Iron Monkey หรือ ‘มังกรเหล็กตัน’ ได้ชื่อว่าเป็น ‘งานที่ดีที่สุด’ ของยอดดาวบู๊ ‘เจินจื่อตัน’ ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับแต่เขายังเป็นเพียงดาวบู๊แถวสองในวงการ จนกระทั่งปัจจุบันแทบจะเป็นหมายเลข 1 แล้ว ขณะเดียวกันหลายคนเชื่อว่านี่คือหนังกังฟูที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา
เมื่อ 17 ปีก่อน ฉีเคอะ ที่ตอนนั้นกำลังมือขึ้นสุด ๆ มีไอเดียต้องการสร้างหนังกังฟู เล่าเรื่องชีวิตวัยเด็กของจอมยุทธ์เท้าไร้เงา “หวงเฟยหง” ขึ้นมาอีกเรื่อง หลังจากเพิ่งประสบความสำเร็จ กับหนังชุด Once Upon A Time In China ที่ขุดเอาตำนานหวงเฟยหง กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่คราวนี้เขาอยากจะเล่าเรื่องวัยเด็กของวีรบุรุษแห่งฝอซานดูบ้าง
ฉีเคอะ มอบบทนำให้กับนักแสดงแอ็กชั่นฝีมือดี ที่อยู่ในวงการมาหลายปี แต่ไม่ยักกะดังซักที (ในเวลานั้น) อย่าง เจินจื่อตัน หรือ ที่เดี๋ยวนี้เราเรียกกันติดปากว่า ดอนนี่ เยน ขณะที่ตำแหน่งผู้กำกับเป็นของรุ่นใหญ่ในวงการอย่าง หยวนวูปิง
ดาวบู๊คนดังสวมบทบาทเป็นจอมยุทธ์ “หวงฉีอิง” ที่ออกเดินทางพร้อมกับลูกชาวหัวแก้วหัวแหวน “หวงเฟยหง” แต่ทั้งสองกลับต้องมาหยุดอยู่ที่เมืองแห่ง เมื่อเจ้าเมืองหวังอาศัยฝีมือของ หวงฉีอิง ในการตามล่าตัว “ลิงเหล็ก” จอมโจรที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และไม่มีทีท่าว่าจะจับตัวมาลงโทษได้ง่าย ๆ
ต่อมา หวงฉีอิง จึงทราบว่าลิงเหล็ก เป็นโจรคุณธรรมที่ปล้นคนรวยช่วยคนจน, กำราบเหล่าข้าราชการชั่วจนอยู่หมัด ขณะที่ตัวจริงของเขายังเป็น แพทย์ใจบุญ ที่ช่วยรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยให้กันทุกคน โดยไม่แยกจนรวย เป็นวีระบุรุษของชาวบ้านอย่างแท้จริง สองจอมยุทธ์ที่ไม่ได้มีความแค้นเคือง จึงต้องมาปะทะกันอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องราวในงานชิ้นนี้ก็ง่าย ๆ แบบนี้นะครับ ในยุคสมัยที่หนังกำลังภายใน และกังฟู พยายามแสวงหาความซับซ้อนมากขึ้น Iron Monkey กลับทำในทางตรงกันข้าม ด้วยการมอบความบันเทิงที่เรียบง่ายของเรื่องราวให้กับคนดูอีกครั้ง
เทียบกับหนังชุด หวงเฟยหง แล้ว Iron Monkey มีเนื้อหาค่อนข้างเรียบ ตัวละครแบ่งดีเลวดำขาวชัดเจน ไม่ได้แทรกนัยยะทางการเมืองหรือสังคมที่เข้มข้นลงไป หนังยังไม่ได้มีความทะเยอทะยาน จะเพิ่มความลึกซึ้งแบบหนังกังฟูยุคใหม่ซักเท่าไหร่
ซึ่งนี่แหละครับคือเสน่ห์ของผลงานชิ้นนี้ Iron Monkey ยังรักษา “ความเรียบง่าย” แบบหนังกังฟูยุคเก่า อันเป็นความบันเทิงสำหรับคนทุกชนชั้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความ “ความมักง่าย” แบบหนังแอ็กชั่นหลาย ๆ เรื่อง เพราะหนังผูกเรื่องได้ลื่นไหล และสร้างตัวละครออกมาอย่างพิถีพิถัน เพิ่มรสนุ่มนวลด้วย ความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก เรื่องรักซึ้ง ๆ หญิงชายก็มีให้ดูกันด้วย กับคู่ของลิงเหล็ก กับผู้ช่วยสาวคนสวย ที่มีอดีตอันแสนเศร้า
