แม้จะมี "กลิ่นอาย" ในการนำเสนอที่คล้ายๆ กันนับตั้งแต่ "ตำนานกระสือ", "ช้างเพื่อนแก้ว" และ "เดอะโกร๋น ก๊วนกวนผี" แต่สำหรับ "ปัญญา เรณู" ภาพยนตร์ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของคุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ นั้นต้องบอกว่ามี "คุณภาพ" ที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
ผิดหู ผิดตา เสียจนผมเองยังอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันผลงานของคุณบิณฑ์จริงๆ หรือ?
ไม่ได้อคตินะครับ แต่หากลองย้อนกลับไปดูผลงานเก่าๆ ของเขาก็จะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง
ถึง ณ วันนี้ผมเชื่อว่าหลายคนที่เป็นคอหนังคงจะได้รับรู้ถึงเสียงเชียร์ คำเยินยอในความดี ความงดงาม และเหตุผลที่ต้องไปดูหนังไทยเรื่องนี้กันจนเกือบหมดทุกแง่ทุกมุมแล้วเป็นแน่แท้
ถ้าใครไม่รู้ก็ให้เข้าไปดูได้ที่โต๊ะเฉลิมไทย ไนเว็บไซต์พันทิปได้ เพราะที่นั่นถึงกับมีการตั้งเป็น "กลุ่มคนรักปัญญา เรณู" กันขึ้นมาเลยทีเดียว
ต้องบอกว่านี่คือหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่กระแสของการพูดถึงนั้นแรงมาก!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้รายได้ของหนังเรื่องนี้จนถึงล่าสุดเท่าที่ผมทราบจะยังยืนอยู่ในเขตพื้นที่ "ขาดทุน" คือประมาณ 12 ล้านบาทจากเงินลงทุนทั้งหมด 18 ล้านบาท แต่ผมเชื่อว่าถึงตอนนี้ผู้กำกับอย่างคุณบิณฑ์นั้นรับ "กำไร" ไปแล้ว
กำไรที่หนึ่งจากเสียงวิจารณ์ ซึ่งอื้ออึงมาก ขณะที่กำไรที่สองนั้นก็จากในฐานะของ "ป๋าดัน" หลังความสามารถของน้องผู้หญิงที่แสดงเป็น "เรณู" อย่างน้องน้ำขิง เด็กหญิงสุธิดา หงษา นั้นเกิดส่งแววไปเข้าตาบิ๊กบอสค่ายโพลีพลัสฯ คุณนิด อรพรรณ เข้าอย่างจัง จนมีการทาบทามให้เซ็นสัญญาเข้าเป็นเด็กในสังกัดเป็นเวลา 5 ปีด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
ที่สำคัญ มีข่าวว่าตอนนี้ "เสี่ยเจียง" สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ นายใหญ่ของสหมงคลฟิล์มได้มีคำสั่งไปยังคุณบิณฑ์ให้ไปทำ "ปัญญา เรณู ภาค 2" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่เพียงแค่ค่ายสหมงคลฯ เท่านั้นนะครับ ทางด้านค่ายเงินถุงเงินถังอย่างเวิร์ค พอยท์ฯ ของเสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล เองก็ยินดีพร้อมที่จะลงขันเป็นพันธมิตรในโครงการนี้ด้วย
เรื่องนี้ทำเอาคุณบิณฑ์ของเราถึงกับยิ้มเผล่ เพราะนอกจากจะไม่มีปัญหาเรื่องเงินจนต้องควักทุนทำเองเหมือนภาคแรกแล้ว ภาค 2 นี้ยังอาจจะได้สองดาวตลกอย่างคุณ "ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน" กับคุณ "หม่ำ จ๊กมก" ที่เจ้าตัวอยากจะได้มาเล่นตั้งแต่ภาคแรกแล้วมาร่วมสร้างสีสันความสนุกสนานร่วมกับเหล่านักแสดงเด็กๆ ชุดเดิมอีกด้วย
และนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวคาดหวังว่าภาค 2 นี่แหละหนังจะต้องมีกำไรในรูปของตัวเงินอย่างแน่นอนหากมีดาราที่ "ขายได้" มาร่วมชูโรงเช่นนี้
แต่กระนั้นทางคุณบิณฑ์ก็ยืนยันนะครับว่าถ้าไม่มีดาราดังเข้ามาจริงๆ ตนก็พร้อมที่จะทำภาค 2 โดยใช้เฉพาะเด็กๆ ชุดเดิม ซึ่ง "ปัญญา เรณู ภาค 2" นี้ก็เตรียมที่จะเปิดกล้องถ่ายทำกันในสิ้นเดือนนี้แล้วครับ
