xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตัวตน “ทราย เจริญปุระ”(1) : แดงไม่แดง?! แล้วทำไมต้องแก้ ม.112

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากผลงานบทความชื่อ “แดงทำไม ทำไมแดง” หรือ “91 ศพชีวิตคงน้อยไป”ฝีมือการกลั่นกรองจากสมองและสองมือของ “ทราย เจริญปุระ” ที่เขียนลงคอลัมน์ “รักคนอ่าน” ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ในฐานะคอลัมน์นิสต์ประจำ ที่ทำงานให้กับสำนักนี้มานานกว่า 9 ปี กอปรกับก่อนหน้านี้ เจ้าตัวมีชื่อเข้าร่วมในกลุ่มผู้ลงนามกดดันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ให้เปิดประตูสถาบันให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปใช้สถานที่ในการทำกิจธุระส่วนตัวต่างๆ เมื่อครั้งที่กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมประท้วงที่บริเวณสนามหลวง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปีที่แล้ว อีกทั้งปัจจุบันทรายยังทำงานเป็นพิธีกรให้กับช่องเคเบิ้ล Voice TV สื่อในมือตระกูลชินวัตร

ล่าสุด ทรายยังมีชื่อเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ร่วมเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” โดยนักเขียนกลุ่มดังกล่าวมีความเห็นว่า กฎหมายมาตรา 112 เป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะการสร้างสรรค์งานเขียนจึงสมควรมีการปรับปรุงแก้ไข

หลายๆ ข่าวคราวและพฤติกรรมทั้งหมดของ “ทราย” ที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ที่คนภายนอกจะมองว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีแนวคิด และอุดมการณ์สอดคล้องกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งวันนี้เธอยินดีเปิดใจกับ “ทีมบันเทิงASTVผู้จัดการออนไลน์” แบบชัดเจนและตรงไปตรงมา …ทุกบรรทัดด้านล่างนี้ คือคำตอบทั้งหมด ทุกประเด็น! 

“คอนเซ็ปต์ของคอลัมน์ทรายในมติชน มันเป็นการอ้างอิงถึงหนังสือเล่มต่างๆ งานเขียนคอลัมน์ทรายเป็นการเขียนแนะนำหนังสืออีกที มันเป็นการอ้างถึง ที่อาจจะเป็นผลกระทบที่มีต่อเรา เหมือนเราอ่านแล้วเรารู้สึกยังไง เราก็จะเขียนถึง ทรายก็เขียนตามความรู้สึกนึกคิดของทรายทั้งหมด ก็คือกลางๆ ในฐานะที่เราทุกคนมีความเท่าเทียมกัน สมมติว่าเราตีไว้ว่า สังคมนี้มันมีทั้งหมด 2 สี ทั้ง 2 สีต่างออกมาชุมนุม เราก็จะรู้สึกว่าทำไมอีกฝ่ายออกมาชุมนุมแล้วดี อีกฝ่ายออกมาชุมนุมแล้วไม่ดีล่ะ ถ้าไม่ดีมันก็ต้องไม่ดีทั้งคู่ ถ้าดีมันก็ต้องดีทั้งคู่สิ”

“บางทีมันก็มีกรอบความคิดบ้างอย่างที่พอเป็นพวกนี้แล้วจะอี๊ จะไปอี๊เขากันทำไม ปัญหาเขากับปัญหาเรามันคนละเรื่องกัน ปัญหาเขามันก็ไม่ได้เล็กกว่าปัญหาของเรา คือเราไม่ควรจะไปดูถูกปัญหาของคนอื่น พอเราเห็นเราก็จะรู้สึกว่าอยากให้มองกันอย่างแฟร์ๆ มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้จริงๆ ถึงเขียนออกมา แต่มันก็โดนไปมองว่าเราเลือกข้างรึเปล่า”

“แรงบันดาลใจในการเขียนมาจากสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเรื่องของบุคคล เรื่องของสถานการณ์ ยิ่งเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันต่างๆ มันมีอิทธิพลต่องานเขียนเราอยู่แล้ว ทรายว่างานเขียนมันขึ้นอยู่กับบรรยากาศที่มันมีอิทธิพลต่อนักเขียนคนนั้นๆ มากกว่า”

“การเขียนให้ที่นี่ไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องหนัก หรือต้องเลือกฝั่ง ทรายจะเขียนอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นแพรวสุดสัปดาห์ทรายก็จะรู้สึกว่าเราอย่าไปเขียนอะไรที่มันซีเรียสมาก ไม่มีใครมาสั่งให้เขียนยังไง มีแต่ทรายสั่งตัวเองว่าอาทิตย์นี้เขียนเรื่องนี้นะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะถามก่อนว่าอยากจะให้เขียนอะไร ประมาณไหน หนังสืออะไร คอลัมน์อะไร ก็ดูรวมๆ ค่ะ ทรายก็คงจะไม่ไปอยู่ๆ แรง อาละวาดฟาดงวงฟาดงาไม่ดูเหตุผลมันก็ไม่ได้”

“นักเขียนก็ต้องมีจรรยาบรรณค่ะ ในงานแบบทรายเลย ทรายจะไม่ไปเขียนอย่าง แก...แกมันเลวมาก แบบนี้โดยไม่อธิบายกันว่าเขาเลวยังไง แล้วทำไม ทรายจะไม่เขียน ทรายจะนับถือถ้าคุณคิดอย่างนี้เราไม่ว่า agree to disagree แม้ว่าทรายจะไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ว่ามันจะเป็นไปในทางเดียวกันหมด แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น เราไม่ควรจะไปว่าเขา แกคิดแบบนี้แกผิด มันไม่ใช่ นอกเสียจากว่าสิ่งที่เขาทำมันลุกล้ำ พอเธอคนนี้คิดไม่เหมือนเรา เราจะไปเผาบ้านเธออันนี้มันก็ผิด แล้วถ้าคุณไม่สามารถอธิบายในสิ่งที่คุณทำได้ แสดงว่ามันก็ไม่ดี มันจะกลายเป็นการขายของกันอย่างเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ควร มันอาจจะไม่ได้มีอิทธิพลกับใครก็ได้ แต่ถ้ามันมีขึ้นมาล่ะ”

“งานเขียนของทรายจะพาดพิงถึงบุคคลอื่นน้อยมาก เพราะนอกจากงานที่ทรายจะเขียนหนังสือแล้ว ทรายมีอาชีพเป็นนักแสดง เรารู้ว่าอยู่ๆ การที่เราถูกพาดพิงมันนรกมาก เหมือนอยู่ๆ มีคนมาถ่ายรูปเราแชะนึง แล้วเอาไปเขียนว่าทรายพบรักใหม่เป็นผู้หญิง โดยที่ไม่มีใครมาถาม กว่าจะมีคนมาถามเรื่องมันก็ไปถึงไหนๆ แล้วก็ไม่รู้ อย่างข่าวล่าสุดเรื่องมีรายชื่อทรายไปทำแท้ง พบศพเด็กที่วัดไผ่เงิน ซึ่งพอกว่าจะมาถามทรายเรื่องมันก็ได้ออกไปแล้ว ในฐานะนักแสดงทรายเข้าใจว่าการโดนพาดพิง การโดนตัดสินโดยที่ไม่มีโอกาสอะไรเลยมันแย่มาก พอมาเขียนเองทรายเลยไม่อยากพาดพิงใครหรือเขียนชี้หน้าใคร”

พอถามถึงเหตุผลที่เขียนบทความเรื่อง “แดงทำไม ทำไมแดง” ว่าต้องการจะสื่ออะไร? เจ้าตัวก็อธิบายออกมาอย่างอัดอั้นว่า…
“สำหรับเรื่องนี้ทรายเสียใจ ทรายรู้สึกแย่ หนึ่งคือทรายเขียนถึงหนังสือเล่มนึง ซึ่งคนที่มาด่าทรายเขาก็ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้น ซึ่งถามว่ามันแฟร์ไหม ทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ ทรายจะมานั่งคิดว่าเอายังไงดีวะ เดี๋ยวไปเอาหนังสือของอีกฝั่งนึงมาเขียนบ้างดีกว่า อย่างนี้หรอ คือทรายต้องแก้ตัวขนาดนั้นเลยหรอวะ ทรายเชื่อว่าในสิ่งที่ทรายเขียน ทรายไม่ได้ทำให้ใครต้องเจ็บปวดปางตาย”

“อย่างที่ทรายบอกไปแล้ว ว่าถ้าในสิ่งที่อีกฝั่งนึงทำได้ อีกฝั่งเขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน เรื่องผิดกฏหมายมันเป็นอีกประเด็นนึง ดังนั้นถ้าเป็นคนที่คุณถูกใจแล้วเขาทำผิด คุณก็จะไม่โกรธอย่างนั้นหรอ ทรายว่ามันก็ไม่ได้นะ มันก็ดูจะใจร้ายกันเกินไปหน่อย แต่พอมันเป็นการเลือกข้าง อีกฝั่งนึงมันก็ต้องดูแย่กว่าอยู่แล้ว เพียงแต่ในมุมที่ทรายเขียน ทรายรู้สึกว่าเขาเองก็มีปัญหาของเขา เขาก็มีชีวิตของเขา ถ้ามันมีหนังสือเรื่องเขื่อนปากมูล ทรายก็จะเขียนหนังสือเรื่องเขื่อนปากมูล ถ้ามันมีหนังสือเรื่องม็อบชาวนา ทรายก็จะเขียนถึงหนังสือเรื่องม็อบชาวนา”

“นั่นคือสิ่งที่ทรายอยากจะบอก หลายๆ คนที่ทรายรู้จักไม่ว่าจะเป็นครู เป็นหมอที่เขามีแนวคิดทางการเมืองที่โอเคทุกคนเรียกเขาว่าเป็นแดง แต่ไม่มีใครสนใจในข้อย่อยของเขาว่าทำไม แล้วทุกคนก็จะมาคิดว่าแดง อี๊ โง่ อี๊ ต้องชอบทักษิณแน่ๆ เลย ซึ่งมันก็มีตั้งหลายคนที่เปล่าไม่ได้ชอบ แล้วก็ไม่ได้จะต้องออกไปชุมนุม มันก็ไม่ใช่ ทรายก็เชื่อว่าคนที่ไปชุมนุมเขาก็ไม่ได้ซื้อกันมาทุกคน เพียงแต่ว่าเขาเองก็คงมีเหตุผลของเขา ซึ่งทรายเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปถามได้ว่าพี่คะ ทำไมพี่ถึงมา จะให้ทรายไปถามทุกคนมันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่หนังสือเล่มนั้นเขาเขียนว่าเขาไปสัมภาษณ์มา เขามีทำโพล์ เขามีทำสถิติ เขามีการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบมา ทรายก็เลยเขียนถึง มันในแง่นั้นก็เท่านั้นเอง จบ”

“เรารู้สึกไม่แฟร์นะ ที่มองคนเสื้อแดงว่าที่มาชุมนุมเพราะโดนซื้อมา ทุกคนมาเพราะเงิน ทราบว่ามันต้องมีคนที่มาเองบ้างไหม หรือว่าอย่างพวกนี้ชุมนุมรถติดวะ เฮ้ย...ชุมนุมทุกครั้งรถมันติดไม่ว่าจะใครก็ตาม แต่ทรายไม่เคยว่าเรารู้สึกว่าเขาเองก็คงสุดๆ จริงๆ ไม่งั้นใครจะบ้าออกจากบ้านมานอนกลางถนน มันไม่สนุก อย่างพันธมิตรมาชุมนุมรถก็ติด ทรายก็ไม่ได้ว่าอะไร เรารู้สึกว่าเงินมันคงไม่ใช่ทุกอย่างมั้ง”

ซึ่งข่าวคราวที่เกิดขึ้น รวมถึงคอลัมน์นี้อาจทำให้เสื้อแดงคิดว่าทรายอยู่ข้างเขา?
“เฮ้อ...(ถอนหายใจ) แต่มันก็จะมีการอ้างอิงอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้วไง สมมติอย่างพ่อทรายเคยเป็นทหาร ฝั่งทหารก็จะออกมาบอกว่าทรายเป็นพวกของเรา เอ้า เป็นอย่างนี้เราจะไม่พูดอะไรเลยในชีวิต เพราะเราพูดอะไรไม่ได้เลย แต่มันเป็นไปไม่ได้ไงที่คนเราจะพูดอะไรไม่ได้เลย มันไม่ได้ มนุษย์ต้องพูดนะ บางทีเราอาจจะพาดพิงอะไรของเราไปเรื่อยเปื่อยเวลาเราพูดกัน จริงๆ แล้วทรายเลือกที่จะมีข้อที่ทรายชอบ และที่ทรายไม่ชอบจากของทั้ง 2 ฝั่ง แล้วมันก็มีข้อที่เขาทำเหมือนกัน แล้วทรายเชื่อว่าถ้าทำเหมือนกันได้ ถ้าจะผิดก็ต้องผิดเหมือนกัน ถ้าจะถูกก็ต้องถูกเหมือนกัน อันไหนที่ไม่เหมือนกันก็ต้องมาแยกเป็นข้อๆ ไป”

“ทรายสามารถมีระบบความคิดเป็นข้อๆ ได้ โอเคบางคนอาจจะต้องเลือกข้างเทไปเต็มตัว แต่ทรายสามารถเอ๊ะ อันนี้ทรายไม่ชอบ ไม่เอา ถ้าเปรียบกับการรับน้องใหม่ ทรายก็จะเป็นมนุษย์ที่แบบ วันนี้เหนื่อยไม่ลงแล้วกันนะเดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ ทรายจะไม่อินกับข้างใดข้างนึงเพราะอันนี้ทรายไม่ชอบ ทำไมต้องทำ แต่อันนี้ชอบเดี๋ยวจะทำเต็มที่ ทรายก็เป็นคนอย่างนี้ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าจะมีคนอ้างอิงถ้ามันเป็นข้อมูลที่ถูกโอเค ทรายก็จะยอมรับว่าอันนี้ทรายพูด แต่พอสนับสนุนอย่างนี้แสดงว่าแกอยู่ข้างฉัน ไม่เลย...เปล่า ก็เปล่า แต่ถ้าข้อนี้ใช่ฉันเห็นด้วย แต่แกต้องอยู่ข้างฉันทั้งหมด อย่างนี้ไม่ ทรายว่าทรายก็ชัดเจนนะ จริงๆ แล้วอยากทำตัวให้เป็นสายลม แสงแดดมากกว่านี้ เอาให้มันเข้าข้อกันไปเลย จะได้ไม่ต้องมาถามอะไรกันอีก”

“อย่างที่มาว่าทราย มาว่าถึงพ่อถึงแม่ทราย ถ้าทรายว่าเขาบ้างล่ะ ถามก็ไม่มาถามทราย แต่มาว่าทรายแล้ว แล้วจะมาอ้างว่าก็คุณเป็นคนของประชาชน แล้วไงก็โกรธเป็นนะโว้ย อะไรก็ไม่ได้ทำอ่ะ แล้วทรายว่าอีก 10-20 ปีตอนนั้นทรายไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเป็นยังไง แต่ถ้าทุกคนลองมองกลับมาวันนี้ ต้องมีคำขำว่านาทีนั้นกูเป็นอะไรวะ ทำไมมันอิ๊นอิน ทรายว่ามันต้องมีคนที่รู้สึกแบบนี้ เพียงแต่นาทีนี้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คุณก็เลยไปตัดสินคนอื่นว่ามันเป็นอย่างนี้แค่นั้นเอง”



“เดี๋ยวบอกเลยนะ ว่าตอนนี้ทรายเขียนหนังสือให้มติชน ทำพิธีกรให้วอยซ์ทีวีด้วย แล้วไงอ่ะ หมายความว่าทรายเป็นคนเลวหรอ คือการเลี้ยงครอบครัวนี่เรา..งั้นเอเอสทีวีก็จ้างสิคะ ใครอยากให้ไปทำก็จ้างทรายทำสิ ถ้าเอเอสทีวีมาจ้างทรายก็ยินดีทำ แล้วที่ทรายไปเป็นพิธีกรก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ จบ ทรายเชื่อว่าพอมีคนรู้อย่างนี้แล้วก็จะคิดว่าหล่อนรับเงินสกปรกนอกประเทศ เอาละ จะพูดยังไงมันก็ไม่ดี แม่ผมไม่ได้กินใบไม้ได้นะเฮ้ย มันก็ต้องใช้เงินซื้อข้าวเหมือนคนอื่นเขา แล้วยังไง ทรายผิดตรงไหน ทำไมทรายจะต้องมาประกาศตัวไม่ค่ะ ทรายจะไม่ร่วมงานกับฝั่งใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนก็จะปรบมือ แล้วก็ปล่อยให้ทรายอยู่อย่างไม่มีเงินกินข้าวอย่างนี้เหรอ”

“ตัวทรายเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเลือก งานที่ทราบทำมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร ไม่มีแง่มุมใดๆ ทั้งนั้นเกี่ยวกับการเมืองขนาดกกต.ให้พูดเชียร์คนไปเลือกตั้งทรายยังงงอยู่เลย ก็บอกว่าหนูจะไม่พูดอะไรเลยในนาทีนี้ พอแล้วเพราะประเทศนี้มันมีการตีความในระดับที่สุดยอดมาก ทรายเหนื่อยเกินไปแล้วกับการที่พูดอะไรไปแล้วมันจะมีความหมายที่สองที่สามที่สี่ ทำไมไม่มีคนพูดแล้วหมายความตามที่พูด แค่นั้นเอง ทำไมมันยากเหลือเกิน”

