“ยิปโซ” รับงานดะหวังเก็บเงินซื้อรถในฝันให้พ่อเป็นของขวัญ หลังจากที่เคยให้โมเดลรถไปแล้วเมื่อสมัยเด็กๆ เผยพ่อเป็นคนมัธยัสถ์มาก ตามใจคนอื่นแต่ไม่เคยตามใจตัวเอง เลยอยากจะทำความฝันของพ่อเป็นจริง
เป็นนางเอกที่กำลังมาแรงและมีผลงานอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว สำหรับ “ยิปโซ รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์” เพราะภายในปีเดียวมีหนังออกฉายถึง 3 เรื่องไม่ว่าจะเป็น 32 ธันวา , เราสองสามคน และสุดเขตเสลดเป็ด โดยเฉพาะเรื่องสุดท้ายทำรายได้ทะลุ 100 ล้านเลยทีเดียว นางเอกสาวเลยเผยว่าเป็นความโชคดีที่ผู้ใหญ่เมตตา แต่ตนก็พยายามเก็บหอมรอมริบ เพื่อที่จะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่เซอร์ไพรส์คุณพ่อของตนอยู่เหมือนกัน
“งานตอนนี้ก็มีเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ จะเป็นเรื่องของรายการ ถ่ายแฟชั่น งานอีเว้นท์ สลับกับเรียนไปเรื่อยๆ แล้วค่ะ เพราะว่าโปรเจ็กท์หนังน่าจะเป็นปลายปีเลย เพราะปีที่ผ่านมาโชคดีโอกาสดีที่ผู้ใหญ่เขาให้เล่นไป 3 เรื่องแล้ว ก็เลยควรจะเว้นไว้บ้างในแง่ของงานหนัง ก็คงทิ้งช่วงไปบ้าง เพราะว่าปีที่แล้วไม่ได้ทิ้งช่วงเลย กลัวคนเบื่อหน้าเหมือนกัน(หัวเราะ) ก็คิดว่าปลายปีคงได้เห็นกัน”
“แต่งานละครไม่มีค่ะ แต่มีข่าวว่าเราไม่เล่น ไม่รับ ซึ่งจริงๆ แล้วหนูว่าละครก็น่าลอง แต่แค่ตอนนี้หนูรู้ว่าถ้าไปทำละครหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งละครเป็นอะไรที่ใช้พลังและเวลากับมันเยอะมาก เราต้องให้มันเต็มร้อย หนูคงเก่งไม่พอ ยังบริหารได้ไม่ดีพอก็กลัวจะพังแล้วจะทำได้ไม่เต็มที่ ฉะนั้นเราก็รอเวลาที่ทำได้เต็มที่ดีกว่า ไม่อยากทำหลายๆ อย่างแล้วไม่ดีสักอย่าง อยากทำให้ดีเป็นเรื่องๆ ไป แต่ถ้ามีโอกาสได้ลองในเวลาที่ถูกต้อง เราก็คงได้เจอกันค่ะ”
“ช่วงนี้ทำงานอะไรได้ก็ทำค่ะ ตอนนี้พยายามหาเงินเข้าบ้าน หนูมีความอยากที่จะได้ของบางอย่าง แต่คาดว่าคงต้องเก็บเยอะ ต้องเก็บไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้อยากซื้อรถให้พ่อ คือบ้านเราใช้เงินแบบระวังมาตลอด คือประหยัดมาตลอด พ่อหนูเป็นคนที่ตามใจคนอื่นแต่ไม่ยอมตามใจตัวเอง หนูบังคับให้พ่อทำอะไรตามใจตัวเองหลายทีแล้ว พ่อก็ไม่ยอมทำ แต่หนูรู้ว่าพ่อชอบรถอะไรๆ บ้าง ถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากจะซื้อให้ เพราะตอนเด็กๆ จำได้ว่า ทำได้แค่ซื้อโมเดลรถให้พ่อ ถ้าเกิดหนูมีเงินเยอะๆ ก็อยากซื้อคันจริงให้”
“ถึงแม้จะไม่ใช่บ้าน แต่มันก็คงทำให้เขาแฮปปี้ ถึงแม้เขาจะเก๊กบอกว่าไม่อยากได้ แต่หนูอยากซื้อให้ แต่นี่ยังไม่ได้บอกพ่อเลย แต่เขาก็รู้แหละว่าเราอยากซื้อให้ ตอนนี้คือพยายามบริหารเงินค่ะ มีเงินเข้ามาก็เอาไปใช้ที่จำเป็นก่อน อย่างพวกเรื่องค่าเล่าเรียน เราก็แบ่งจ่ายเองมาซักพักแล้ว ส่วนพวกเงินในบ้านค่าน้ำ ค่าไฟ มันต้องช่วยๆ กัน คืออยู่บ้านเดียวกันมันต้องช่วยกัน แต่ถ้าเกิดเราได้โอกาสอะไรจริงๆ สมมุติได้เงินก้อนมา ซักคันให้พ่อก็คงไม่เสียหายหรอก แล้วถ้าเกิดมีโอกาสได้ใช้อะไรตามใจก็ค่อยว่ากัน”
“แต่จริงๆ ถามว่าซื้อได้หรือยัง ความจริงจะซื้อตอนนี้ก็ซื้อได้ แต่ตอนนี้เรารู้ว่าความสบายใจของพ่อ คือการที่เขายังอยากให้เราหาเงินก่อน เพราะว่าตอนนี้หนูมีเงินมากพอที่จะซื้อรถให้พ่อได้แล้ว แต่พ่อกลัวว่าหนูจะไม่มีเงินเก็บ คือหนูสามารถเก็บได้ถึงจุดหนึ่งที่พ่อสบายใจก็ค่อยซื้อดีกว่า แต่ตัวหนูก็มีความฟุ่มเฟือยอยู่ หนูไม่ได้ใช้เงินเก่งนะ แต่มีจุดอ่อนเยอะ อาจไม่ใช่เรื่องกระเป๋าเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่จะเป็นเรื่องไร้สาระ”
“เราอาจไม่ต้องเก็บทุกบาททุกสตางค์ แต่ถ้าเราสามารถใช้เงินเก็บกับเรื่องไร้สาระของเราได้ เราต้องใช้เงินให้คนอื่นที่มีความสำคัญกับเราได้เหมือนกัน เช่นพ่อแม่ อย่างหนูซื้อไอโฟน 20,000 กว่า หนูก็ต้องใช้เงิน 20,000 หรือมากกว่าให้พ่อแม่ได้เหมือนกัน ซึ่งจุดนี้มันเป็นเรื่องของรายจ่ายมากกว่าการเก็บออม ก็ไม่แนะนำให้ใครใช้เงินฟุ่มเฟือยนะคะ แต่ถ้าฟุ่มเฟือยทั้งทีก็ฟุ่มเฟือยให้พอดีดีกว่า”