**ต้องรอลุ้นในวันนี้ (10 ม.ค.) ว่าศาลยุติธรรมเขมรของ “สมเด็จฮุน เซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะชี้เป็นชี้ตาย “7 คนไทย” อย่างไร ที่โดนกลั่นแกล้งยัดข้อหาหนัก รุกล้ำดินแดนเขมรโดยผิดกฎหมาย และเข้าเขตทหารโดยมีเจตนาร้าย
ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง คนไทยทั้ง7 คนไม่ได้กระทำผิดหนักขนาดนั้น แต่เรื่องมันบานปลายเพราะไปเข้าทางเสือหิว “ฮุน เซน” ที่จ้องลอบกัดแผ่นดินไทยตลอดเวลา
ยังเอาแน่นอนไมได้ว่า ศาลเขมรจะพิจารณาพิพากษาคดีให้เสร็จเลยหรือไม่ เพื่อให้เรื่องจบเร็ว และจบไปตามที่รัฐบาลไทยวิงวอนขอร้อง หรือเขมรจะดื้อแพ่ง ลากยาวต่อไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูง เพื่อรักษาสภาพความได้เปรียบไว้ให้นานที่สุด
จากที่กรณีนี้เกิดขึ้นมาสองสัปดาห์ 7 คนไทย ต้องนอนคุกกินข้าวแดงเขมรรอความช่วยเหลือจากทางการไทย เท่าที่เห็นรัฐบาลและกองทัพกลับไม่มีแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ ยิ่งนานหนทางก็ยิ่งตีบตัน รัฐบาลอภิสิทธิ์หมดท่า เพราะไม่มีปัญญา ขาดความกล้าหาญที่จะตอบโต้กับเขมร ชีวิต 7 คนไทย จึงกลายเป็นตัวประกันที่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองกับไทย ฮุน เซน ย่อมรู้หากสั่งดึงเกมออกไปแผ่นดินไทยวุ่นแน่
“ข่าวปนคน-คนปนข่าว” ในพ.ศ.นี้ ขอเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอ จะตระเวนบันทึกข่าวลับจากทุกซอกมุมการเมืองมาเล่า เพิ่มความหลากหลาย เน้นความกระชับสั้น แต่เจาะลึกเหมือนเดิม เชิญติดตาม...
**“ดร.โกร่ง” ตัวจริงรอนำทัพ “เพื่อไทย”
มาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ข้อสรุปสำหรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มี “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” นั่งขัดตาทัพมานานสองนาน ทำให้เสียงเรียกร้องของบรรดา ส.ส.ในพรรคดังอื้ออึง เพราะอยากเห็นโฉมหน้า “ผู้นำทัพ” เข้าสู่ศึกเลือกตั้งเสียที
บุคคลที่มีความโดดเด่นและเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดหนีไม่พ้น “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” อดีต รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาลสมัคร ที่มีกลุ่มส.ส.นำโดย “ไชยา พรหมมา” พยายามเดินเกมผลักดันนายมิ่งขวัญเต็มที่ ถึงขนาดจับเครื่องไปเคลียร์ใจกับนายใหญ่ถึงดูไบ พร้อมหอบสารจากนายใหญ่ที่อ้างว่าให้การสนับสนุนนายมิ่งขวัญ กลับมาตีฆ้องร้องป่าวผ่านกระจอกข่าว จนพรรคพวกในออกอาการเขม่น
ลึกๆ แล้วเป็นที่รู้กันดีว่านายใหญ่ไม่ค่อยปลื้ม “เจ๊มิ่ง” เท่าไรนัก เพราะ“จุดอ่อน” เพียบ ทั้งพรรษาทางการเมืองที่ยังอ่อน ที่สำคัญไมค่อยมีส่วนร่วมในการดูแลพรรคเท่าที่ควร ส่วนเรื่องความเป็น “เซียนเศรษฐกิจ” ที่พยายามชูภาพกันอยู่ ก็ไม่ได้โดดเด่น ถึงขนาดที่ถูกคนในพรรคด้วยกันเลื่อนขาออกจากการเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคด้วยซ้ำไป
ถึงนาทีนี้ฟันธงได้เลยว่าอย่างมาก “เจ๊มิ่ง” คงได้มีชื่อเป็นนายกฯ คนใหม่ในญัตติไม่ไว้วางใจตามข้อบังคับของรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะแคนดิเดตคนอื่นๆ ไม่ได้เป็น ส.ส.ในตอนนี้
**ด้าน “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ถือว่ามาแรงไม่แพ้กัน ในฐานะ “มือทำงาน” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อใจมานาน โดยวันนี้ก็ยังนั่งเป็นกุนซืออยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยตลอด
เหตุที่ยังไม่มีการประกาศเปิดตัว ดร.โกร่ง อย่างเป็นทางการ เพราะยังมีรายละเอียดที่ตกลงกันไม่ได้บางเรื่อง โดยเฉพาะแนวทางการนำทัพที่ ดร.โกร่ง วางเงื่อนไขว่า ต้องถอยห่างจากม็อบคนเสื้อแดง และความรุนแรงในทุกรูปแบบ
ในท้ายที่สุดคาดว่า “กูรู” ทางเศรษฐกิจผู้นี้ จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯลงสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่
แต่งานนี้จะไม่มีทางเกิด หากขาดมือประสานอย่าง “พิชัย นริพทะพันธุ์” อดีต รมช.คลัง ในรัฐบาลสมัคร ที่ปัจจุบันยังร่วมงานในฐานะทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย
นายใหญ่ให้ความวางใจมากในฐานะคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่แสดงความจริงใจยืนหยัดร่วมงานกับพรรค โดยไม่ทิ้งไปไหน ทั้งที่มีคอนเนกชันกว้างขวาง กับกลุ่มการเมืองอื่น
**ทหารแก่ไม่มีวันตาย แต่ถูกต้มจนเปื่อย
สภาพของพรรคเพื่อไทยในยามนี้ ที่นอกจากปัญหา“ผีหัวขาด” ไม่มีผู้นำพรรคตัวจริงแล้ว ยังพบว่าเอกภาพภายในพรรคก็มีปัญหาอย่างมาก หลายกลุ่มก๊วนวัดกำลังกันสุดฤทธิ์ ทำให้บรรดาพวกที่คิดจะมาเกาะพรรค เพื่อหวังเติบโตทางการเมือง โดยที่เขี้ยวไม่ลากดินพอ พากันใจฝ่อไปตามๆ กัน
ดูอย่าง อดีตนายทหารใหญ่ “พล.อ.จิรเดช คชรัตน์” อดีต รอง ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาค 3 ในยุค คมช.เรืองอำนาจ ที่หลังเปิดแถลงข่าวเดินเข้าพรรคเพื่อไทยหลังเกษียณ ปรากฏว่า นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แทบไม่เคยย่างกรายเข้าพรรค เหตุเพราะแค่แหย่เท้าเข้าพรรคเมื่อไร ก็ต้องเจอแรงเสียดทานจากคนในพรรคอย่างหนัก จากกลุ่ม ส.ส.ภาคเหนือที่เคยถูกไล่ล่าจากคมช. เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 50 ก็ไม่ไว้ใจ พวกเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ระแวงเช่นกัน
โดยเฉพาะ “พล.ท.มนัส เปาริก” อดีตรองแม่ทัพภาค 3 ผู้อยู่เบื้องหลังม็อบเสื้อแดงคนสำคัญ และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ พล.อ.จิรเดช ที่เป็นหนึ่งในมือทำงานพื้นที่ภาคเหนือให้ “พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน” ประธาน คมช. เมื่อช่วงเลือกตั้งปี 50
พล.ท.มนัส บอกตั้งแต่วันแรกว่า“ให้ระวังจะเป็นไส้ศึกจากฝ่ายตรงข้าม” ทำเอา พล.อ.จิรเดช ที่เจอของจริงทางการเมืองถึงกับสะอึก ทำให้นับแต่แถลงข่าวเปิดตัวเข้าเพื่อไทยวันแรก ก็เลยไม่มีใครเห็น พล.อ.จิรเดช อีกเลย
เลิกสังฆกรรมการเมืองกับพรรคเพื่อไทยไปร่วมปี แม้มีข่าวว่าระดับแกนนำเพื่อไทยยังติดต่อกับ พล.อ.จิรเดชอยู่ แต่เจ้าตัวยังไม่ตัดสินใจจะเอาอย่างไรทางการเมืองกับพรรคนี้ แต่ก็ยังช่วยงานพรรคอยู่ห่างๆ ด้วยการดูพื้นที่เขตภาคเหนือให้ เพราะเชี่ยวชาญแถบนั้น สมัยประจำอยู่ภาค 3 โดยเฉพาะแถบพิษณุโลก นครสวรรค์ เชียงใหม่
ขณะที่พวก “ทหารแก่” โดยเฉพาะก๊วน ตท. 10 ทั้งหลาย ที่เคยนั่งรถตู้ตบเท้าเข้าพรรคร่วมร้อยชีวิต ตอนนี้ก็หงอยไปตามๆ กัน ยิ่งเข้าช่วงโหมดเลือกตั้งมาแล้ว ก็ยังไม่มีความชัดเจนจากแกนนำพรรคว่าจะเปิดพื้นที่ให้ลงสมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขต หรือปาร์ตี้ลิสต์หรือไม่
**ตอนนี้พวกที่ชัวร์ๆ ดูแล้วมีไม่กี่คนอาทิ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี – พล.ท.มนัส เปาริก เท่านั้น
นอกนั้นท่าจะโดนหลอก!
** “เติ้ง”จิตป่วน หวั่นหลุดพรรคเบอร์ 3
พอเข้าสู่โหมดเตรียมเลือกตั้งใหญ่ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ก็เตรียมพร้อมหนักเช่นกัน ดูได้จากจังหวะการเคลื่อนไหวของแก๊ง 3 พี “ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” – “พินิจ จารุสมบัติ” – “ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” พ่วงมาด้วย “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แห่งค่ายรวมชาติพัฒนา ที่แต่งตัวมาร่วมหัวจมท้ายด้วยกันแล้ว
ล่าสุด ช่วงสายของวันพฤหัสบดีที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา มีคนพบเห็น “ไพโรจน์” ดอดเข้าล็อบบี้โรงแรมอินเตอร์ คอนติเนลตัล แถวๆ แยกราชประสงค์ ติดกับห้างเกษรพลาซ่า โดยทั้งเกษรพลาซ่าและ รร.อินเตอร์คอนฯ รู้กันดีว่าเป็นของตระกูล “ศรีวิกรม์” ที่มีผู้ดูแลหลักคือ สองศรีพี่น้อง “เสี่ยเอ” พิมล ศรีวิกรม์ และ “ทยา ทีปสุวรรณ” รองผู้ว่าฯ กทม. ภรรยา “ณัฐพล ทีปสุวรรณ” ส.ส.กทม.และ ผอ.พรรคประชาธิปัตย์
หลังก้าวเท้าลงจากรถ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์บอกว่า ที่มาเพราะนัดหมายกับ “พิมล” เอาไว้ เลยจะมาคุยกันหน่อย แม้การที่นักการเมืองพบกันจะถือเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็เพราะมัน “คอนเฟิร์ม” ข่าวที่ว่าพรรคเพื่อแผ่นดินวันนี้ ไม่ใช่มีแค่ 3 พี แต่กำลังจะเป็น 4 พี แล้ว
และพีตัวที่สี่ ก็ไม่ใช่ใครอื่น “พิมล” บุตรชายอดีตนักการเมืองใหญ่ “เฉลิมชัย” เจ้าของอเมริกันสแตนดาร์ด และโรงเรียนศรีวิกรม์
ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่ “พิมล” จะไปอยู่กับแก๊ง 3 พี ก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้สูง เพราะต้องไม่ลืมว่า “เสี่ยเอ” สมัยเป็น ส.ส.กทม.ไทยรักไทย สองสมัยเคยขับเคี่ยวกับ ปชป.ในพื้นที่ กทม.อย่างหนัก จึงยากที่จะสลับขั้วไปอยู่กับ ปชป.ตามน้องสาวได้
ที่สำคัญยังมี “บุญคุณ” มาจากการที่ห้างเกษรฯ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามเซ็นทรัลเวิลด์ แต่กลับไม่โดนทุบ แม้แต่กระจกสักบาน เมื่อครั้งเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง จึงย่อมแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของทายาทศรีวิกรม์ กับแกนนำเสื้อแดง และคนเพื่อไทยแน่นอน
แม้ว่าจะมีอยู่คืนหนึ่งที่ก่อนดีเดย์วันกระชับพื้นที่ 19 พ.ค. 53 ไม่นาน จังหวะที่ “จตุพร พรหมพันธุ์” ขึ้นเวทีปราศรัยที่สี่แยกราชประสงค์ แล้วจู่ๆ มีเสียงคล้ายพลุไฟดังขึ้นกลางสี่แยกราชประสงค์ คนเสื้อแดงบางคนเลยตกใจวิ่งชนกระจกห้างเกษรฯแตกไปหนึ่งบาน แต่ก็เท่านั้นจริงๆ สำหรับทั้งห้างเกษรฯ และ รร.อินเตอร์คอนฯ ที่ผ่านกองเพลิง 19 พ.ค.53 มาได้ แบบไม่มีอะไรบุบสลาย
ชั่วโมงนี้จึงเชื่อได้ว่า พี-พิมล ที่แม้จะติดโทษแบนการเมือง 5 ปี แต่ยังสนใจเรื่องการเมืองอยู่ไม่คลาย จึงน่าจะมาเป็นกำลังหลักให้กับพรรคเพื่อแผ่นดิน ในฐานะ “ถุงเงินพรรค” ตามหลังเพื่อนรักอีกคนที่อยู่มาตั้งแต่ตั้งพรรควันแรก
**นี่ก็เป็น “พี” เหมือนกันแต่เป็น พี-พฤติชัย ดำรงรัตน์ อดีต รมช.คลัง และเขยเสี่ยใหญ่ ค่ายมติชน
กลายเป็นแหล่งรวมจอมยุทธ์ทางการเมืองมากมายขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่ “เติ้ง สุพรรณฯ” บรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของค่ายชาติไทยพัฒนา จะรีบออกมาปรามการจับขั้วของแก๊ง 3 พี และ “สุวัจน์” โดยแสดงความปรารถนาดีว่า ควรรักษาพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคไว้ ไม่ควรควบรวมกันในวันนี้
เบื้องลึกเบื้องหลังไม่มีอะไร เพราะจริงๆ แล้ว “เติ้ง สุพรรณฯ” อ้าแขนเปิดประตูรอรับแก๊ง 3 พี และพลพรรคเพื่อแผ่นดินมานาน ผ่านความสัมพันธ์ชนิดแน่นปึ้กกับ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ พอมีข่าวว่าจะไปจับขั้วกับ “เสี่ยสุวัจน์” จึงเป็นธรรมดาที่คนระดับ “มังกรการเมือง” ต้องออกมาเบรก เพราะไม่เพียงผิดหวัง แต่ยังสุมเสี่ยงต่อการเสียตำแหน่งพรรคการเมืองลำดับ 3 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา ผูกขาดอยู่ หากจอมยุทธ์การเมืองเหล่านี้จูนกันติดจริง
** งานนี้ “ป๋าเติ้ง” เลยจิตป่วน ต้องออกโรง “ตีกัน” ด้วยตัวเอง เพราะกลัวจะตกกระป๋อง
ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง คนไทยทั้ง7 คนไม่ได้กระทำผิดหนักขนาดนั้น แต่เรื่องมันบานปลายเพราะไปเข้าทางเสือหิว “ฮุน เซน” ที่จ้องลอบกัดแผ่นดินไทยตลอดเวลา
ยังเอาแน่นอนไมได้ว่า ศาลเขมรจะพิจารณาพิพากษาคดีให้เสร็จเลยหรือไม่ เพื่อให้เรื่องจบเร็ว และจบไปตามที่รัฐบาลไทยวิงวอนขอร้อง หรือเขมรจะดื้อแพ่ง ลากยาวต่อไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูง เพื่อรักษาสภาพความได้เปรียบไว้ให้นานที่สุด
จากที่กรณีนี้เกิดขึ้นมาสองสัปดาห์ 7 คนไทย ต้องนอนคุกกินข้าวแดงเขมรรอความช่วยเหลือจากทางการไทย เท่าที่เห็นรัฐบาลและกองทัพกลับไม่มีแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ ยิ่งนานหนทางก็ยิ่งตีบตัน รัฐบาลอภิสิทธิ์หมดท่า เพราะไม่มีปัญญา ขาดความกล้าหาญที่จะตอบโต้กับเขมร ชีวิต 7 คนไทย จึงกลายเป็นตัวประกันที่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองกับไทย ฮุน เซน ย่อมรู้หากสั่งดึงเกมออกไปแผ่นดินไทยวุ่นแน่
“ข่าวปนคน-คนปนข่าว” ในพ.ศ.นี้ ขอเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอ จะตระเวนบันทึกข่าวลับจากทุกซอกมุมการเมืองมาเล่า เพิ่มความหลากหลาย เน้นความกระชับสั้น แต่เจาะลึกเหมือนเดิม เชิญติดตาม...
**“ดร.โกร่ง” ตัวจริงรอนำทัพ “เพื่อไทย”
มาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ข้อสรุปสำหรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มี “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” นั่งขัดตาทัพมานานสองนาน ทำให้เสียงเรียกร้องของบรรดา ส.ส.ในพรรคดังอื้ออึง เพราะอยากเห็นโฉมหน้า “ผู้นำทัพ” เข้าสู่ศึกเลือกตั้งเสียที
บุคคลที่มีความโดดเด่นและเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดหนีไม่พ้น “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” อดีต รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาลสมัคร ที่มีกลุ่มส.ส.นำโดย “ไชยา พรหมมา” พยายามเดินเกมผลักดันนายมิ่งขวัญเต็มที่ ถึงขนาดจับเครื่องไปเคลียร์ใจกับนายใหญ่ถึงดูไบ พร้อมหอบสารจากนายใหญ่ที่อ้างว่าให้การสนับสนุนนายมิ่งขวัญ กลับมาตีฆ้องร้องป่าวผ่านกระจอกข่าว จนพรรคพวกในออกอาการเขม่น
ลึกๆ แล้วเป็นที่รู้กันดีว่านายใหญ่ไม่ค่อยปลื้ม “เจ๊มิ่ง” เท่าไรนัก เพราะ“จุดอ่อน” เพียบ ทั้งพรรษาทางการเมืองที่ยังอ่อน ที่สำคัญไมค่อยมีส่วนร่วมในการดูแลพรรคเท่าที่ควร ส่วนเรื่องความเป็น “เซียนเศรษฐกิจ” ที่พยายามชูภาพกันอยู่ ก็ไม่ได้โดดเด่น ถึงขนาดที่ถูกคนในพรรคด้วยกันเลื่อนขาออกจากการเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคด้วยซ้ำไป
ถึงนาทีนี้ฟันธงได้เลยว่าอย่างมาก “เจ๊มิ่ง” คงได้มีชื่อเป็นนายกฯ คนใหม่ในญัตติไม่ไว้วางใจตามข้อบังคับของรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะแคนดิเดตคนอื่นๆ ไม่ได้เป็น ส.ส.ในตอนนี้
**ด้าน “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ถือว่ามาแรงไม่แพ้กัน ในฐานะ “มือทำงาน” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อใจมานาน โดยวันนี้ก็ยังนั่งเป็นกุนซืออยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยตลอด
เหตุที่ยังไม่มีการประกาศเปิดตัว ดร.โกร่ง อย่างเป็นทางการ เพราะยังมีรายละเอียดที่ตกลงกันไม่ได้บางเรื่อง โดยเฉพาะแนวทางการนำทัพที่ ดร.โกร่ง วางเงื่อนไขว่า ต้องถอยห่างจากม็อบคนเสื้อแดง และความรุนแรงในทุกรูปแบบ
ในท้ายที่สุดคาดว่า “กูรู” ทางเศรษฐกิจผู้นี้ จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯลงสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่
แต่งานนี้จะไม่มีทางเกิด หากขาดมือประสานอย่าง “พิชัย นริพทะพันธุ์” อดีต รมช.คลัง ในรัฐบาลสมัคร ที่ปัจจุบันยังร่วมงานในฐานะทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย
นายใหญ่ให้ความวางใจมากในฐานะคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่แสดงความจริงใจยืนหยัดร่วมงานกับพรรค โดยไม่ทิ้งไปไหน ทั้งที่มีคอนเนกชันกว้างขวาง กับกลุ่มการเมืองอื่น
**ทหารแก่ไม่มีวันตาย แต่ถูกต้มจนเปื่อย
สภาพของพรรคเพื่อไทยในยามนี้ ที่นอกจากปัญหา“ผีหัวขาด” ไม่มีผู้นำพรรคตัวจริงแล้ว ยังพบว่าเอกภาพภายในพรรคก็มีปัญหาอย่างมาก หลายกลุ่มก๊วนวัดกำลังกันสุดฤทธิ์ ทำให้บรรดาพวกที่คิดจะมาเกาะพรรค เพื่อหวังเติบโตทางการเมือง โดยที่เขี้ยวไม่ลากดินพอ พากันใจฝ่อไปตามๆ กัน
ดูอย่าง อดีตนายทหารใหญ่ “พล.อ.จิรเดช คชรัตน์” อดีต รอง ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาค 3 ในยุค คมช.เรืองอำนาจ ที่หลังเปิดแถลงข่าวเดินเข้าพรรคเพื่อไทยหลังเกษียณ ปรากฏว่า นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แทบไม่เคยย่างกรายเข้าพรรค เหตุเพราะแค่แหย่เท้าเข้าพรรคเมื่อไร ก็ต้องเจอแรงเสียดทานจากคนในพรรคอย่างหนัก จากกลุ่ม ส.ส.ภาคเหนือที่เคยถูกไล่ล่าจากคมช. เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 50 ก็ไม่ไว้ใจ พวกเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ระแวงเช่นกัน
โดยเฉพาะ “พล.ท.มนัส เปาริก” อดีตรองแม่ทัพภาค 3 ผู้อยู่เบื้องหลังม็อบเสื้อแดงคนสำคัญ และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ พล.อ.จิรเดช ที่เป็นหนึ่งในมือทำงานพื้นที่ภาคเหนือให้ “พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน” ประธาน คมช. เมื่อช่วงเลือกตั้งปี 50
พล.ท.มนัส บอกตั้งแต่วันแรกว่า“ให้ระวังจะเป็นไส้ศึกจากฝ่ายตรงข้าม” ทำเอา พล.อ.จิรเดช ที่เจอของจริงทางการเมืองถึงกับสะอึก ทำให้นับแต่แถลงข่าวเปิดตัวเข้าเพื่อไทยวันแรก ก็เลยไม่มีใครเห็น พล.อ.จิรเดช อีกเลย
เลิกสังฆกรรมการเมืองกับพรรคเพื่อไทยไปร่วมปี แม้มีข่าวว่าระดับแกนนำเพื่อไทยยังติดต่อกับ พล.อ.จิรเดชอยู่ แต่เจ้าตัวยังไม่ตัดสินใจจะเอาอย่างไรทางการเมืองกับพรรคนี้ แต่ก็ยังช่วยงานพรรคอยู่ห่างๆ ด้วยการดูพื้นที่เขตภาคเหนือให้ เพราะเชี่ยวชาญแถบนั้น สมัยประจำอยู่ภาค 3 โดยเฉพาะแถบพิษณุโลก นครสวรรค์ เชียงใหม่
ขณะที่พวก “ทหารแก่” โดยเฉพาะก๊วน ตท. 10 ทั้งหลาย ที่เคยนั่งรถตู้ตบเท้าเข้าพรรคร่วมร้อยชีวิต ตอนนี้ก็หงอยไปตามๆ กัน ยิ่งเข้าช่วงโหมดเลือกตั้งมาแล้ว ก็ยังไม่มีความชัดเจนจากแกนนำพรรคว่าจะเปิดพื้นที่ให้ลงสมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขต หรือปาร์ตี้ลิสต์หรือไม่
**ตอนนี้พวกที่ชัวร์ๆ ดูแล้วมีไม่กี่คนอาทิ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี – พล.ท.มนัส เปาริก เท่านั้น
นอกนั้นท่าจะโดนหลอก!
** “เติ้ง”จิตป่วน หวั่นหลุดพรรคเบอร์ 3
พอเข้าสู่โหมดเตรียมเลือกตั้งใหญ่ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ก็เตรียมพร้อมหนักเช่นกัน ดูได้จากจังหวะการเคลื่อนไหวของแก๊ง 3 พี “ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” – “พินิจ จารุสมบัติ” – “ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” พ่วงมาด้วย “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แห่งค่ายรวมชาติพัฒนา ที่แต่งตัวมาร่วมหัวจมท้ายด้วยกันแล้ว
ล่าสุด ช่วงสายของวันพฤหัสบดีที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา มีคนพบเห็น “ไพโรจน์” ดอดเข้าล็อบบี้โรงแรมอินเตอร์ คอนติเนลตัล แถวๆ แยกราชประสงค์ ติดกับห้างเกษรพลาซ่า โดยทั้งเกษรพลาซ่าและ รร.อินเตอร์คอนฯ รู้กันดีว่าเป็นของตระกูล “ศรีวิกรม์” ที่มีผู้ดูแลหลักคือ สองศรีพี่น้อง “เสี่ยเอ” พิมล ศรีวิกรม์ และ “ทยา ทีปสุวรรณ” รองผู้ว่าฯ กทม. ภรรยา “ณัฐพล ทีปสุวรรณ” ส.ส.กทม.และ ผอ.พรรคประชาธิปัตย์
หลังก้าวเท้าลงจากรถ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์บอกว่า ที่มาเพราะนัดหมายกับ “พิมล” เอาไว้ เลยจะมาคุยกันหน่อย แม้การที่นักการเมืองพบกันจะถือเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็เพราะมัน “คอนเฟิร์ม” ข่าวที่ว่าพรรคเพื่อแผ่นดินวันนี้ ไม่ใช่มีแค่ 3 พี แต่กำลังจะเป็น 4 พี แล้ว
และพีตัวที่สี่ ก็ไม่ใช่ใครอื่น “พิมล” บุตรชายอดีตนักการเมืองใหญ่ “เฉลิมชัย” เจ้าของอเมริกันสแตนดาร์ด และโรงเรียนศรีวิกรม์
ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่ “พิมล” จะไปอยู่กับแก๊ง 3 พี ก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้สูง เพราะต้องไม่ลืมว่า “เสี่ยเอ” สมัยเป็น ส.ส.กทม.ไทยรักไทย สองสมัยเคยขับเคี่ยวกับ ปชป.ในพื้นที่ กทม.อย่างหนัก จึงยากที่จะสลับขั้วไปอยู่กับ ปชป.ตามน้องสาวได้
ที่สำคัญยังมี “บุญคุณ” มาจากการที่ห้างเกษรฯ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามเซ็นทรัลเวิลด์ แต่กลับไม่โดนทุบ แม้แต่กระจกสักบาน เมื่อครั้งเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง จึงย่อมแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของทายาทศรีวิกรม์ กับแกนนำเสื้อแดง และคนเพื่อไทยแน่นอน
แม้ว่าจะมีอยู่คืนหนึ่งที่ก่อนดีเดย์วันกระชับพื้นที่ 19 พ.ค. 53 ไม่นาน จังหวะที่ “จตุพร พรหมพันธุ์” ขึ้นเวทีปราศรัยที่สี่แยกราชประสงค์ แล้วจู่ๆ มีเสียงคล้ายพลุไฟดังขึ้นกลางสี่แยกราชประสงค์ คนเสื้อแดงบางคนเลยตกใจวิ่งชนกระจกห้างเกษรฯแตกไปหนึ่งบาน แต่ก็เท่านั้นจริงๆ สำหรับทั้งห้างเกษรฯ และ รร.อินเตอร์คอนฯ ที่ผ่านกองเพลิง 19 พ.ค.53 มาได้ แบบไม่มีอะไรบุบสลาย
ชั่วโมงนี้จึงเชื่อได้ว่า พี-พิมล ที่แม้จะติดโทษแบนการเมือง 5 ปี แต่ยังสนใจเรื่องการเมืองอยู่ไม่คลาย จึงน่าจะมาเป็นกำลังหลักให้กับพรรคเพื่อแผ่นดิน ในฐานะ “ถุงเงินพรรค” ตามหลังเพื่อนรักอีกคนที่อยู่มาตั้งแต่ตั้งพรรควันแรก
**นี่ก็เป็น “พี” เหมือนกันแต่เป็น พี-พฤติชัย ดำรงรัตน์ อดีต รมช.คลัง และเขยเสี่ยใหญ่ ค่ายมติชน
กลายเป็นแหล่งรวมจอมยุทธ์ทางการเมืองมากมายขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่ “เติ้ง สุพรรณฯ” บรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของค่ายชาติไทยพัฒนา จะรีบออกมาปรามการจับขั้วของแก๊ง 3 พี และ “สุวัจน์” โดยแสดงความปรารถนาดีว่า ควรรักษาพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคไว้ ไม่ควรควบรวมกันในวันนี้
เบื้องลึกเบื้องหลังไม่มีอะไร เพราะจริงๆ แล้ว “เติ้ง สุพรรณฯ” อ้าแขนเปิดประตูรอรับแก๊ง 3 พี และพลพรรคเพื่อแผ่นดินมานาน ผ่านความสัมพันธ์ชนิดแน่นปึ้กกับ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ พอมีข่าวว่าจะไปจับขั้วกับ “เสี่ยสุวัจน์” จึงเป็นธรรมดาที่คนระดับ “มังกรการเมือง” ต้องออกมาเบรก เพราะไม่เพียงผิดหวัง แต่ยังสุมเสี่ยงต่อการเสียตำแหน่งพรรคการเมืองลำดับ 3 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา ผูกขาดอยู่ หากจอมยุทธ์การเมืองเหล่านี้จูนกันติดจริง
** งานนี้ “ป๋าเติ้ง” เลยจิตป่วน ต้องออกโรง “ตีกัน” ด้วยตัวเอง เพราะกลัวจะตกกระป๋อง