เผย งานเขียนที่ส่งผลกระทบกับชีวิตมากที่สุดคือเรื่อง “การเมือง”
“ผลกระทบมันก็มีแค่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็ว่ากันไป ผลกระทบมันมีอยู่ 2 อย่าง เฉยๆ อันนี้เราไม่นับ มันมีชอบกับไม่ชอบ ชอบก็กระทบ ไม่ชอบก็กระทบเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกไปว่าเราเขียนอะไร เราต้องอธิบายได้ว่าเราเขียนต้องการสื่ออะไร สิ่งที่เราจะเล่าบางทีมันอาจจะหนามาก แต่ด้วยงานที่เราจะต้องย่อหั่นอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดเราจะเลือกวิธีไหนมาเล่า แต่ไม่ว่าจะเล่าด้วยวิธีไหน ทรายก็สามารถบอกได้ว่าจุดเริ่มต้นไอเดียที่เราคิดจะเขียนเรื่องนี้ๆได้ทั้งนั้น”

“อย่างถ้าเป็นเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง การเขียนถึงสีนึง ย่อมต้องทำให้อีกสีนึงไม่พอใจ อย่างแดงทำไม ทำไมแดง มันก็จะมีการนั่งตีความกันไปทีละบรรทัด อย่างงานเขียนทรายต้องบอกว่ามันเป็นงานรายสัปดาห์ ฉะนั้นเนื้อหาต่างๆ มันจะมาจากความพีกในช่วงนั้นๆ สิ่งรอบตัว บรรยากาศ ณ อาทิตย์นั้นๆ เป็นยังไง พอผ่านมา4-5 อาทิตย์มันก็อาจจะจางๆ หรือว่ามันอาจจะมีการฉุกคิดขึ้นมาได้”

“อย่างงานเขียนทรายทุกชิ้น ทรายอ้างอิงจากหนังสือ หนังสือที่ทรายเขียน สร้างแค่เขียนบทความถึงหนังสือเล่มนึงที่ทรายไม่ได้เขียน มันก็เลยเป็นเรื่องของความรู้สึก ว่าพอเราอ่านแล้วเราจะรู้สึกยังไง ทรายจะเล่ายังไงออกมา ทรายจะเขียนว่าคุณผู้อ่านคะ หนังสือเล่มนี้มันเขียนถึงเรื่องแบบนี้ สนุกมากเลยอย่างนี้ก็ได้ หรือเราจะเล่าเรื่องที่เราไปเจอมา แล้วมันมีความเกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้ มันก็ได้เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับวิธีเล่าของทราย”

“แต่พอทรายเขียนถึงอีกฝั่งนึง เป็นธรรมดาที่อีกฝั่งนึงย่อมไม่ชอบใจ ทรายมีความรู้สึกว่ามันโหดร้ายไปหน่อย ตรงที่มันไม่ได้มีการถาม ว่าเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แล้วก็มาตัดสินกันไปใหญ่โตเอิกเกริก บางทีทรายก็เหนื่อยนะ การที่เราจะทำอะไรแล้วจะต้องมานั่งอธิบายทุกเรื่อง มันเป็นไปไม่ได้นะ ชีวิตของมนุษย์ พอคนเข้าใจผิดแล้วเราต้องเล่าให้เขาฟังสิ คือหนังสือที่มันอยู่บนแผง ทรายมีสิทธิ์ที่จะหยิบหนังสือเล่มไหนมาอ่านก็ได้ อย่างถ้ามีเหลืองทำไม ทรายก็ซื้อมาอ่านได้เหมือนกัน เพียงแต่ ณ ตรงนั้นที่เราทำ อย่างในเรื่องมันจะเป็นเรื่องของเหตุการณ์สั้นๆเอามาเรียงกัน แล้วมันก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง”

“จะสังเกตได้ว่าในเรื่องนั้นทรายเป็นคนสังเกตการณ์ ทรายไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น สำหรับย่อหน้าสุดท้ายที่เป็นย่อหน้าปัญหา อย่างที่บอกว่าโจทย์ของทรายมันคือการเขียนหนังสือถึงหนังสือเล่มนึง หนังสือเล่มนั้นพิมพ์ในปีนี้ เป็นการอ้างอิงถึงสถิติ สิ่งที่เกิดขึ้นภายในปีนี้ ทรายไม่รู้ว่าจะยกยังไงว่า แล้วที่ตอนโน้นที่มีนโยบายปราบยาเสพติด ปราบไปตั้ง 2 พันศพ ก็ทรายไม่ได้เขียนถึงเรื่องนั้นนี่คะ”

“ถามว่าหนูรู้ไหม หนูรู้ค่ะ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระดาษจะหมดแล้วค่ะ เลยกลายเป็นว่า อ้าว...ไม่แฟร์นี่หว่า ก็ไม่ได้เขียนแถลงการณ์ ว้า...ยากจังเลย ทรายไม่รู้จะพูดยังไง ทรายก็เลยรู้สึกว่าหลังๆ นี้ไม่เขียนแล้วกัน มันยากเกินไป ด้วยความอ่อนไหวของช่วงนี้ด้วย ที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง มันก็จะมีความอ่อนไหวในจิตใจค่อนข้างสูง มันก็เลยจะมาพาดพิงถึงงานด้านอื่นๆ ของทรายหรือแม้กระทั้งเรื่องครอบครัว”

ยอมรับว่างานเขียนชิ้นนี้ทำให้โดนด่าเยอะเหมือนกัน
“ก็มีค่ะ อย่าง เลวมาก เลว ต่อหน้านี่ไม่มีหรอกนะคะ ไม่มีอยู่แล้ว ทรายเชื่อว่าถ้ามาถามกันต่อหน้าทรายก็จะบอก คงไม่มีใครเจอหน้าแล้วมาต่อยปากทรายแล้วเดินจากไปได้ แล้วทรายต้องสมยอมมันก็คงไม่ใช่อยู่แล้ว แต่ถ้ามีการพูดถึงว้า เอ๊ะ..เธอ เธอพูดอย่างนี้เธอคิดจะไม่ชอบสถาบันใช่ไหม เฮ้อ (ถอนหายใจ) มัน(หัวเราะ) ถ้าจริงๆ แล้วถ้าจะเขียนในเชิงวิชาการ เหมือนการรายงานข่าวจะไม่มีใครว่าอะไร แต่พอเป็นการเล่าเหตุการณ์ ก็เลยกลายเป็นว่าทำไมไม่มาเล่าฝั่งฉันบ้าง ก็ทรายอ้างอิงจากหนังสือไง ก็เขียนถึงหนังสือเล่มนั้นไง ทำไมมันยากจริงเลยโว้ย อะไรอย่างนี้”

กับคำถามที่ว่า รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือไม่? สาวทรายก็ถึงกับโอดแทน “ใหม่ เจริญปุระ” พี่สาว ด้วยว่า…
“ทรายว่าทุกคนก็เป็นหมดแหละค่ะ ทุกคนต้องตกเป็นเครื่องมือของอะไรบางอย่าง คนที่มาด่าทรายเขาก็ตกเป็นเครื่องมือของชุดความเชื่อบางชนิด ทรายก็ตกเป็นเครื่องมือของความเชื่อในแบบที่ทรายเชื่อมา ซึ่งถามว่ามันผิดไหมมันก็ไม่ได้มีอะไรผิดหรือถูกหรอก คนเรามันต้องมีสิ่งยึดถืออะไรสักอย่างนึง ไม่อยากนั้นมันก็คงจะหวัง ล่องลอยไปวันๆ นึง”

“เอาจริงๆ เลยนะเราโดนตั้งแต่พี่เราแล้ว(ใหม่ เจริญปุระ) ซึ่งถามว่าแล้วคนเดียวกันไหม แล้วถ้าเขาจะทำอย่างนั้น้เขาผิดอะไรด้วยวะ เกี่ยวอะไรด้วย เขาจะทำมันก็เรื่องของเขา เขาก็ต้องมีเหตุผลของเขา แล้วทรายจะทำอะไรมันก็เรื่องของทราย ทรายก็ต้องมีเหตุผลของทราย จะให้ทรายทำยังไง ลุกขึ้นมาประกาศออกข่าวว่าฉันตัดญาติกัน ทำไมอ่ะ ทรายก็จะโดนอะไรพวกนี้อยู่เรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่เคยมีใครมาถามทรายเสียทีเหมือนกัน ก็ไม่เป็นไร มันโดนได้มันก็หายไปได้ อะไรที่มันเป็นความจริง มันก็เป็นความจริงอยู่ดีนั่นแหละ อะไรที่มันไม่จริงเดี๋ยวคนก็ลืมๆ กันไปเอง”

ซึ่งพอย้ำถาม “ทราย” ว่า ภาพทั้งหมดที่คนภายนอกมอง คิดว่าเป็นเพราะการที่เราทำงานให้มติชน ซึ่งชัดเจนว่าแดงรึเปล่า คนก็อาจจะเข้าใจผิดไปได้? ถึงตรงนี้สาวทรายถึงกับโวยทันทีว่า…
“คนก็จะมองว่ามันมีการแบ่งค่าย ใช่สิ คนพวกนี้สายมติชน แต่ถามหน่อยว่าเขาผิดตรงไหน ทรายอยู่มติชนเพราะว่ามติชนจ้างทราย ทรายก็รับจ้าง จริงๆ นะในนาทีนี้เอเอสทีวีให้มาเขียนงาน จ้างก็มาเขียนให้ได้นะ มาจ้างสิ คือทรายทำงานกับเขาแล้วทรายก็ไปขอเขาเขียนเรื่องนี้ โอเคเขาก็ให้ ทรายเขียนหนังสือมาให้เขา 9 ปีแล้วตั้งแต่มันยังไม่มีเรื่องอะไรในสังคมมาก่อน ทุกคนยังขำๆ กันจนมาถึงวันนี้ อ้าว...ไม่ขำกันแล้วหรอวะ ทำไมไม่ขำ ขำกันหน่อยสิ”

“อย่างพี่คุ่น (ปราบดา หยุ่น) พ่อเธอทำรายการ..มันก็จะมีอะไรที่ดราม่ามากๆ ซึ่งใช่พ่อเป็น แต่ถ้าสมมติเขาจะคิดต่าง เขาก็ไม่ผิดอะไรนะ ตอนนี้คนเลยมองว่าเนรคุณแผ่นดินแล้ว กระทั่งพ่อก็ยังอกตัญญูเลย เฮ้ย ก็เขาคิดไม่เหมือน ไม่เห็นต้องโกรธกันขนาดนั้นเลย อย่างพ่อทรายเป็นผู้กำกับ แล้วทรายไม่เป็นผู้กำกับ ทรายต้องอกตัญญูรึเปล่า มันก็ไม่ใช่ แต่พออธิบายอะไรแบบนี้ คนก็จะบอกว่ามันไม่เหมือนกัน อ้าว...(ถอนหายใจ) ยากจัง ทรายก็เลยโอเค แล้วแต่”

“หรืออย่างสิงห์ (ประชาธิป มุสิกพงศ์ ศิลปินวง Sqweez Animal) เขาก็จะโดนเยอะ แต่มันก็มีวันที่สิงห์ไปงาน togetter we can นะ สิงห์ก็ไปสัมภาษณ์ท่านนายกฯนะ ทุกคนคะ ทุกคนเข้าใจคำว่าข้อย่อยไหม เขาอาจจะเห็นด้วยกับข้อย่อย 1. 1 แต่ข้อย่อย 1.2 เขาอาจจะไม่เห็นด้วยไง อะไรก็ได้ไง ซึ่งมันก็ยาก การเหมารวมมันสู้รบปรบมือด้วยยาก แล้วก็อธิบายด้วยยากอีก บางทีเราก็ไม่สามารถจะเรียบเรียงความคิดของเราออกมาได้เคลียร์ๆ ชัดเจน ตรงไปตรงมา โดยไม่โกหกมนุษยชาติเลย แล้วเราก็อดไม่ได้หรอกในบางทีที่เราจะแบบเรื่องนี้เป็นญาติเราทำก็จะไม่ค่อยโกรธเท่าไหร่ มันจะมีข้อย่อยอะไรเหล่านั้นเต็มไปหมด”

“ทรายถึงบอกว่า บางทีเราอย่าเพิ่งไปใส่อารมณ์ คือเราเสพทุกอย่างให้มันเป็นข้อมูลแล้วเดี๋ยวก็เฉลี่ย คุณก็ชั่งน้ำหนักเอา พอมันเทไปกับข้างนึงแล้ว แน่นอนอีกข้างนึงมันต้องดูแย่กว่า เราไม่มีทางว่าข้างของเรามันแย่อยู่แล้ว เราเชียร์ทีมนี้มันต้องเก่งที่สุดสิ ไม่ใช่เราเชียร์มันเพราะมันเล่นห่วยๆ อย่างนี้แหละ อย่าไปเล่นดีๆ เลย มันก็ไม่ใช่”

“มันเลยเป็นอันตรายต่อข้อมูลความรู้ที่คนจะได้รับ พอมาเป็นอย่างนี้ เรื่องบางเรื่องต่อให้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่ถ้ามันจะส่งผลดราม่าต่อคนรอบตัว ทรายก็จะไม่พูดถึงมันแล้ว อันนี้พูดถึงเรื่องทุกเรื่องบนโลกใบนี้นะคะ แล้วสิ่งที่เป็นข้อมูลที่มันควรจะเป็นความรู้ ควรจะได้เอามาใช้ในการเปรียบเทียบ ช่างน้ำหนักในการเลือกตัดสินใจทำอย่างใดอย่างนึง มันก็จะน้อยลงไป ซึ่งมันก็ไม่แฟร์ทั้งกับคนที่มีสิทธิ์ที่จะให้ข่าว และคนที่จะรับข่าวนั้นด้วย”



ส่วนกรณีที่ “ทราย” มีชื่อเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ร่วมเรียกร้องให้มีการรื้อกฎหมายมาตรา 112 ก่อนที่ท้ายที่สุดจะมีการถอดชื่อออกไปจากบัญชีดำ เจ้าตัวก็ยอมรับตรงๆ ว่า “เห็นด้วย” กับแนวคิดบางอย่างที่สมควรต้องแก้ไข แต่ไม่ได้สมัครใจลงชื่อเท่านั้นเอง

“ก็โดนพ่วงไปด้วย ซึ่งทรายเชื่อว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ชื่อทราย เรื่องมันอาจจะไม่ยุ่งยากขนาดนี้ คนก็จะมองว่าเลวจริงๆ เลย แล้วทำไมยังมาเล่นหนังนเรศวรล่ะ คืออย่างนี้ค่ะ มาถามหนูมั้ยคะ หนูไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย มีหลายๆ คนที่อยู่ในรายชื่อตรงนั้นซึ่งหลายๆ คนก็เขียนอยู่ในมติชนนี่แหละ หรือว่าเขียนให้เล่มอื่นๆ จริงๆ เรื่องค่ายเราไม่ซีเรียส เวลาที่เราคุยกัน มันก็มีหลากหลายประเด็น ไม่เฉพาะว่าจะเป็นเรื่องของการแก้กฎหมายอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดว่าเราเห็นด้วย ทรายบอกว่าทรายเห็นด้วย แต่ทรายก็เข้าใจผิด พี่เขาเองก็เข้าใจผิด พี่เขานึกว่าทรายพูดถึงเรื่องนี้ ทรายก็นึกว่าพี่เขานึกถึงเรื่องนี้ จริงๆ แล้วพูดถึงอีกเรื่องนึงก็เท่านั้นเอง”

“แต่พอมันออกมาแล้ว ทรายก็อ้าว...พี่ ไม่ใช่นะ อันนี้ไม่ใช่ก็ถอดชื่อออก โอเค โทษๆ แล้วทรายเพิ่งมารู้ทีหลังว่าซีเรียสกันเหรอ ไม่ใช่ว่าโดนแล้วถึงขอถอด มันมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งก็ช่างมันเถอะ เพราะคนมันก็ผิดกันได้ เราก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้อิเล็คทรอนิกส์มันก็รั่วๆ ก็ไม่เป็นไร พี่เขาก็มาขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งหรือว่าอะไรกัน พอมีคนมาถามทรายก็อ้าว...ตายแล้วนี่เขาซีเรียสกันเหรอ แค่นั้นเอง แล้วจะให้ทรายพูดยังไง ให้เดินออกไปบอกทุกคนหรอ หรือตั้งโต๊ะแถลงข่าว ทรายมองว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วงแต่เกินงามทั้งสิ้น ในเมื่อทรายไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ก็จบมั้ย”

เผย หลังมีข่าวออกไป “ปราบดา หยุ่น” โทรศัพท์มาขอโทษ ยัน ไม่โกรธบอกคนเรามีผิดพลาดกันได้ ทั้งออกตัวแทนเหล่านักเขียนว่าวัตถุประสงค์ที่ต้องการแก้ ไม่ใช่เพราะจงใจลบหลู่หรือไม่เคารพสถาบัน

“พี่คุ่นไม่ได้มาปรึกษาค่ะ ทุกคนโตๆ กันหมดแล้วไม่ใช่เด็กๆ ถ้าจะมีโทรมาพี่คุ่นก็โทรมาขอโทษที่มีชื่อทรายออกไปด้วย มันเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ซึ่งทรายเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในลิสต์รายชื่อไม่คิดว่ามันจะมีผลในวงกว้างกระเพื่อมขนาดนี้ โอเค คนเรามันก็พลาดกันได้ ก็เอาชื่อออกไม่โกรธกัน มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่ง ทำไมพี่ถึงทำอย่างนี้ พี่รู้ไหมว่าชีวิตหนู....เฮ้ย เพราะมันก็ไม่ได้แย่อะไร”

“กับพี่ๆ คนอื่นๆ ที่ร่วมลงชื่อก็ได้คุยค่ะ ส่วนมากก็จะมาในแนวที่มันสามารถจะพูดถึงได้ในด้านไหนบ้าง อย่าลืมว่าการพูดถึงมันเหมือนกับเราพูดถึงเพื่อนคนนึง มันไม่ได้หมายความว่าเราจะไปให้ร้าย หรือว่าอะไรเสมอไป ทรายว่าที่เขาจะเอ๊ะกัน มันเป็นเรื่องของการควบคุมกฎหมายมาตราตรงนี้มากกว่า ว่าเกิดวันนึงเราเจอด่าน เราว่าเราไม่ผิดอะไรแล้วนะ มันยังเห็นอยู่อีก ก็จะคิดทำไมพี่ตำรวจเขาตาไวจังเลยค่ะ ทำไมเขาเห็นว่าทะเบียนขาดพอดี”

“หรือว่ามีการดัดแปลงไฟ ซึ่งไอ้คันหน้ามันโหลดเตี้ยทำไมมันไม่ผิดอะไรเลย คราวนี้รถในท้องตลาดมี100 คัน พี่ด่านเขาก็จับไม่ครบทุกคัน แต่ดันมาออกตรงเราพอดี ถามหน่อยว่าแล้วเราผิดอะไร แล้วเราจะอ้างได้แค่ไหน เราตรวจสอบกันเลยได้ไหม ชี้มาเป็นข้อๆ ว่าโอเคทะเบียนคุณขาดนะ โอเคขาดจริงๆ ทรายว่ามันเป็นมุมนี้มากกว่าที่คุยกัน คงไม่ได้คิดจะทำอะไรร้ายแรง แค่ว่าเราสามารถพูดบ้างได้ไหม เราไม่รู้ว่าถ้าเราจะพูดแล้วเราจะผิดรึเปล่า ใช้คำแบบนี้จะเหมาะไหม เราไม่รู้จะถามใครว่าเราสามารถจะเขียนได้ไหม ใช้คำแบบนี้ได้ไหม มันเกร็งๆ ไปหมด”

“แต่ถามว่าเห็นด้วยมั้ยที่จะต้องแก้ไขมาตรานี้ ทรายเฉยๆ ค่ะ อย่างที่บอกไง ว่าถ้าเราไม่มั่นใจเราก็ไม่เขียน สมมติว่าแก้กฎหมาย เราก็ไม่ได้เขียนเรื่องได้เก่งกว่านี้ หรือถ้าไม่แก้เราก็เขียนเรื่องได้เท่านี้ นี่คือสิ่งที่มีผลต่อตัวเรานะ แต่เราไม่สามารถไปพูดแทนคนอื่นได้ไง เพราะเราไม่รู้ขอบเขตของงานเขา เขาอาจจะมีอะไรในใจที่เขาอยากเขียน แต่เขาเขียนไม่ได้อันนี้เราก็ไม่รู้ แต่ของเรา เราเขียนถึงหนังสือเล่มนึง แล้วถ้าหนังสือเล่มนี้คนบอกว่าอย่าไปเขียนถึง เราก็เออ...โอเคไม่เขียนถึงก็ได้ ก็ไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจอะไร เดี๋ยวก็โทรไปบอกคนอื่นก็ได้ว่าอ่านเล่มนี้เดะ ซื้อยัง สนุกนะ แค่นี้เอง”

“จะแก้ไขหรือว่าไม่แก้ไขกฎหมาย มันก็ไม่มีผลอะไรกับทราย นอกเสียจากว่ามีคนมาถาม แล้วทรายก็ต้องมานั่งบอกแค่นั้นเองว่ามันอย่างนี้ พอทรายพูดไปเสร็จก็จะมีคนบอกว่าไม่เชื่อหรอก ทรายจะไม่รู้ได้ยังไง คือถ้ามันเป็นอย่างนี้ทรายก็ไม่รู้จะพูดยังไง แล้วไง...เรื่องจริงมันมีแค่นี้ พี่จะมาเอาเรื่องจริงกว่าไปได้ยังไงวะ หรือจะเอาเรื่องโกหกก็ได้เดี๋ยวแต่งให้”

แต่เมื่อย้ำถามถึงความคิดเห็นส่วนตัว ว่ามาตรา 112 มีผลกระทบต่อนักเขียนอย่างไร ถึงกับอยากให้มีการแก้ไขขนาดนั้น? เจ้าตัวก็ระบุทันทีว่า มาตราดังกล่าวไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน
“เอาเท่าที่ดูรวมๆ ที่ทรายว่าคนเขาอยากให้แก้ คือว่ามันไม่มีขอบเขตที่ระบุแบบชัดๆ เช่น สมมติว่าเราตีเธอ เราถือว่าเราทำร้ายร่างกาย แต่เราตีเธอเลือดออก มันกลายเป็นพยายามฆ่ารึเปล่า มันไม่มีแยกข้อไง ดังนั้นการที่เราจะอ้างอิง เช่น สมมติว่าทรายเขียนถึงเรื่องของล้นเกล้ารัชการที่ 5 ทรายอ้างอิงได้ไหม แต่คราวนี้มันก็ขึ้นอยู่กับคนเอาไปใช้อีกว่าจุดที่เขาเอามานำเสนอมันเป็นไปในแง่ไหน อย่างถ้าทรายเขียนมันก็จะมีจดหมายสมัยต้นรัชกาลที่ 6 ทรายอยากเขียนถึงเรื่องนี้ เราควรจะได้อ่านกัน เพราะท่านทรงนิพนธ์ด้วยตัวเอง เราจะเขียนถึงได้ไหม คิดว่าได้ไหมล่ะ เราก็ไม่รู้ แล้วจะไปถามใครได้ แล้วจะไปถามยังไง เอาไงดีวะ งั้นไม่เขียนเลยดีกว่า จบ ใครล่ะ ผู้รู้ที่เราสามารถามได้ เราไม่รู้ไง มันเลยกลายเป็นว่าเรื่องดีๆ ก็ไม่มีใครกล้าจะเอามาสื่อต่อ ภาษาราชาศัพท์ก็ยากอยู่แล้วสำหรับมนุษย์คนธรรมดาอย่างเรา”

“ถามว่ามันจำเป็นไหม สำหรับเรา เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเรามองในแง่ของขอบเขต เราพูดได้แค่นี้ 7 เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะโอเค แต่ที่เขาคิดจะแก้กันก็เพราะว่ามันไม่เคลียร์รึเปล่า เราอ้างอิงถึงอดีตกาลได้ไหม เกิดสมมติว่ามีคนขุดเจอศิลาจารึกอันใหม่ แล้วเราจะพูดถึง แล้วคนจะมาว่าเราไม่เคารพพ่อขุนรามคำแหงรึเปล่าวะ เอาไงดีวะ มันดูเกร็งๆ ซึ่งต่างจากเรื่องที่จริงๆ แล้วเราสามารถคุยและเคลียร์ให้เข้าใจกันได้รึเปล่า เท่านั้นเอง”

“อย่างทรายถ้าไม่ชัวร์ก็ไม่เขียนดีกว่า สำหรับทรายง่ายๆ เพราะงานของทรายเลี่ยงได้อยู่แล้ว ไม่เขียนเรื่องนี้ก็ไปเขียนเรื่องอื่น เรารู้ว่าเราสนุกของเราในใจก็ได้ เดี๋ยวแอบมาเม้าท์กันเอง แต่คนอื่นที่เขาเขียนงานในเชิงวิชาการที่เขาต้องใช้อ้างอิง ทรายก็ไม่รู้ว่ามันจะมีผลรึเปล่าไง เราสงสัยได้ไหม เกิดสมมติว่ามีพงศวดาร 3 อันไม่ตรงกัน เราสงสัยเล่มนึงเราจะโดนรึเปล่าวะอะไรทำนองนี้ มันก็คงจะยากเหมือนกันนะสำหรับคนที่ต้องอ้างอิง”

“มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว เราไม่พูดถึงด้วยความไม่เคารพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยแง่มุมใดก็ตาม แต่โดยตัวทราย ทรายไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนบทความใดๆ ที่จะต้องเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่มันก็จะมีการเชื่อมโยงกันไปจนได้แหละ อย่างล่าสุดที่ทรายเขียนแดงทำไม ทำไมแดง คนก็บอกว่าเธอ... เธอเป็นพวกที่คิดจะล้มสถาบัน ห๊า! มันไปถึงตรงนั้นได้ยังไง แค่บอกว่านั่งรถติดแค่นี้ ทรายว่ามันเป็นเรื่องของอารมณ์ความพรุ่งพล่านอะไรบางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตอนนี้มันก็คงไปไกลมากแล้ว ทรายเองก็ไม่ได้ตามว่ามันไปไกลถึงขั้นไหนแล้ว เพราะเราไม่ได้อินกับมันมากขนาดนั้นเราก็ไม่เป็นไร”

“พูดได้เลยว่าทรายไม่เคยร่วมลงล่ารายชื่อเลยสักครั้งเดียว ทรายจำได้ว่าลงชื่อครั้งสุดท้ายตอนลงโหวตหัวหน้าห้อง ตอนประถม ทรายเคยไปชุมนุมรึเปล่า ทรายไม่เคยไปชุมนุม อย่างครั้งก่อนล่ารายชื่อเข้าห้องน้ำที่ธรรมศาสตร์ที่มีชื่อทรายเข้าไปเกี่ยว ทรายจะต้องไปเข้าห้องน้ำที่ธรรมศาสตร์ทำไม บ้านทรายเองก็มี ในเมื่อไม่ได้ไปชุมนุมแล้วทรายจะไปเข้าห้องน้ำทำไม ตัวทรายเนี่ยนอกจากจะไม่เคยลงล่ารายชื่อแล้ว ทรายยังไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกต่างหาก”

“อย่างแรกเลย ตัวทรายไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักเขียนอะไรขนาดนั้น ดูชื่อแต่ละคนสิ ปราบดา หยุ่น นักเขียนรางวัลซีไรท์ไปตั้งกี่คนแล้ว แล้วฉันล่ะ กับอีแค่หนึ่งคอลัมน์ โอ๊ะ! ถ้าเป็นล่ารายชื่อนักแสดงโอเคทรายยังอ๋อๆ เออๆ มีส่วนร่วมนิดนึง นี่มันอายเขานะ เอาชื่อไปลงล่ารายชื่อแล้วอายเขาไหม ตอนนี้มีผลงานรวมอะไรบ้างค่ะ อ๋อ..เขียนอยู่คอลันม์นึงอย่างนี้เหรอ แล้วดูแต่ละคนที่มาเข้าร่วมรางวัลซีไรท์ทั้งนั้น ไม่ก็สำนักพิมพ์ใหญ่โต มันก็ไม่ได้มีการถามหรือไม่ถามเพียง แต่ทรายกลัวว่ามันจะมาไม่ถึงทรายด้วยซ้ำ ในความรู้สึกของคนทั่วไปคงคิดว่าทรายเป็นนักแสดงมากกว่านักเขียนไง มันอาจจะเป็นกลุ่มคนที่รู้จักแล้วอ่านตามกันมาเท่านั้นที่จะรู้ว่าทรายเป็นนักเขียนแล้วเขียนถึงอะไร แล้วเคยอ่านอะไรที่ทรายพูดถึง มันก็จะมีข้อย่อยลงไปอีก”

“อย่างข่าวพวกล่ารายชื่อทรายจะรู้ช้าตลอดว่าเขาทำอะไรกัน มีอะไรกันเหรอ การล่ารายชื่อมันมีลักษณะเฉพาะคือมันเกิดขึ้น ณ ยุคปัจจุบัน ซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าอนาคตสิ่งนี้มันจะมีผลอะไรรึเปล่าแล้วในเมื่อไม่รู้ ทรายก็ไม่รู้จะทำไปทำไม อย่างลงล่ารายชื่อที่เกี่ยวกับวงการหนังที่ทรายทำมาหากินอยู่ทรายยังไม่ลงเลย ทรายยังไม่รู้เรื่องเลย อะไรที่ไกลเกินเมืองนนท์ของทรายไปทรายก็จะเริ่มไม่เก็ทแล้ว”

**(ติดตามอ่านตอนจบ : หากเป็นบุคคลอันตรายต่อสถาบันคงไม่ได้เล่น “นเรศวร”)



กำลังโหลดความคิดเห็น