“เฮียฮ้อ” ทุ่ม 100 ล้าน เปิดทีวีดาวเทียมช่อง 8 บอก สิ้นปีเตรียมควักอีก 100 ล้าน เพราะอยากสร้างให้เป็นฟรีทีวีวาไรตี้ที่ครบรูปแบบที่สุด ลั่น เปิดโอกาสให้ศิษย์เก่าและผู้จัด รวมถึงนักแสดงทุกคนเข้ามาร่วมงานชนิดไม่จำกัดค่าย เดินหน้าดัน “ฟิล์ม” สุดฤทธิ์ กลับเมืองไทยเมื่อไหร่มีทั้งละครและอัลบั้มให้ทำ พร้อมเผย ปีนี้เตรียมเข็น “แร็พเตอร์” และ “โดม” ขึ้นคอนเสิร์ตฉลอง 30 ปีอาร์เอส ก่อนโต้ โดนช่อง 3 เทกโอเวอร์รวบซื้อหุ้นและตึกอาร์เอส
เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วเรียบร้อย สำหรับสถานีใหม่ “ช่อง 8 อินฟินิตี้” ของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อาร์เอส ซึ่งงานนี้ทางด้านของ “เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้เผยถึงจุดเริ่มต้นธุรกิจทีวีดาวเทียมตัวใหม่ พร้อมชี้แจงรายละเอียดให้ฟังว่าอยากให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ชม ซึ่งจะมีทั้งละคร รายการเรียลลิตี้ ซีรี่ย์เกาหลี รายการตลก-เกมโชว์ เตรียมทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาทเพื่อตอบโจทย์ผู้ชมให้มากที่สุด
“วันนี้เรามาเปิดช่อง 8 อินฟินิตี้ในคอนเซ็ปท์คือฟรีทีวีวาไรตี้ 24 ชั่วโมง สำหรับช่องนี้ผมว่าน่าจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ชม เราเชื่อว่าวันนี้อุตสาหกรรมทีวีในมุมผู้ชมนั้นไม่มีเส้นแบ่งอีกแล้ว ไม่มีคำว่าแซทเทลไลท์ทีวี ฟรีทีวีหรือทีวีเคเบิ้ล อยู่ที่ว่าถ้าเราสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ดีให้เป็นทางเลือกของผู้ชมได้ ฉะนั้นเราก็เลยลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาทในการเปิดตัวรายการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นละคร รายการเรียลลิตี้ หรือแม้กระทั่งซีรี่ย์เกาหลี รายการตลก รายการเกมโชว์ รายการคุณภาพเหล่านี้ก็จะพบได้ในช่อง 8 อินฟินี้ตี้จากนี้ไปครับ”
“จริงๆ 100 ล้านเป็นการลงทุนเฉพาะคอนเทนต์ในช่วงแรกนะครับ แล้วก็จะมีเฟส 2-3 ตามมา มันต้องมากกว่า 100 ล้านแน่นอน แค่เฉพาะละคร 4 เรื่องแรกของเราก็มากกว่า 100 ล้านแล้ว เฟส 2 คิดว่าจะเปิดปลายปีนี้ก็อีก 100 กว่าล้านครับ จริงๆ วันนี้ผมคิดว่าผู้บริโภคพร้อมที่จะไม่ยึดติดอยู่กับแค่รีโมทคอนโทรล ผู้บริโภคพร้อมเปลี่ยนไปชมช่องที่เขาถูกใจ ฉะนั้นหลังจากนี้ไปผมให้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตที่เขาสามารถลงทุนสร้างงานดีๆ และสร้างคอนเทนต์ดีๆ ให้เป็นทางเลือกที่ถูกใจ ผมเชื่อว่าผู้บริโภคน่าจะพิจารณาช่อง 8 อินฟินิตี้เป็นทางเลือกหนึ่ง”
เผย พร้อมเปิดกว้างให้กับทั้งผู้จัดและนักแสดงทุกค่ายไม่จำกัด รวมถึงศิษย์เก่าของอาร์เอสเอง อย่าง “แดน วรเวช ดานุวงศ์” ก็กลับมาร่วมงานละครกับอาร์เอสอีกครั้ง
“วันนี้เมื่อเทคโนโลยีทลายข้อจำกัดต่างๆ แล้ว ก็เปิดกว้างสำหรับผู้ผลิตที่มีคุณภาพทุกๆ รายไม่ใช่เฉพาะอาร์เอส ก็ถ้ามีศักยภาพ มีความสามารถและมีความเชื่อมั่น ผมคิดว่าเป็นโอกาสที่เราจะนำเสนอผลงานที่ดี และเสนอเป็นตัวเลือกให้กับผู้ชมครับ ในมุมของเราเองคิดว่าเป็นการเปิดกว้างของผู้ชมโดยแท้ครับ วันนี้ผู้ชมเป็นผู้เลือกอย่างแท้จริง”
“กับแดนที่กลับมาร่วมงานกับเราครั้งนี้ ก็อย่างที่เรียนว่านโยบายของเรา เราต้องการคอนเทนต์ที่ดีที่สุด และมีคุณภาพมาก จะเห็นว่างานทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นละครหรือเกมโชว์หรือเรียลลิตี้ที่เราสร้างไว้ เราทำในระดับเดียวกับที่เราเคยทำให้กับช่อง ไม่ว่าจะเป็นช่องทีวีหลักที่ทำอยู่ตอนนี้ เราก็ทำในมาตรฐานเดียวกัน การลงทุนเดียวกัน นักแสดงเราก็โฟกัสไปที่นักแสดงดังๆ ที่เคยร่วมงานกับเราและสามารถชวนมาร่วมงานได้ทั้งของอาร์เอสเองและนักแสดงต่างๆ”
“แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรนะครับ เพราะจริงๆ ละครเรื่องนี้เราก็เห็นว่าเหมาะสมกับเขา ก็ลองติดต่อกัน แล้วแดนเขาก็อยากจะร่วมงานกับเรา ก็มีสิทธิที่จะเห็นอดีตของอาร์เอสกลับมาร่วมงานกันอีก เพราะจริงๆ เราก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไร เรามองว่าทำอะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของผู้ชม”
บอก ในด้านของนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ถ้ากลับจากอังกฤษเมื่อไหร่ ก็มีละครต่อให้ทันที 2-3 เรื่อง รวมถึงงานเพลงให้เห็นแน่นอนในปีนี้
“ส่วนของฟิล์มอย่างที่เคยให้ข่าวไปว่าระหว่างที่เขาอยู่อังกฤษก็เรียนภาษาอยู่ แล้วก็ทำเรียลลิตี้พ่วงไปด้วย กลับมาก็คงมีละครต่ออีก 2-3 เรื่อง ก็จะมีละครที่เปิดให้ชมวันนี้ 2 เรื่อง แล้วก็จะมีอีกเรื่องที่ฟิล์มจะเล่นให้กับบรอดคาซท์ทางช่อง 3 ครับ ส่วนกำหนดกลับของเขาก็ประมาณเดือนพฤษภาคม เราก็พิจารณาจากความเหมาะสม และความสามารถและเราเชื่อว่าด้วยกระแสหรือความนิยมในตัวฟิล์ม ผมเชื่อว่ายังคงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ทั้งประเทศ”
“สำหรับฟิล์มแผนที่เราวางไว้พอเขากลับมาก็จะมีละครวางไว้อยู่ 2-3 เรื่อง แต่ก็คงสลับกันถ่ายไป คงไม่ได้ถ่ายทีเดียว แล้วก็จะมีงานเพลงที่เตรียมไปด้วยภายในปีนี้ แต่เราก็คงไม่ได้จำกัดให้เขาอยู่แค่กับเรา ต้องเรียนว่าในอดีตผู้จัดหรือนักแสดงมีมากกว่าสถานี ผมมองว่าทีวีในเมืองไทยมีน้อยเกินไป มีผู้จัดดีๆ อยากจะผลิตรายการดีๆ แต่ก็ติดขัดเรื่องพื้นที่ หรือแม้กระทั่งนักแสดงก็ขาดโอกาสที่จะแสดงความสามารถ ก็คงไม่ได้กักฟิล์มเอาไว้ เพราะที่เราเอามานี่ก็เป็นช่วงที่เขาว่างจากการทำงานเพลงอยู่แล้ว”
ส่วนโปรเจ็กต์คอนเสิร์ตใหญ่ปีนี้มีให้เห็นแน่นอนหลังจากที่ห่างหายจากการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ไปนาน รวมถึงการกลับมาของ “แร็พเตอร์” และของ “โดม ปกรณ์ ลัม” ด้วย
“เรื่องแผนงานคอนเสิร์ตปีนี้ก็มีคอนเสิร์ตใหญ่นะครับ ทั้งใหญ่และระดับกลางๆ ตลอดปีทุกเดือนสลับกันไป แล้วก็จะมีที่จะฉลอง 30 ปีของอาร์เอสด้วย จะเป็นคอนเสิร์ตในวาระพิเศษที่อยากจะให้แฟนๆ ได้ติดตามกัน ก็คงเร็วๆ นี้ครับ ผมคิดว่าอยู่ที่จังหวะและโอกาส ปีนี้แผนที่เราจะทำคอนเสิร์ตก็จะมีของศิลปินของค่ายกามิกาเซ่ของเรา แล้วก็จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ที่รวมศิลปินทุกค่ายเป็นการฉลอง 30 ปี นอกจากนี้ก็ยังมีคอนเสิร์ตของศิษย์เก่าของอาร์เอส ตอนนี้ทีมงานก็กำลังคุยกันอยู่ว่าจะมีของแร็พเตอร์ แล้วก็ของโดมในตอนนี้”
“แต่สำหรับโปรเจ็กต์อื่นให้ศิษย์เก่าๆ เราก็เปิดกว้างนะครับ วันนี้เรามีช่อง 8 เกิดขึ้นก็นอกจากจะเป็นทางเลือกให้กับผู้ชมแล้ว ก็เป็นเวทีให้ผู้จัดหรือนักแสดงใครที่คิดว่ามีผลงานดีๆ อยากจะนำเสนอกับเรา เราก็เปิดกว้างครับ”
ปัด ข่าวช่อง 3 เข้ามาเทกโอเวอร์ซื้อหุ้นอาร์เอส และซื้อตึกของอาร์เอสไปเรียบร้อย บอก ปกติมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาทาบทามอยู่แล้ว แต่ช่อง 3 ไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น
“เรื่องช่อง 3 เข้ามาเทกโอเวอร์ ผมไม่เคยได้ยินนะ(หัวเราะ) ไม่มีครับ เรื่องซื้อตึกก็ไม่มีนะครับ เพราะตอนนี้ผมก็เพิ่งทำตึกใหม่อยู่ 2 ตึก เรื่องหุ้นของอาร์เอสก็มีกองทุนต่างประเทศให้ความสนใจ ก็มีเข้ามาพูดคุยอยู่เป็นระยะ แต่เรามีคนดูแลอยู่แล้วตรงนี้ แต่ช่อง 3 กับเราก็เป็นพาร์ทเนอร์กัน ผมกับผู้บริหารอย่างคุณประวิทย์เราก็สนิทกัน ก็ไม่ได้มีอะไร แต่ถามว่ามีโอกาสจะได้ร่วมหุ้นกันไหม ผมก็ไม่แน่ใจว่ามีข่าวนี้ได้ยังไง คงเป็นเรื่องของกองทุนมาซื้อหุ้นเป็นเรื่องปกติ”
“แต่เป็นเรื่องธรรมดามากเพราะอาร์เอสเราเป็นบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะมีทั้งกองทุนทั้งในและต่างประเทศหรือคนทั่วไปที่เขาสนใจในธุรกิจของอาร์เอสเขาก็มีสิทธิเข้ามาพูดคุยซื้อหุ้นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่เข้ามาส่วนใหญ่เขาจะสนใจเรื่องของธุรกิจเพลงของเรา เพราะถือว่าเรามีการปรับตัวที่ดี เราเป็นค่ายเพลงแรกๆ ที่มีการปรับตัวค่อนข้างเร็ว ปรับตัวเข้ามายุคดิจิตอลค่อนข้างเร็วกว่าที่อื่น”
“ฉะนั้นทุกวันนี้ต่างชาติก็จะให้ความสนใจกับธุรกิจเพลงของอาร์เอสในระบบของฟูลลี่ดิจิตอลเป็นอย่างแรก ส่วนอีกตัวนึงที่เขาให้ความสนใจมากก็คือแซทเทลไลท์ทีวี ต้องเรียนว่าประเทศไทยสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันช้ากว่าต่างประเทศ 20 ปี และต่างประเทศเขาก็เห็นว่าธุรกิจนี้ในอนาคตมันจะดียังไง เขาก็จะเข้ามาคุยกับเรา”
“ส่วนธุรกิจหนังตอนนี้เราก็มีการปรับวิธีทำงาน เราก็จะค่อนข้างปรับทีมของภาพยนตร์ให้มีความหลากหลาย ให้มีความยืนหยุ่นในการทำงานให้สนุกมากขึ้น แต่ปีนี้เราให้ความสนใจในเรื่องของภาพยนตร์ลดน้อยลง เราจะโฟกัสเป็นเรื่องๆ จริงๆ และจะพิจารณาเป็นโปรเจ็กต์ๆ ไป เราต้องเรียนว่าธุรกิจภาพยนตร์เป็นธุรกิจที่ทำกำไรค่อนข้างยากและมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำ แต่ก็คงพิจารณาเป็นโปรเจ็กต์ๆ ไป แต่จริงๆ ธุรกิจทุกๆ อย่างของเราเติบโตได้ด้วยดีหมดนะครับ เข้าตามเป้าหมาย แต่ธุรกิจที่เติบโตมากที่สุดก็คือธุรกิจเพลงและแซทเทลไลท์ทีวีครับ”