แต่ที่สุดยอดก็คือ ฉากแอ็กชั่น ซึ่งต้องบอกว่าฉากต่อสู้ทั้งฉากย่อย และฉากใหญ่ นั้นยอดเยี่ยมกระเทียมดองเหลือเกิน ฉากบู๊มันส์ ๆ มีให้ชมกันตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการซัดกันด้วยหมัดลุ่น ๆ หรือบู๊กันด้วยอาวุธ หยวนวูปิง ยังใส่ฉากที่ไม่ได้เน้นความดุเดือด แต่โชว์เทคนิคการถ่ายทำที่ละเอียดสวยงาม อย่างตอนที่ ลิงเหล็ก และผู้ช่วยสาว ช่วยกันเก็บกระดาษที่ปลิวอยู่เต็มห้อง ด้วยวิชาตัวเบา ต้องบอกว่าทำออกมาได้อย่างเรียบง่าย แต่อ่อนช้อยดูพลิ้วไหวดีเหลือเกิน
ถ้าจะมีอะไรตะขิดตะขวงใจเกี่ยวกับฉากพะบู๊ในหนังเรื่องนี้ ก็เห็นจะเป็นการใช้เทคนิคลวดสลิงค์ที่ฟุ่มเฟือยไปหน่อย เช่นเดียวกับการใช้แป้งฝุ่นมาช่วยสร้างสีสันในฉากต่อยตี ที่แทบจะทำให้คิวบู๊ในหนังกลายเป็นสงครามแป้งกันไปแล้ว แต่นั้นก็เป็นเพียงข้อด้อยเล็ก ๆ เท่านั้นครับ
ความโดดเด่นอีกประการของหนังเรื่องนี้ก็คือ การเป็นหนังที่รวบรวมนักแสดงประเภท “น่าสนใจแต่ไม่ดัง” ในยุคนั้น ไว้อยู่หลายคน
ปัจจุบันนี้ถ้าพูดถึง Iron Monkey ก็ต้องพูดถึง เจินจื่อตัน ดาวบู๊อินเตอร์ผู้เติบโตมาจากเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะกลายเป็นอันดับ 1 ของวงการอย่างในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะร่วมแสดงแล้ว เขายังร่วมกำกับคิวบู๊ให้กับ Iron Monkey ด้วย โดยเฉพาะในฉากของตัวเอง เรียกว่ามีทุกอย่างพร้อม แต่ที่ไม่สามารถแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในตอนนั้นได้ ก็อาจจะเป็นเพราะยังหาแนวทางที่เหมาะสมของตัวเองไม่ได้ ถ้าจะเน้นกังฟูตลกก็มี เฉินหลง ขวางอยู่ ขณะที่แนวจริงจัง หลี่เหลียนเจี๋ย ก็ถือว่าครองตลาดแทบจะคนเดียวในตอนนั้น แต่สุดท้ายกาลเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เจินจื่อตัน คือ "ของจริง"
อู๋หยงกวง ที่รับบทเป็นลิงเหล็กพระเอกอีกคนของเรื่อง ถือเป็นนักแสดงที่ไม่เคยแจ้งเกิดเป็นดาวบู๊แถวหน้าได้เลย แต่อย่างน้อยอาชีพในวงการภาพยนตร์ของเขา ก็ถือว่ามั่นคง และยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังถือว่าเป็นนักแสดงชาวจีนอีกคนที่ไปได้ดีกับการรับงานในต่างประเทศ ได้ร่วมแสดงในหนังฮอลลีวูด หลายเรื่อง อาทิ Shanghai Noon, The Karate Kid หรือรวมถึงหนังเกาหลีใช้อย่าง Musa แม้จะไม่ได้เป็นพระเอก แต่ก็ถือว่าเป็นดาราสมทบที่มีงานชุกคนหนึ่งในวงการ
ขณะที่นักแสดงชายทั้งสองคนดูจะยังรุ่งเรืองกับอาชีพนักแสดง ดารานำหญิงทั้งสองใน Iron Monkey กลับมีชะตากรรมที่แตกต่างออกไป
ดาราสาวชาวไต้หวัน จีน หวาง (Jean Wang) หรือ หวางชิงหยิง ที่รับบทเป็นนางเอกของเรื่อง ถือว่าเป็นดาราที่สวยระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงจีนในยุคนั้น นอกจากเป็นนักแสดงแล้วยังมีงานเป็นนางแบบด้วย (อัลบั้มภาพของเธอถือว่าฮิตในหมู่แวดวงคนเล่นเน็ตยุค 10 กว่าปีก่อน อยู่ไม่น้อยเลย) แต่อาชีพในวงการภาพยนตร์ของสาวสวยคนนี้ กลับไม่ได้โดดเด่นประสบความสำเร็จอะไรมากมายนัก
แม้ผู้อำนวยการสร้างคนดังอย่าง ฉีเคอะ จะพยายามทั้งผลักทั้งดัน ส่งงานฟอร์มใหญ่ ๆ ให้ หวางชิงหยิง เล่นอย่างต่อเนื่อง อาทิ เดชคัมภีร์เทวดา 3 หรือ หวงเฟยหง 4 – 5 แต่ชื่อของเธอก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักขึ้นมาแต่อย่างใด และบทบาทในวงการภาพยนตร์ของเธอก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ทิ้งให้ Iron Monkey เป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดไปโดยปริยาย
ดาราอีกคนหนึ่งที่หลาย ๆ ท่านน่าจะจดจำได้จากหนังเรื่องนี้ก็คือ ดารารุ่นเล็กที่สวมบทบาทเป็น หวงเฟยหง ในวัยเด็ก ที่บางคนอาจจะพอทราบแล้วว่า ผู้สวมบทบาทเป็นจอมยุทธ์เท้าไร้เงาในวัยเด็ก ความจริงแล้วเป็นเด็กผู้หญิงครับ
จางเซียะหมิ่น รับบทเป็นหวงเฟยหงได้อย่างไร้ที่ติ ลักษณะทางภายนอกก็แทบจะดูไม่ออกถึงความเป็นเด็กหญิงเลย ลีลาบู๊ก็ถือว่าโดดเด่นไม่น้อย ดูแล้วเหมือนจะมีแววรุ่ง เพราะเธอคนนี้มีพื้นฐานเป็นนักกีฬาวูซูอยู่แล้ว แต่หลังได้รับคำชมไปไม่น้อยจากผลงานการแสดงครั้งแรก ชีวิตในวงการภาพยนตร์ของเธอคนนี้กลับสิ้นสุดลงอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด จางเซียะหมิ่น ให้สัมภาษณ์เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ว่าตอนนั้นแม่ของเธอต้องการให้ทุ่มเทความสนใจให้กับการเรียนและกีฬาวูซู ความถนัดของตนเองเพียงอย่างเดียวมากกว่า ทิ้งให้ Iron Monkey กลายเป็นงานแสดงเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นของเธอ
Iron Monkey เข้าฉายมาได้เกือบ 20 ปีแล้ว เส้นทางของหนังก็เป็นสิ่งน่าสนใจนะครับ หนังได้ฉายที่ฮ่องกงในปี 1993 ทำรายได้ไป 6 ล้านเหรียญฮ่องกง เรียกว่าไม่ได้สูงอะไรนัก เพราะถ้าพูดถึงหนัง “ฮิต” ในยุคนั้นก็ต้อง ว่ากันในระดับ 20 ล้านเหรียญฯ ขึ้นไป
ในเมืองไทยก็เช่นเดียวกัน หนังเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คนแต่ก็ไม่ได้โด่งดังอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่จดจำชื่อภาษาไทยของหนังที่สั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความว่า “มังกรเหล็กตัน” ได้ดี
Iron Monkey กลายเป็นหนัง “ฮิตเงียบ” ที่ถูกกล่าวขวัญถึงไปอีกหลายปี มีแฟนคลับที่ชื่นชอบในหนังเรื่องนี้มากมาย รวมถึงยอดผู้กำกับระดับโลกอย่าง เควนติน ตารันติโน่ ด้วย กระทั่ง 8 ปีหลังจากเข้าฉายครั้งแรก หนังถูกซื้อไปฉายที่สหรัฐฯ และทำเงินไปมหาศาลถึง 16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เรียกว่าเป็นเส้นทางที่น่าเหลือเชื่อมาก สำหรับหนังกังฟูฟอร์มธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่ง
********************
... ดูมาแล้ว ...
Detective Dee – ตี๋เหรินเจี๋ย ดาบทะลุคนไฟ (ผู้กำกับ – ฉีเคอะ / แสดงนำ – หลิวเต๋อหัว, หลิวเจียหลิง, หลี่ปิงปิง)
คืนฟอร์มอีกครั้งสำหรับผู้กำกับดัง ฉีเคอะ หลังจากไม่มีหนังฮิตมาเกือบ 10 ปีเต็ม Detective Dee หนังกำลังภายในผสมเรื่องราวลึกลับ และสืบสวนสอบสวน หลิวเต๋อหัว สวมบทบาทเป็น ตี๋เหรินเจี๋ย ข้าราชการตงฉิน ที่ถูกตามตัวมาเพื่อสางคดีฆาตกรรมในวังหลวง ก่อนที่จักรพรรดินีบูเช็กเทียนจะขึ้นเถลิงราชสมบัติ
หนังทำได้สนุกตื่นเต้นดี แม้ในความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน จะถือว่าคาดเดาง่ายไปหน่อย ที่สำคัญหนังเปิดโอกาสให้นักแสดงทุกคน ได้เปล่งประกายกันอย่างเต็มที่ ว่ากันตั้งแต่ หลิวเต๋อหัว ผู้รับบทนำซึ่งระยะหลังมีงานที่ทั้งล้มเหลว และประสบความสำเร็จสลับกันไป จนไปถึงสาว ๆ อย่าง หลิวเจียหลิง และหลี่ปิงปิง กระทั่งดาราชาวจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง เติ้งเชา ที่รับบทสมทบในเรื่อง ก็ยังให้การแสดงที่น่าจดจำไม่น้อยเลย
See You In You Tube / แก๊งค์ซ่าส์ ท้าเกมส์แสบ (ผู้กำกับ - Seven's/ แสดงนำ – ม่านหยงซาน, อีลีน กง, แม็กกี้ ลี)
ผู้กำกับชื่อดัง อ็อกไซค์ แปง เปิดโอกาสให้นักเรียนโรงเรียนสอนทำหนังในฮ่องกง 7 คนที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า Seven's ได้ลองทำหนังแบบมืออาชีพดู ผลที่ออกมาคือหนังเรื่อง See You In You Tube ที่เล่าเรื่องของสองสาวเพื่อนซี้ที่ชิงดีชิงเด่นกันในทุกเรื่อง จนเลยเถิดถึงขั้นชวนสมัครพรรคพวก มาแข่งขันพิสูจน์ความกล้าบ้าดีเดือดกัน
See You In You Tube เป็นหนังแนวทดลองที่ผสมหนังหลากแนวเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ หนังแอ็กชั่น, กังฟู, ตลกวัยรุ่น จนถึงสยองขวัญสไตล์ The Eye หรือ Ring อะไรทำนองกันกันเลย เป็นงานที่มีลีลาแบบการ “โชว์ของ” จากคนทำหนังมือใหม่ มีเทคนิคแปลก ๆ ใหม่ ๆ (เมื่อ 2 ปีก่อน) มากมาย แต่ก็เป็นการหยิบมาใช้แบบมือสมัครเล่น
ภาพรวมของ See You In You Tube ห่างไกลจากคำว่าสนุก และลงตัวอยู่มากโข แต่ก็เป็นกรณีศึกษาที่ดีเหมือนกันสำหรับการนำหนังนักเรียน มาเข้าโรงฉายจริง ส่วนความบันเทิงที่แท้จริงของหนัง น่าจะมาจากความเจริญหูเจริญตาจากสองนางเอกสาวคนสวยเสียมากกว่า (ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นางแบบสาวคนดัง เจนิซ ม่านหยงซาน)
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |