คือมักจะมาแบบหนักๆดิบๆหยาบๆ จากการรับอิทธิพลมามากบ้างน้อยบ้างของดนตรีกรันจ์ คอลเลจซาวนด์ โมเดิร์นร็อก แต่สำหรับ “ละอองฟอง” วงดนตรีกลุ่มน้อยที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2539 พวกเขากลับฉีกกระแส ส่งอัลบั้มแรก “Volume 1“(สังกัดร่องเสียงลำไย) ออกมาในสไตล์ป็อบใสๆ เพลินๆ ฟังสบาย ติดกลิ่นย้อนยุค(ว่ากันว่าละอองฟองได้รับอิทธิพลมาจากวงสวีดิชป็อบชื่อ The Cardigans)
และผลจากการฉีกกระแสของละอองฟองก็คือ แป้ก!!! ทั้งชื่อเสียงและยอดขาย แต่วงดนตรีวงนี้ได้กระจายละอองเพลงไปประทับจับใจแฟนเพลงจำนวนหนึ่ง เกิดเป็นกลุ่มแฟนเพลงที่เหนียวแน่นขึ้นมา
ละอองฟอง ในยุคแรกเริ่มมีสมาชิก 5 คนได้แก่ “ชมพู่-วิสาห์ อัทธเสรี” : ร้องนำ,”โหน่ง-วิชญ วัฒนศัพท์” : คีย์บอร์ด, ”ฟลุ๊ค-ดนพ ศรีขาว” : กลอง,“แมน-ตนุภพ โนทยานนท์” : กีตาร์ และ “เอ๊ะ-พงศ์จักร พิษฐานพร” : เบส
หลัง Volume 1 ไม่ประสบความสำเร็จ สมาชิกส่วนหนึ่งได้แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน เหลือสมาชิกอยู่เพียง 2 หน่วยคือ แมนกับเอ๊ะ ที่ยังไม่หมดไฟและยังไม่หมดสมรรถภาพทางเพลง เพียงแต่ว่าพวกเขาในนามละอองฟองเงียบหายไปนานหน่อยร่วม 8 ปี จนแฟนเพลงของวงนี้หลายคนคิดว่า คงมีวาสนาได้ฟังเพลงของละอองฟองแค่ Volume 1 ชุดเดียวเท่านั้น
จากนั้นในปี 2547 ละอองฟองโดยแมนกับเอ๊ะ กลับมาอีกครั้งกับอีพีใหม่ “Volume 2” พร้อมด้วยการเปิดตัวนักร้องนำคนใหม่คือ “ออน - กรกมล ชัยวัฒนเมธิน”
ครับ งานนี้คนที่ติดในเสียงหวานใสฟังจริงใจของชมพู่ก็อาจขัดใจนิดหน่อย แต่น้องออนก็สามารถพาเสียงหวานใสบวกสไตล์การร้องเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ และหน้าตาใสแบ๊วน่ารัก(มาก) กับดนตรีป็อบใสๆที่ปรับเปลี่ยนแนวทางจากเดิมไปบ้างตามความเหมาะสมและตามยุคสมัย ฝ่าด่านความล้มเหลวในชุดแรกขึ้นมาสร้างชื่อเสียงให้กับละอองฟองได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ทางวงจะออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 คือ “Cozy Collection” ออกมาในปี 2548 ที่มีเพลง“ต่างใจเดียว”เป็นเพลงเด่นนำมา
ปี 2550 ละอองฟองที่ไปด้วยกันได้ดีกับเสียงร้องของน้องออน มี EP “เหงาจนชิน”ออกมา ก่อนตามต่อด้วยการนำเพลง“ฝันลำเอียง”เพลงเก่าของพี่แจ้(ดนุพล แก้วกาญจน์) มาร่วมเป็นหนึ่งในอัลบั้มโปรเจคพิเศษรวมเพลงเก่า ในปี 2553 ซึ่งเสียงใสๆกับหน้าใสๆของนักร้องคนนี้ มันชวนให้สงสัยยิ่งนักว่า ใครหนอสามารถทำให้เธอคนนี้นอนหลับฝันลำเอียง ทิ้งเธอให้หลงในภวังก์อยู่ร่ำไปได้
จากนั้นมาเมื่อเร็วๆนี้ ละอองฟองกลับมาอีกครั้งกับผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 คือ “Wind-Up City” ที่แม้จะห่างหายจากอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ไปร่วม 7 ปี แต่พวกเขาก็ไม่ได้เรื้อเวทีไปไหน เพราะที่ผ่านมามีผลงานเพลงออกมาคั่นๆเป็นระยะตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
Wind-Up City ออกมาภายใต้ในสังกัดเดิม(ตั้งแต่ชุดที่ 2) คือ “สไปร์ซซี่ ดิสก์” งานชุดนี้ทางต้นสังกัดให้ข้อมูลว่า วงละอองฟองเริ่มต้นทำเพลงจากภาคทำนองก่อน ก่อนจะนำในส่วนของเนื้อหามาใส่แล้วเข้าสู่กระบวนการปรุงแต่งเพลง
แน่นอนว่าคีย์แมนหลักในการทำเพลงทั้งเนื้อร้อง-ทำนอง ย่อมหนีไม่พ้น 2 คู่หู ละอองฟองยุคแรกอย่างเอ๊ะกับแมน ส่วนน้องออน ชุดนี้เธอมีเพลงที่เขียนเนื้อเองเต็มๆ 1 เพลง และร่วมแต่งอีก 1 เพลง นอกจากนี้ยังมีเพื่อนคนดนตรีอย่าง แสตมป์-อภิวัชร์ และ บอย-ตรัย มาช่วยแต่งเนื้อเพลงให้อีก ส่วน แทน-ลิปตา นี่มาแต่งให้แบบจัดเต็มมาทั้งเนื้อร้อง-ทำนองให้ 1 เพลง ร่วมด้วย ก้อ-ณัฐพล ศรีจอมขวัญ มือเบสคนเก่งจากกรูฟไรเดอร์มาร่วมเขียนเพลงและเป็น โค-โปรดิวเซอร์ โดยมีโปรดิวเซอร์เป็นวงละอองฟองนั่นเอง
Wind-Up City ไขลานเปิดตัวกันด้วย “So In Love” (เนื้อร้อง : แสตมป์) เพลงไทยในชื่อฝรั่ง ชวนแด๊นซ์ขยับแข้งขากับจังหวะสนุกๆในอารมณ์ดิสโก้ติดกลิ่นย้อนยุค เบสเล่นคู่ 8 ในแบบดิสโก้ พร้อมมีเกี่ยว-ตบ เสริมสีสัน ร่วมด้วยไลน์เครื่องสายเล่นอุ้มเป็นแถวสอง หนุน-ส่ง คลอไปตลอดเพลง น้องออนร้องเพลงนี้ด้วยลูกออดอ้อน งุ๊งงิ๊ง ฟังดูใส่จริตมากไปหน่อย ซึ่งถ้าเพลงต่อๆไป เธอยังร้องงุ๊งงิ๊งแบบนี้ไปทั้งอัลบั้ม ผมคงต้องคิดหนักว่าจะฟังแมวร้องหาปลาทูหรือฟังหลาน 3 ขวบที่บ้านร้องอ้อนแม่แทนดี
แต่โชคดีที่เพลงที่ 2 “แอบชอบ”(เนื้อร้อง : ก้อ) น้องออนปรับทางเสียงมาร้องเพลงคู่กับพี่เอ๊ะมือเบสได้อย่างน่าฟัง ด้วยน้ำเสียงธรรมชาติใสๆตามสไตล์ถนัดของเธอ
เพลงนี้ขึ้นนำด้วยอะคูสติกกีตาร์บางๆ ตามจางๆมาสบทบด้วยเสียงเครื่องสาย ก่อนส่งต่อเข้าตัวเพลงจังหวะปานกลางกับเนื้อหาน่ารัก ในอารมณ์ต่างคนต่างแอบชอบกันอยู่และอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนตนหรือเปล่า ท่อนกลางเพลงแต้มสีสันด้วยเสียงเครื่องเป่า ทรอมโบนโซโลเล่นโน้ตกระชับๆ แซมด้วยเสียงทรัมเป็ตเข้ามาตบท้าย ฟังแล้วผมชักแอบชอบน้องออนเข้าแล้วสิ เอ๊ย!?! ไม่ใช่ ชักแอบชอบผลงานชุดนี้เข้าแล้วสิ
ถัดมาเป็น “กอดเธอได้ไหม” ว่าด้วยสาวขี้เหงา ในคืนหนาวเหน็บอยากจะขอกอดคนรักให้อบอุ่นหัวใจ โอ้ว...นี่น่ารักขนาดน้องออนยังต้องไปขอกอดคนอื่น แล้วถ้าเป็นตัวเราล่ะ เฮ้อ...ไม่อยากจะคิด
กอดเธอได้ไหม เป็นเพลงเร็วมาอารมณ์โซลย้อนยุคสนุกๆ เสียงกีตาร์เด่นไม่เบาทั้งโซโลและริทึ่ม ส่วนไลน์เครื่องสายนั้นก็แน่นอีกแล้ว
จากนั้นเป็นเพลงอะไร? เอ้า!!!แล้วมันเพลงอะไรล่ะ ก็เพลงนี้นี่แหละชื่อเพลง“อะไร”(เนื้อร้อง : บอยตรัย) ดนตรีเพลงนี้ทำออกมาได้ลงตัวและเท่น่ารักไม่หยอก เสียงเครื่องสายมากพี่น้องเอ๊ย โดยเฉพาะไอ้ลูกเสียงแหลมๆฟิ๊วๆนั้น สร้างจุดเด่นจุดโดนให้เพลงได้ดีทีเดียว
เสียงร้องของน้องออนในเพลงนี้ เธอหยอดลูกอ้อนลงไปใช่ย่อย ฟังออกลูกแบ๊วนิดๆ แต่ยังดีที่ไม่ใส่ลูกงุ๊งงิ๊งลงไปแบบเกินพิกัด ทำให้เพลงนี้ออกมาน่ารักน่าฟัง และน่าดู MV ไม่น้อยเลย
“เหงาจนชิน” เพลงเก่าจากอีพีปี 50 มาทำใหม่เป็นป็อบแจ๊ซสวยๆจังหวะปานกลาง ซึ่งผมชอบน้องออนร้องเพลงจังหวะช้าๆกับปานกลางในอารมณ์แบบนี้มากกว่า มันฟังเป็นธรรมชาติดี ไม่ต้องใส่จริต ใส่ลูกอ้อนลงไปมากมายเหมือนในเพลงเร็ว ที่แม้จะฟังน่ารักและแสดงให้เห็นถึงทักษะการร้องเพลงของเธอว่า สามารถร้องได้หลายสไตล์หลายอารมณ์ แต่เมื่อฟังกันดีๆมันให้ความรู้สึกฝืนๆอยู่พอตัว เป็นการฝืนทั้งธรรมชาติและฝืนวัยอยู่ในที
ใครไม่เชื่อลองฟังเพลง“เหงาจนชิน” เปรียบเทียบกับเพลง “So In Love” ฟังดูเหมือนไม่ใช่คนร้องคนเดียวกันเลย
ตามต่ออารมณ์กันด้วย“เมื่อไหร่จะเช้า”(เนื้อร้อง-ทำนอง : แทน-ลิปตา) เพลงเศร้าซึ้งในอารมณ์โซลช้าๆ โซโลกีตาร์หยอดลูกบลูส์หวานๆมา ก่อนจัดเต็มใส่มาทั้งไลน์เครื่องสาย เครื่องเป่า น้องออนร้องเพลงนี้ได้เนียนเพราะ ได้อารมณ์ไม่ต่างจากเหงาจนชิน
ส่วน“แค่ฝันก็พอ” กับ “รักเปิดเผย” เป็น 2 เพลงต่อเนื่องที่มาในอารมณ์สนุกๆ โดยเพลงหลังนั้น พี่เอ๊ะมือเบสทั้งแต่งเนื้อร้อง-ทำนอง และขับร้องเอง
จากนั้นสลับอารมณ์ไปเศร้าเหงากับ “รอ” บัลลาดๆช้า เปิดพื้นที่ให้น้องออนโชว์เสียงร้องคู่ไปกับกีตาร์และไลน์เครื่องสายบางๆ แล้วต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงช้าอย่าง “ใครหนอ” เพลงนี้ถึงคิวของพี่แมนมือกีตาร์โชว์บ้างในอารมณ์สแตนดาร์ดแจ๊ซช้าๆ ที่พี่แกจัดเต็มมาทั้งเขียนเนื้อร้อง-ทำนอง-เรียบเรียงและร้องนำ พร้อมกับเสียงร้องที่แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ แต่ก็เอาตัวรอดไปได้
สองเพลงนี้มาแบบช้าๆจังหวะหน่วงๆ ซึ่งถ้าเพลงที่สามตามมาในอารมณ์เนือยแบบๆนี้อีก คงน่าเบื่อง่วงหาวแน่นอน
แต่เพลง“เธอทั้งนั้น” เพลงเก่าของกรูฟไรเดอร์ ดีดจังหวะให้สนุกกระชับขึ้นมา แม้ทางเพลงจะไม่ต่างจากต้นฉบับ แต่ที่น่าฟังของเพลงนี้คือฟิลลิ่งของเพลง เพราะการร้องสลับชาย-หญิง ระหว่างน้องออนกับพี่เอ๊ะนั้น มันให้อารมณ์แตกต่างจากกรูฟไรเดอร์ไปอีกแบบ
สุดท้ายเป็น “ขอบคุณนะ” เพลงปิดท้าย ฝีมือการเขียนเนื้อร้องของน้องออนเอง มาในสไตล์อะคูสติกบอสซ่า เนื้อเพลงเธอแต่งขึ้นเพื่อขอบคุณคุณแม่ของเธอ เป็นเพลงรักแม่ที่ฟังไม่เศร้าแต่ฟังอบอุ่นน่ารักดี และผมก็ขอขอบคุณนะเธอที่ไม่ได้ร้องเพลงนี้ให้มันออกมางุ๊งงิ๊งจนเกินงามตามสไตล์บอสซ่าไทยๆสมัยนิยมที่เน้นเสียงตะแง๊วงุ๊งงิ๊งมากเป็นพิเศษ
และนี่ก็คือ 12 บทเพลงจาก Wind-Up City อัลบั้มที่ละอองฟองยังเลือกเดินในแนวทางถนัดกับสไตล์เพลงป็อบใสๆ ฟังสบาย ทำนองติดหูง่าย เจือความเป็น ดิสโก้ โซล แจ๊ซ ลงไปในอารมณ์เพลงร่วมสมัยที่ให้กลิ่นอายย้อนยุค(60‘s-70’s)ได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ยังมีการใส่ไลน์เครื่องสาย เสียงเครื่องเป่า ลงไปโอบอุ้มแต่งแต้มให้ตัวเพลงมีสีสันน่าฟังมากขึ้น โดยเฉพาะกับไลน์เครื่องสายนั้นพวกเขาจัดเน้นใส่กันมาเยอะเป็นพิเศษ ส่วนที่มีฟังขัดเขินบ้างก็เห็นจะเป็นเรื่องเนื้อร้องที่ฟังไม่เนียนไม่รื่นไหลในบางเพลง
ขณะเดียวกันในส่วนของน้องออนนักร้องนำที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของวงนี้ แน่นอนว่าหากมองกันอย่างฉาบฉวย รูปร่างหน้าตา ความน่ารัก ใสแบ๊ว ระดับอดีตลีดจุฬาฯ นี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดให้ใครหลายๆคนหันมาหลงในรูปลักษณ์ภายนอกของนักร้องคนนี้ แต่ถ้ามองกันในเรื่องของการร้องเพลง การถ่ายทอดอารมณ์เพลงแล้ว น้องออนถือว่าเป็นคนที่ร้องเพลงได้มีเสน่ห์และมีสไตล์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ชวนฟังคนหนึ่งของเมืองไทย
อย่างไรก็ดีงานเพลงชุดนี้ ในปกอัลบั้มแม้ยังคงขายความน่ารักของน้องออน(คู่ไปกับความมีสไตล์ของสมาชิกชายทั้งสอง) แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ขายความใสแบ๊วเหมือนแต่ก่อน หากแต่ขายเสน่ห์จากความสาวขึ้น ความเปรี้ยวขึ้นของเธอ(เป็นไปตามวัยที่เติบใหญ่ขึ้น)
ดูๆแล้วมันออกจะสวนทางกับทางน้ำเสียงของเธอในชุดนี้ ที่พยายามดีไซน์ปรับให้เข้ากับสไตล์เสียงร้องเพลงในแบบพิมพ์นิยมแห่งยุคสมัยมากยิ่งขึ้น นั่นคือการพยายามใส่จริต ออดอ้อน “ตะแง๊ว” “งุ๊งงิ๊ง” ในอารมณ์เด็กสาวแรกรุ่นผสมลงไปในน้ำเสียงน่ารัก ใสๆ เป็นธรรมชาติของเธอ ซึ่งแม้จะมีบ้างในบางเพลง ฟังดูเหมือนเธอหยอดจริตมากไปนิด(โดยเฉพาะในเพลงแรก) แต่โดยรวมแล้วถือว่ายังไม่เกินงาม เพราะเธอไม่ได้เน้นร้องงุ๊งงิ๊งออดอ้อนแบบเป็นบ้าเป็นหลังจนถึงขั้นฟังปร่าแปร่ง ระคายหูสะดุดอารมณ์
ที่สำคัญคือน้องออนเก่งสามารถบังคับควบคุมน้ำเสียงได้เป็นอย่างดี ไม่มีเพี้ยน ไม่มีหลง อีกทั้งเธอยังเก่งเรื่องการสร้างอารมณ์ความแตกต่างในแต่ละเพลงได้เป็นอย่างดี(แต่ความสามารถทั้ง 2 อย่างนี้คงต้องวัดกันอีกทีตอนฟังเธอร้องสดๆ)
นั่นจึงทำให้โดยรวมแล้วนี่เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่น่าฟัง มีเสน่ห์ และโดดเด่นไม่น้อยของวงการเพลงไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นบทพิสูจน์ว่าละอองฟองไม่ได้มีดีที่นักร้องนำน่ารักเท่านั้น หากแต่พวกเขายังเป็นวงที่มีไอเดีย มีฝีมือในการทำเพลงอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา
แม้ว่าในอัลบั้มชุดนี้ อาจจะบ้างในบางเพลงที่ฟังแล้วเหมือนน้องออนใส่จริตหยอดลูกงุ๊งงิ๊งลงไป จนฟังดูเหมือนเธออ่อนเยากว่าวัย(จริง)ไปบ้างก็ตาม(ฮา)
***********************************************************
คลิกฟังเพลง "อะไร"
“ละอองฟอง”
ชื่อวงดนตรีวงนี้ ไม่มีปรากฏในพจนานุกรมไทย มีแต่ ละอองฟาง ละอองฝน ละอองน้ำ ละอองข้าว และ“ละ”ที่นักการเมืองไทยไม่มีในคำถัดไป นั่นก็คือ “ละอาย”
อย่างไรก็ตามจากที่ผมลองเข้าไปค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลพ่อทุกสถาบัน ได้ที่มาของชื่อละอองฟองจากเว็บบล็อกแฟนคลับของวงดนตรีวงนี้ว่า
“ละอองฟอง” มาจากคำว่า “อองฟอง” (Enfant) ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า เด็กๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการทำเพลงของวงดนตรีวงนี้ คือเน้นเพลงสดใส น่ารัก ฟังสบาย แต่เพื่อให้ชื่อวงสื่อถึงความเป็นไทย ทางวงจึงนำคำว่า“ละ” ไปเติมไว้ข้างหน้าอีกที เป็น“ละอองฟอง” ที่มีทั้งความเป็นไทยและสากลผสมอยู่ในตัว
ถึงกระนั้นชื่อวงละอองฟองหากมองกันตามความหมาย(ผสม)แบบไทยๆ ผมฟังแล้วมันให้ความรู้สึกเบาสบายไม่น้อย เพราะ“ละออง”นั้นเบาเป็นฝอยลอยฟุ้ง ส่วนฟองก็เบาหวิวปลิวล่องลอย เมื่อมารวมกันก็ยิ่งเบาเบาเป็น 2 เท่าทวีคูณ
แต่ประทานโทษ เพลงของละอองฟองไม่ได้เบาหวิวไร้น้ำหนักจนหาน้ำหนักความเป็นตัวตนของตัวเองไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่วงดนตรีสุดฮอต โด่งดังเปรี้ยงปร้าง แต่ละอองฟองได้ชื่อว่าเป็นวงดนตรีมีสไตล์ และมีเอกลักษณ์จำเพาะโดดเด่นชนิดหาตัวจับยากวงหนึ่งของเมืองไทย
ในยุคกระแสอัลเทอร์เนทีฟครองเมืองเมื่อราว 15-20 ปีที่แล้ว วงดนตรีน้องใหม่ หน้าใหม่ ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ส่วนใหญ่ต่างอิงกับกระแสความดังของวงอัลเทอร์เนทีฟโลก คือมักจะมาแบบหนักๆดิบๆหยาบๆ จากการรับอิทธิพลมามากบ้างน้อยบ้างของดนตรีกรันจ์ คอลเลจซาวนด์ โมเดิร์นร็อก แต่สำหรับ “ละอองฟอง” วงดนตรีกลุ่มน้อยที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2539 พวกเขากลับฉีกกระแส ส่งอัลบั้มแรก “Volume 1“(สังกัดร่องเสียงลำไย) ออกมาในสไตล์ป็อบใสๆ เพลินๆ ฟังสบาย ติดกลิ่นย้อนยุค(ว่ากันว่าละอองฟองได้รับอิทธิพลมาจากวงสวีดิชป็อบชื่อ The Cardigans)
และผลจากการฉีกกระแสของละอองฟองก็คือ แป้ก!!! ทั้งชื่อเสียงและยอดขาย แต่วงดนตรีวงนี้ได้กระจายละอองเพลงไปประทับจับใจแฟนเพลงจำนวนหนึ่ง เกิดเป็นกลุ่มแฟนเพลงที่เหนียวแน่นขึ้นมา
ละอองฟอง ในยุคแรกเริ่มมีสมาชิก 5 คนได้แก่ “ชมพู่-วิสาห์ อัทธเสรี” : ร้องนำ,”โหน่ง-วิชญ วัฒนศัพท์” : คีย์บอร์ด, ”ฟลุ๊ค-ดนพ ศรีขาว” : กลอง,“แมน-ตนุภพ โนทยานนท์” : กีตาร์ และ “เอ๊ะ-พงศ์จักร พิษฐานพร” : เบส
หลัง Volume 1 ไม่ประสบความสำเร็จ สมาชิกส่วนหนึ่งได้แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน เหลือสมาชิกอยู่เพียง 2 หน่วยคือ แมนกับเอ๊ะ ที่ยังไม่หมดไฟและยังไม่หมดสมรรถภาพทางเพลง เพียงแต่ว่าพวกเขาในนามละอองฟองเงียบหายไปนานหน่อยร่วม 8 ปี จนแฟนเพลงของวงนี้หลายคนคิดว่า คงมีวาสนาได้ฟังเพลงของละอองฟองแค่ Volume 1 ชุดเดียวเท่านั้น
จากนั้นในปี 2547 ละอองฟองโดยแมนกับเอ๊ะ กลับมาอีกครั้งกับอีพีใหม่ “Volume 2” พร้อมด้วยการเปิดตัวนักร้องนำคนใหม่คือ “ออน - กรกมล ชัยวัฒนเมธิน”
ครับ งานนี้คนที่ติดในเสียงหวานใสฟังจริงใจของชมพู่ก็อาจขัดใจนิดหน่อย แต่น้องออนก็สามารถพาเสียงหวานใสบวกสไตล์การร้องเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ และหน้าตาใสแบ๊วน่ารัก(มาก) กับดนตรีป็อบใสๆที่ปรับเปลี่ยนแนวทางจากเดิมไปบ้างตามความเหมาะสมและตามยุคสมัย ฝ่าด่านความล้มเหลวในชุดแรกขึ้นมาสร้างชื่อเสียงให้กับละอองฟองได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ทางวงจะออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 คือ “Cozy Collection” ออกมาในปี 2548 ที่มีเพลง“ต่างใจเดียว”เป็นเพลงเด่นนำมา
ปี 2550 ละอองฟองที่ไปด้วยกันได้ดีกับเสียงร้องของน้องออน มี EP “เหงาจนชิน”ออกมา ก่อนตามต่อด้วยการนำเพลง“ฝันลำเอียง”เพลงเก่าของพี่แจ้(ดนุพล แก้วกาญจน์) มาร่วมเป็นหนึ่งในอัลบั้มโปรเจคพิเศษรวมเพลงเก่า ในปี 2553 ซึ่งเสียงใสๆกับหน้าใสๆของนักร้องคนนี้ มันชวนให้สงสัยยิ่งนักว่า ใครหนอสามารถทำให้เธอคนนี้นอนหลับฝันลำเอียง ทิ้งเธอให้หลงในภวังก์อยู่ร่ำไปได้
จากนั้นมาเมื่อเร็วๆนี้ ละอองฟองกลับมาอีกครั้งกับผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 คือ “Wind-Up City” ที่แม้จะห่างหายจากอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ไปร่วม 7 ปี แต่พวกเขาก็ไม่ได้เรื้อเวทีไปไหน เพราะที่ผ่านมามีผลงานเพลงออกมาคั่นๆเป็นระยะตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
Wind-Up City ออกมาภายใต้ในสังกัดเดิม(ตั้งแต่ชุดที่ 2) คือ “สไปร์ซซี่ ดิสก์” งานชุดนี้ทางต้นสังกัดให้ข้อมูลว่า วงละอองฟองเริ่มต้นทำเพลงจากภาคทำนองก่อน ก่อนจะนำในส่วนของเนื้อหามาใส่แล้วเข้าสู่กระบวนการปรุงแต่งเพลง
แน่นอนว่าคีย์แมนหลักในการทำเพลงทั้งเนื้อร้อง-ทำนอง ย่อมหนีไม่พ้น 2 คู่หู ละอองฟองยุคแรกอย่างเอ๊ะกับแมน ส่วนน้องออน ชุดนี้เธอมีเพลงที่เขียนเนื้อเองเต็มๆ 1 เพลง และร่วมแต่งอีก 1 เพลง นอกจากนี้ยังมีเพื่อนคนดนตรีอย่าง แสตมป์-อภิวัชร์ และ บอย-ตรัย มาช่วยแต่งเนื้อเพลงให้อีก ส่วน แทน-ลิปตา นี่มาแต่งให้แบบจัดเต็มมาทั้งเนื้อร้อง-ทำนองให้ 1 เพลง ร่วมด้วย ก้อ-ณัฐพล ศรีจอมขวัญ มือเบสคนเก่งจากกรูฟไรเดอร์มาร่วมเขียนเพลงและเป็น โค-โปรดิวเซอร์ โดยมีโปรดิวเซอร์เป็นวงละอองฟองนั่นเอง
Wind-Up City ไขลานเปิดตัวกันด้วย “So In Love” (เนื้อร้อง : แสตมป์) เพลงไทยในชื่อฝรั่ง ชวนแด๊นซ์ขยับแข้งขากับจังหวะสนุกๆในอารมณ์ดิสโก้ติดกลิ่นย้อนยุค เบสเล่นคู่ 8 ในแบบดิสโก้ พร้อมมีเกี่ยว-ตบ เสริมสีสัน ร่วมด้วยไลน์เครื่องสายเล่นอุ้มเป็นแถวสอง หนุน-ส่ง คลอไปตลอดเพลง น้องออนร้องเพลงนี้ด้วยลูกออดอ้อน งุ๊งงิ๊ง ฟังดูใส่จริตมากไปหน่อย ซึ่งถ้าเพลงต่อๆไป เธอยังร้องงุ๊งงิ๊งแบบนี้ไปทั้งอัลบั้ม ผมคงต้องคิดหนักว่าจะฟังแมวร้องหาปลาทูหรือฟังหลาน 3 ขวบที่บ้านร้องอ้อนแม่แทนดี
แต่โชคดีที่เพลงที่ 2 “แอบชอบ”(เนื้อร้อง : ก้อ) น้องออนปรับทางเสียงมาร้องเพลงคู่กับพี่เอ๊ะมือเบสได้อย่างน่าฟัง ด้วยน้ำเสียงธรรมชาติใสๆตามสไตล์ถนัดของเธอ
เพลงนี้ขึ้นนำด้วยอะคูสติกกีตาร์บางๆ ตามจางๆมาสบทบด้วยเสียงเครื่องสาย ก่อนส่งต่อเข้าตัวเพลงจังหวะปานกลางกับเนื้อหาน่ารัก ในอารมณ์ต่างคนต่างแอบชอบกันอยู่และอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนตนหรือเปล่า ท่อนกลางเพลงแต้มสีสันด้วยเสียงเครื่องเป่า ทรอมโบนโซโลเล่นโน้ตกระชับๆ แซมด้วยเสียงทรัมเป็ตเข้ามาตบท้าย ฟังแล้วผมชักแอบชอบน้องออนเข้าแล้วสิ เอ๊ย!?! ไม่ใช่ ชักแอบชอบผลงานชุดนี้เข้าแล้วสิ
ถัดมาเป็น “กอดเธอได้ไหม” ว่าด้วยสาวขี้เหงา ในคืนหนาวเหน็บอยากจะขอกอดคนรักให้อบอุ่นหัวใจ โอ้ว...นี่น่ารักขนาดน้องออนยังต้องไปขอกอดคนอื่น แล้วถ้าเป็นตัวเราล่ะ เฮ้อ...ไม่อยากจะคิด
กอดเธอได้ไหม เป็นเพลงเร็วมาอารมณ์โซลย้อนยุคสนุกๆ เสียงกีตาร์เด่นไม่เบาทั้งโซโลและริทึ่ม ส่วนไลน์เครื่องสายนั้นก็แน่นอีกแล้ว
จากนั้นเป็นเพลงอะไร? เอ้า!!!แล้วมันเพลงอะไรล่ะ ก็เพลงนี้นี่แหละชื่อเพลง“อะไร”(เนื้อร้อง : บอยตรัย) ดนตรีเพลงนี้ทำออกมาได้ลงตัวและเท่น่ารักไม่หยอก เสียงเครื่องสายมากพี่น้องเอ๊ย โดยเฉพาะไอ้ลูกเสียงแหลมๆฟิ๊วๆนั้น สร้างจุดเด่นจุดโดนให้เพลงได้ดีทีเดียว
เสียงร้องของน้องออนในเพลงนี้ เธอหยอดลูกอ้อนลงไปใช่ย่อย ฟังออกลูกแบ๊วนิดๆ แต่ยังดีที่ไม่ใส่ลูกงุ๊งงิ๊งลงไปแบบเกินพิกัด ทำให้เพลงนี้ออกมาน่ารักน่าฟัง และน่าดู MV ไม่น้อยเลย
“เหงาจนชิน” เพลงเก่าจากอีพีปี 50 มาทำใหม่เป็นป็อบแจ๊ซสวยๆจังหวะปานกลาง ซึ่งผมชอบน้องออนร้องเพลงจังหวะช้าๆกับปานกลางในอารมณ์แบบนี้มากกว่า มันฟังเป็นธรรมชาติดี ไม่ต้องใส่จริต ใส่ลูกอ้อนลงไปมากมายเหมือนในเพลงเร็ว ที่แม้จะฟังน่ารักและแสดงให้เห็นถึงทักษะการร้องเพลงของเธอว่า สามารถร้องได้หลายสไตล์หลายอารมณ์ แต่เมื่อฟังกันดีๆมันให้ความรู้สึกฝืนๆอยู่พอตัว เป็นการฝืนทั้งธรรมชาติและฝืนวัยอยู่ในที
ใครไม่เชื่อลองฟังเพลง“เหงาจนชิน” เปรียบเทียบกับเพลง “So In Love” ฟังดูเหมือนไม่ใช่คนร้องคนเดียวกันเลย
ตามต่ออารมณ์กันด้วย“เมื่อไหร่จะเช้า”(เนื้อร้อง-ทำนอง : แทน-ลิปตา) เพลงเศร้าซึ้งในอารมณ์โซลช้าๆ โซโลกีตาร์หยอดลูกบลูส์หวานๆมา ก่อนจัดเต็มใส่มาทั้งไลน์เครื่องสาย เครื่องเป่า น้องออนร้องเพลงนี้ได้เนียนเพราะ ได้อารมณ์ไม่ต่างจากเหงาจนชิน
ส่วน“แค่ฝันก็พอ” กับ “รักเปิดเผย” เป็น 2 เพลงต่อเนื่องที่มาในอารมณ์สนุกๆ โดยเพลงหลังนั้น พี่เอ๊ะมือเบสทั้งแต่งเนื้อร้อง-ทำนอง และขับร้องเอง
จากนั้นสลับอารมณ์ไปเศร้าเหงากับ “รอ” บัลลาดๆช้า เปิดพื้นที่ให้น้องออนโชว์เสียงร้องคู่ไปกับกีตาร์และไลน์เครื่องสายบางๆ แล้วต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงช้าอย่าง “ใครหนอ” เพลงนี้ถึงคิวของพี่แมนมือกีตาร์โชว์บ้างในอารมณ์สแตนดาร์ดแจ๊ซช้าๆ ที่พี่แกจัดเต็มมาทั้งเขียนเนื้อร้อง-ทำนอง-เรียบเรียงและร้องนำ พร้อมกับเสียงร้องที่แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ แต่ก็เอาตัวรอดไปได้
สองเพลงนี้มาแบบช้าๆจังหวะหน่วงๆ ซึ่งถ้าเพลงที่สามตามมาในอารมณ์เนือยแบบๆนี้อีก คงน่าเบื่อง่วงหาวแน่นอน
แต่เพลง“เธอทั้งนั้น” เพลงเก่าของกรูฟไรเดอร์ ดีดจังหวะให้สนุกกระชับขึ้นมา แม้ทางเพลงจะไม่ต่างจากต้นฉบับ แต่ที่น่าฟังของเพลงนี้คือฟิลลิ่งของเพลง เพราะการร้องสลับชาย-หญิง ระหว่างน้องออนกับพี่เอ๊ะนั้น มันให้อารมณ์แตกต่างจากกรูฟไรเดอร์ไปอีกแบบ
สุดท้ายเป็น “ขอบคุณนะ” เพลงปิดท้าย ฝีมือการเขียนเนื้อร้องของน้องออนเอง มาในสไตล์อะคูสติกบอสซ่า เนื้อเพลงเธอแต่งขึ้นเพื่อขอบคุณคุณแม่ของเธอ เป็นเพลงรักแม่ที่ฟังไม่เศร้าแต่ฟังอบอุ่นน่ารักดี และผมก็ขอขอบคุณนะเธอที่ไม่ได้ร้องเพลงนี้ให้มันออกมางุ๊งงิ๊งจนเกินงามตามสไตล์บอสซ่าไทยๆสมัยนิยมที่เน้นเสียงตะแง๊วงุ๊งงิ๊งมากเป็นพิเศษ
และนี่ก็คือ 12 บทเพลงจาก Wind-Up City อัลบั้มที่ละอองฟองยังเลือกเดินในแนวทางถนัดกับสไตล์เพลงป็อบใสๆ ฟังสบาย ทำนองติดหูง่าย เจือความเป็น ดิสโก้ โซล แจ๊ซ ลงไปในอารมณ์เพลงร่วมสมัยที่ให้กลิ่นอายย้อนยุค(60‘s-70’s)ได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ยังมีการใส่ไลน์เครื่องสาย เสียงเครื่องเป่า ลงไปโอบอุ้มแต่งแต้มให้ตัวเพลงมีสีสันน่าฟังมากขึ้น โดยเฉพาะกับไลน์เครื่องสายนั้นพวกเขาจัดเน้นใส่กันมาเยอะเป็นพิเศษ ส่วนที่มีฟังขัดเขินบ้างก็เห็นจะเป็นเรื่องเนื้อร้องที่ฟังไม่เนียนไม่รื่นไหลในบางเพลง
ขณะเดียวกันในส่วนของน้องออนนักร้องนำที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของวงนี้ แน่นอนว่าหากมองกันอย่างฉาบฉวย รูปร่างหน้าตา ความน่ารัก ใสแบ๊ว ระดับอดีตลีดจุฬาฯ นี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดให้ใครหลายๆคนหันมาหลงในรูปลักษณ์ภายนอกของนักร้องคนนี้ แต่ถ้ามองกันในเรื่องของการร้องเพลง การถ่ายทอดอารมณ์เพลงแล้ว น้องออนถือว่าเป็นคนที่ร้องเพลงได้มีเสน่ห์และมีสไตล์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ชวนฟังคนหนึ่งของเมืองไทย
อย่างไรก็ดีงานเพลงชุดนี้ ในปกอัลบั้มแม้ยังคงขายความน่ารักของน้องออน(คู่ไปกับความมีสไตล์ของสมาชิกชายทั้งสอง) แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ขายความใสแบ๊วเหมือนแต่ก่อน หากแต่ขายเสน่ห์จากความสาวขึ้น ความเปรี้ยวขึ้นของเธอ(เป็นไปตามวัยที่เติบใหญ่ขึ้น)
ดูๆแล้วมันออกจะสวนทางกับทางน้ำเสียงของเธอในชุดนี้ ที่พยายามดีไซน์ปรับให้เข้ากับสไตล์เสียงร้องเพลงในแบบพิมพ์นิยมแห่งยุคสมัยมากยิ่งขึ้น นั่นคือการพยายามใส่จริต ออดอ้อน “ตะแง๊ว” “งุ๊งงิ๊ง” ในอารมณ์เด็กสาวแรกรุ่นผสมลงไปในน้ำเสียงน่ารัก ใสๆ เป็นธรรมชาติของเธอ ซึ่งแม้จะมีบ้างในบางเพลง ฟังดูเหมือนเธอหยอดจริตมากไปนิด(โดยเฉพาะในเพลงแรก) แต่โดยรวมแล้วถือว่ายังไม่เกินงาม เพราะเธอไม่ได้เน้นร้องงุ๊งงิ๊งออดอ้อนแบบเป็นบ้าเป็นหลังจนถึงขั้นฟังปร่าแปร่ง ระคายหูสะดุดอารมณ์
ที่สำคัญคือน้องออนเก่งสามารถบังคับควบคุมน้ำเสียงได้เป็นอย่างดี ไม่มีเพี้ยน ไม่มีหลง อีกทั้งเธอยังเก่งเรื่องการสร้างอารมณ์ความแตกต่างในแต่ละเพลงได้เป็นอย่างดี(แต่ความสามารถทั้ง 2 อย่างนี้คงต้องวัดกันอีกทีตอนฟังเธอร้องสดๆ)
นั่นจึงทำให้โดยรวมแล้วนี่เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่น่าฟัง มีเสน่ห์ และโดดเด่นไม่น้อยของวงการเพลงไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นบทพิสูจน์ว่าละอองฟองไม่ได้มีดีที่นักร้องนำน่ารักเท่านั้น หากแต่พวกเขายังเป็นวงที่มีไอเดีย มีฝีมือในการทำเพลงอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา
แม้ว่าในอัลบั้มชุดนี้ อาจจะบ้างในบางเพลงที่ฟังแล้วเหมือนน้องออนใส่จริตหยอดลูกงุ๊งงิ๊งลงไป จนฟังดูเหมือนเธออ่อนเยากว่าวัย(จริง)ไปบ้างก็ตาม(ฮา)
***********************************************************
คลิกฟังเพลง "อะไร"