มองแง่หนึ่งก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ทางคุณบิณฑ์ควรจะได้รับตอบแทนจากการทำงานที่มีคุณภาพดีออกมา
แต่อีกแง่มุมนึงมันก็ดูจะเป็นการผลีผลาม รีบเร่ง จนเกินไปนิดหรือไม่? กระทั่งอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ถึงเนื้อหาและทิศทางของหนังภาคต่อของหนังเรื่องนี้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องบางส่วนเริ่มต้นขึ้นมาก็มองเรื่องของผล-กำไรเป็นที่ตั้งแล้ว
คุณบิณฑ์เองอาจจะมองว่าไม่จำเป็นต้องใช้ดาราดังๆ ก็ได้ (หลังจากพิสูจน์ให้เห็นแล้วจากการทำปัญญา เรณู ออกมา) แต่คนที่ลงทุนด้วยล่ะจะคิดเช่นนั้นหรือ? ในเมื่อก่อนหน้านี้เหตุผลที่ทำให้ไม่มีใครมาร่วมลงทุนกับคุณบิณฑ์ก็เพราะหนังถูกมองว่าทำไปก็ไม่ได้กำไรเนื่องจากไม่มีดาราเป็นจุดขาย!
บอกกล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าทางคุณหม่ำกับคุณตุ๊กกี้ หรือว่าอาจจะมีคนอื่นๆ มาร่วมงานด้วยนั้นเป็นนักแสดงที่ไร้ฝีมือ หรือว่าหากเอาดาราดังมาแล้วจะทำให้หนังไม่ดีอะไรนะครับ
ในทางกลับกันอาจจะกลายเป็นจุดแข็ง เป็นจุดที่ทำให้หนังสมบูรณ์ หรือว่าทำเงินมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ผมเองเกรงว่าบางครั้งการที่เราทำอะไรโดยเริ่มต้นเพราะคิดว่าถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าอย่างนี้มันจะเป็นอย่างนั้นแล้วละก็ เราก็อาจจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปแบบไม่รู้ตัว
อะไรบางอย่างที่อาจจะรวมถึงเสน่ห์ที่แท้จริงที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นตัวตน ที่ทำให้มีคนชอบ-คนรัก "ปัญญา เรณู"
ปาย ทุกวันนี้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้บนหลักหมุดแผนที่ทางภูมิศาสตร์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มิได้ถูกเคลื่อนที่โยกย้ายไปไหน แต่ทำไมบางคนไปเที่ยวปายวันนี้จึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกในความเป็นปายเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
เช่นเดียวกับ อัมพวา ที่ทุกวันนี้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้บนหลักหมุดแผนที่ทางภูมิศาสตร์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มิได้ถูกเคลื่อนที่โยกย้ายไปไหน แต่ทำไมบางคนไปเที่ยวอัมพวาวันนี้จึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกในความเป็นอัมพวาเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แน่นอนครับว่าเมื่อเวลาพาดผ่าน ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งส่วนที่เห็นได้ด้วยตา ทั้งส่วนที่ฟังได้ด้วยหู ไม่เว้นแม้กระทั่งทั้งส่วนที่สัมผัสได้ด้วยอารมณ์และความรู้สึกภายใน
แต่ส่วนใหญ่ก็เพราะการเร่งเร้าของมนุษย์เองโดยมีเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้รับกันทั้งสิ้น
ผมเองอาจจะแสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้เร็วเกินไปก็ได้
แต่นั่นก็เพราะผมเองไม่อยากให้คุณบิณฑ์มองหนัง "ปัญญา เรณู" ที่หลายต่อหลายคนหลงรักเรื่องนี้ด้วยสายตาของนายทุนเห็นแก่ตัวซึ่งพร้อมจะทำทุกอย่างเพียงเพื่อต้องการจะหาผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเองครับ
ผิดหู ผิดตา เสียจนผมเองยังอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันผลงานของคุณบิณฑ์จริงๆ หรือ?
ไม่ได้อคตินะครับ แต่หากลองย้อนกลับไปดูผลงานเก่าๆ ของเขาก็จะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง
ถึง ณ วันนี้ผมเชื่อว่าหลายคนที่เป็นคอหนังคงจะได้รับรู้ถึงเสียงเชียร์ คำเยินยอในความดี ความงดงาม และเหตุผลที่ต้องไปดูหนังไทยเรื่องนี้กันจนเกือบหมดทุกแง่ทุกมุมแล้วเป็นแน่แท้
ถ้าใครไม่รู้ก็ให้เข้าไปดูได้ที่โต๊ะเฉลิมไทย ไนเว็บไซต์พันทิปได้ เพราะที่นั่นถึงกับมีการตั้งเป็น "กลุ่มคนรักปัญญา เรณู" กันขึ้นมาเลยทีเดียว
ต้องบอกว่านี่คือหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่กระแสของการพูดถึงนั้นแรงมาก!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้รายได้ของหนังเรื่องนี้จนถึงล่าสุดเท่าที่ผมทราบจะยังยืนอยู่ในเขตพื้นที่ "ขาดทุน" คือประมาณ 12 ล้านบาทจากเงินลงทุนทั้งหมด 18 ล้านบาท แต่ผมเชื่อว่าถึงตอนนี้ผู้กำกับอย่างคุณบิณฑ์นั้นรับ "กำไร" ไปแล้ว
กำไรที่หนึ่งจากเสียงวิจารณ์ ซึ่งอื้ออึงมาก ขณะที่กำไรที่สองนั้นก็จากในฐานะของ "ป๋าดัน" หลังความสามารถของน้องผู้หญิงที่แสดงเป็น "เรณู" อย่างน้องน้ำขิง เด็กหญิงสุธิดา หงษา นั้นเกิดส่งแววไปเข้าตาบิ๊กบอสค่ายโพลีพลัสฯ คุณนิด อรพรรณ เข้าอย่างจัง จนมีการทาบทามให้เซ็นสัญญาเข้าเป็นเด็กในสังกัดเป็นเวลา 5 ปีด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
ที่สำคัญ มีข่าวว่าตอนนี้ "เสี่ยเจียง" สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ นายใหญ่ของสหมงคลฟิล์มได้มีคำสั่งไปยังคุณบิณฑ์ให้ไปทำ "ปัญญา เรณู ภาค 2" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่เพียงแค่ค่ายสหมงคลฯ เท่านั้นนะครับ ทางด้านค่ายเงินถุงเงินถังอย่างเวิร์ค พอยท์ฯ ของเสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล เองก็ยินดีพร้อมที่จะลงขันเป็นพันธมิตรในโครงการนี้ด้วย
เรื่องนี้ทำเอาคุณบิณฑ์ของเราถึงกับยิ้มเผล่ เพราะนอกจากจะไม่มีปัญหาเรื่องเงินจนต้องควักทุนทำเองเหมือนภาคแรกแล้ว ภาค 2 นี้ยังอาจจะได้สองดาวตลกอย่างคุณ "ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน" กับคุณ "หม่ำ จ๊กมก" ที่เจ้าตัวอยากจะได้มาเล่นตั้งแต่ภาคแรกแล้วมาร่วมสร้างสีสันความสนุกสนานร่วมกับเหล่านักแสดงเด็กๆ ชุดเดิมอีกด้วย
และนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวคาดหวังว่าภาค 2 นี่แหละหนังจะต้องมีกำไรในรูปของตัวเงินอย่างแน่นอนหากมีดาราที่ "ขายได้" มาร่วมชูโรงเช่นนี้
แต่กระนั้นทางคุณบิณฑ์ก็ยืนยันนะครับว่าถ้าไม่มีดาราดังเข้ามาจริงๆ ตนก็พร้อมที่จะทำภาค 2 โดยใช้เฉพาะเด็กๆ ชุดเดิม ซึ่ง "ปัญญา เรณู ภาค 2" นี้ก็เตรียมที่จะเปิดกล้องถ่ายทำกันในสิ้นเดือนนี้แล้วครับ
มองแง่หนึ่งก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ทางคุณบิณฑ์ควรจะได้รับตอบแทนจากการทำงานที่มีคุณภาพดีออกมา
แต่อีกแง่มุมนึงมันก็ดูจะเป็นการผลีผลาม รีบเร่ง จนเกินไปนิดหรือไม่? กระทั่งอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ถึงเนื้อหาและทิศทางของหนังภาคต่อของหนังเรื่องนี้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องบางส่วนเริ่มต้นขึ้นมาก็มองเรื่องของผล-กำไรเป็นที่ตั้งแล้ว
คุณบิณฑ์เองอาจจะมองว่าไม่จำเป็นต้องใช้ดาราดังๆ ก็ได้ (หลังจากพิสูจน์ให้เห็นแล้วจากการทำปัญญา เรณู ออกมา) แต่คนที่ลงทุนด้วยล่ะจะคิดเช่นนั้นหรือ? ในเมื่อก่อนหน้านี้เหตุผลที่ทำให้ไม่มีใครมาร่วมลงทุนกับคุณบิณฑ์ก็เพราะหนังถูกมองว่าทำไปก็ไม่ได้กำไรเนื่องจากไม่มีดาราเป็นจุดขาย!
บอกกล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าทางคุณหม่ำกับคุณตุ๊กกี้ หรือว่าอาจจะมีคนอื่นๆ มาร่วมงานด้วยนั้นเป็นนักแสดงที่ไร้ฝีมือ หรือว่าหากเอาดาราดังมาแล้วจะทำให้หนังไม่ดีอะไรนะครับ
ในทางกลับกันอาจจะกลายเป็นจุดแข็ง เป็นจุดที่ทำให้หนังสมบูรณ์ หรือว่าทำเงินมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ผมเองเกรงว่าบางครั้งการที่เราทำอะไรโดยเริ่มต้นเพราะคิดว่าถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าอย่างนี้มันจะเป็นอย่างนั้นแล้วละก็ เราก็อาจจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปแบบไม่รู้ตัว
อะไรบางอย่างที่อาจจะรวมถึงเสน่ห์ที่แท้จริงที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นตัวตน ที่ทำให้มีคนชอบ-คนรัก "ปัญญา เรณู"
ปาย ทุกวันนี้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้บนหลักหมุดแผนที่ทางภูมิศาสตร์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มิได้ถูกเคลื่อนที่โยกย้ายไปไหน แต่ทำไมบางคนไปเที่ยวปายวันนี้จึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกในความเป็นปายเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
เช่นเดียวกับ อัมพวา ที่ทุกวันนี้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้บนหลักหมุดแผนที่ทางภูมิศาสตร์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มิได้ถูกเคลื่อนที่โยกย้ายไปไหน แต่ทำไมบางคนไปเที่ยวอัมพวาวันนี้จึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกในความเป็นอัมพวาเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แน่นอนครับว่าเมื่อเวลาพาดผ่าน ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งส่วนที่เห็นได้ด้วยตา ทั้งส่วนที่ฟังได้ด้วยหู ไม่เว้นแม้กระทั่งทั้งส่วนที่สัมผัสได้ด้วยอารมณ์และความรู้สึกภายใน
แต่ส่วนใหญ่ก็เพราะการเร่งเร้าของมนุษย์เองโดยมีเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้รับกันทั้งสิ้น
ผมเองอาจจะแสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้เร็วเกินไปก็ได้
แต่นั่นก็เพราะผมเองไม่อยากให้คุณบิณฑ์มองหนัง "ปัญญา เรณู" ที่หลายต่อหลายคนหลงรักเรื่องนี้ด้วยสายตาของนายทุนเห็นแก่ตัวซึ่งพร้อมจะทำทุกอย่างเพียงเพื่อต้องการจะหาผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเองครับ